“ฉิบหาย!”

“เกิดอะไรขึ้น?!”

“ว่านพั่วจวินถึงกับคุกเข่าให้เย่เฉิน?!”

“เมื่อกี้เขายังเรียกแทนตัวเองว่าผมด้วยใช่ไหม?! หมายความว่ายังไง?! หรือว่าสำนักว่านหลงยอมศิโรราบให้กับเย่เฉินแล้ว?!”

คนตระกูลเย่ที่อยู่เบื้องล่าง ช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ต่างก็รู้ข่าวกันไปทั่ว

พวกเขาไม่ว่าใครต่างก็คิดไม่ถึงว่า เรื่องราวจะหันเหไปอีกทางแบบนี้

นี่ช่างเป็นทิศทางที่พวกเขาคิดไม่ถึงอย่างที่สุด

ความรู้สึกเช่นนี้ ก็เหมือนกับโยนอิฐบล็อกลงมาจากตึกสูงร้อยเมตร คุณเคยคิดว่ามันอาจจะไปโดนคน โดนรถสัตว์ตัวเล็กๆ หรือโดนต้นไม้ใบหญ้า แต่คุณกล้าคิดไหมว่าอิฐก้อนนี้มันไม่เพียงไม่ตกลงไป กลับต้านแรงโน้มถ่วงโบยบินขึ้นไป บินจนออกไปนอกชั้นบรรยากาศ?

สมาชิกตระกูลย่อยกลุ่มนี้ ยามนี้ก็รู้สึกเช่นนี้เอง

ความตกใจไม่เพียงพอที่จะบรรยายสภาพจิตใจของพวกเขาในตอนนี้ พวกเขาเริ่มรู้สึกแล้วว่าโลกใบนี้มันช่างเหลวไหลสิ้นดี เหลวไหลจนเต็มไปด้วยภาพมายาหมดแล้ว

ทุกคนก็เพราะหวาดกลัวว่านพั่วจวินถึงได้ผลุนผลันจากไป ใครจะไปคิดได้ล่ะว่าว่านพั่วจวินจะถึงกับเป็นลูกน้องของเย่เฉินไปแล้ว?

เวลานี้ เย่เฉินโบกมือให้ว่านพั่วจวินอย่างไม่สนใจ พลางกล่าวขึ้นอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่เป็นไร สรุปก็ต้องเปิดเผยอยู่ดี ก็แค่จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง”

พูดจบ เย่เฉินก็มองไปทางสมาชิกตระกูลย่อยเจ็ดร้อยกว่าคนนี้ พร้อมซักถามเสียงเย็นว่า “พวกคุณคิดว่าตระกูลเย่เมื่ออยู่ต่อหน้าสำนักว่านหลงจะต้องพ่ายแพ้ใช่หรือไม่?”

คนเจ็ดร้อยกว่าคนเบื้องล่าง ไม่มีใครกล้าขยับ

เย่เฉินถามอีกว่า “พวกคุณคิดว่าหนนี้ตระกูลเย่จะไม่รอดพ้นจากภัยพิบัติใช่หรือไม่ ดังนั้นพวกคุณถึงต้องการตัดสายสัมพันธ์กับตระกูลเย่แทบไม่ทัน?”

คนเจ็ดร้อยกว่าคนมีสีหน้าตื่นตระหนก ยังคงไม่มีใครกล้าปริปากพูดคำใด

เย่เฉินถามอีกว่า “พวกคุณคิดใช่ไหมว่า ถึงอย่างไรปีกของตนก็กล้าแข็งนานแล้ว ต่อให้หนนี้ตระกูลเย่จบสิ้นลง ก็ไม่มีทางกระทบถึงอนาคตของพวกคุณ?”

ในบรรดาคนเจ็ดร้อยกว่าคน มีคนจำนวนไม่น้อยเริ่มเช็ดเหงื่อเย็นที่ศีรษะกันแล้ว

เวลานี้เย่เฉินหัวเราะเสียงเย็นออกมา สีหน้าท่าทางเจือแววเหยียดหยามถึงสิบส่วน พร้อมกล่าวขึ้นน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “คนรุ่นใหม่ที่สายตาตื้นเขิน ไม่รู้จักมองการณ์ไกลอย่างพวกคุณนี้ เคยคิดบ้างไหมว่าฉันเย่เฉินไม่เพียงสามารถช่วยตระกูลเย่จากหายนะ ยังสามารถรับสำนักว่านหลงมาอยู่ใต้อาณัติได้ด้วย?!”

ทุกคนถูกคำตำหนินี้ของเย่เฉินเข้า ก็ตกใจจนตัวสั่นเทิ้มไปทั่วร่าง

เวลานี้พวกเขาเพิ่งจะตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วตนเองเคยทำผิดอะไร

หากตอนนั้นไม่หนีไป ปักหลักอยู่ที่เย่หลิงซานพร้อมกับตระกูลเย่ อย่างนั้นพวกเขาแต่ละคนก็คงได้ความดีความชอบ

แต่พวกเขากลับไม่มีใครสักคนใยดีตระกูลเย่ มิหนำซ้ำยังไม่มีใครสนใจสายสัมพันธ์ร่วมตระกูลรวมถึงบุญคุณของตระกูลเย่ แต่ละคนต่างหนีหัวซุกหัวซุนไปกันหมด

ตอนนี้ ถึงเวลาที่เย่เฉินจะคิดบัญชีภายหลังแล้ว!

เย่เฉินเห็นคนกลุ่มนี้แต่ละคนสีหน้าเผยความหวาดกลัวออกมา กลับไม่กล้ากล่าวคำใดแม้แต่ครึ่งคำ ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าดูถูกเต็มใบหน้า “และในตอนนี้ ฉันคือผู้นำตระกูลเย่แล้ว ส่วนคนร่วมตระกูลอย่างพวกคุณ ก็ทำให้ฉันตระหนักได้ว่าอะไรที่เรียกว่าคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ! ตอนนั้นตระกูลเย่ช่วยเหลือพวกคุณ ค้ำจุนพวกคุณ ทั้งหมดก็เหมือนกับเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้!”

พอทุกคนได้ยินว่าเย่เฉินเป็นผู้นำตระกูลแล้ว แต่ละคนก็ตกใจจนพูดไม่ออก

คนส่วนใหญ่เริ่มด่าทอตัวเองอย่างเจ็บแสบว่าเป็นคนโง่ตั้งหัวจรดหางอยู่ภายในใจ

ทีกทักเอาเองว่าหลบพ้นภัยพิบัติครั้งใหญ่แล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าที่หลบพ้น ล้วนเป็นความรุ่งเรืองมหาศาลต่างหาก!

เวลานี้เย่เฉินพูดต่อว่า “สุภาษิตบอกว่า เด็กวัยรุ่นไม่มีค่าพอให้หารือด้วย! เหมือนขยะที่ไม่แบกรับสิ่งใดเวลาคับขันอย่างพวกนาย ฉันก็ควรยืมมือคนอื่น กำจัดพวกนายให้หมดสิ้นเพื่อตัดปัญหายุ่งยาก! แต่ฉันยังเห็นแก่สายสัมพันธ์ร่วมตระกูลอันบริสุทธิ์ จึงคิดจะไว้ชีวิตพวกนายสักครั้ง เก็บทางรอดทางหนึ่งให้ตระกูลของพวกนาย นี่ถือเป็นการปราณีอย่างมากแล้ว!”

ยามนี้ว่านพั่วจวินพลันประสานมือคารวะแล้วกล่าวว่า “คุณเย่ครับ! ขอเพียงคุณพูดมาคำเดียว ผมว่านพั่วจวินขอเอาชีวิตเป็นประกัน คนเจ็ดร้อยกว่าคนนี้ จะไม่มีใครมีชีวิตรอดออกไปจากภูเขาเย่หลิงซานได้แม้แต่คนเดียว! ส่วนความผิดนี้ ว่านพั่วจวินยินดีช่วยคุณแบกรับไว้เองทั้งหมด!”