ในสายตาของเย่เฉิน เมื่อเทียบกับตระกูลหลักแล้ว ญาติสายรองเหล่านี้เป็นพลเมืองชั้นสอง
นอกจากนี้ยังมีประวัติความเนรคุณ ดังนั้นต่อไปตนเองจะไม่ถือว่าพวกเขาเป็นมนุษย์
การให้พวกเขาแต่ละครอบครัวส่งคนรุ่นน้องมาทำงานให้ตระกูลเย่สองคน ก็เพื่อที่จะให้พวกเขารู้ว่าหน้าที่ของตนเองคือการรับใช้ตระกูลหลัก
เมื่อสมาชิกกว่าเจ็ดร้อยกว่าคนของตระกูลเย่ฟังถึงตรงนี้ ถึงแม้ว่าในใจของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แต่มีตัวอย่างจากครอบครัวเย่ทาวแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำ
เมื่อเย่เฉินเห็นว่าทุกคนไม่กล้าคัดค้าน จึงกล่าวว่า “ในเมื่อพวกคุณไม่มีความคิดเห็นอะไร เรื่องนี้ก็เป็นไปตามนี้”
หลังจากกล่าวจบ เขารับรายชื่องานไหว้บูชาบรรพบุรุษและกล่าวว่า “นี่คือข้อมูลญาติทุกคนของตระกูลเย่ และเป็นรายชื่อตัวแทนที่มาร่วมงานไหว้บรรพบุรุษที่เย่นจิงคราวนี้ และทุกครอบครัวจะต้องส่งข้อมูลของรุ่นน้องที่ได้รับการคัดเลือกมาภายในหนึ่งสัปดาห์ สำหรับเกณฑ์การคัดเลือกของผมนั้นสูงมาก พวกคุณทุกคนฟังให้ดี”
ทุกคนต่างมองไปที่เย่เฉิน ไม่รู้ว่าเขาจะเรียกร้องเงื่อนไขโหดขนาดไหน
เย่เฉินกระแอมและอย่างเย็นชาว่า “ประการแรก ต้องเป็นญาติสายตรงของตระกูลเย่ และพวกคุณอย่าคิดที่จะพาคนนอกหรือญาติทางฝ่ายแม่มาหลอกผม คนที่มาต้องแซ่เย่เท่านั้น และต้องเป็นลูกหลานโดยตรงของแต่ละครอบครัว!”
ทุกคนไม่กล้าพูดอะไร พวกเขาทำได้เพียงพยักหน้าตกลง
เย่เฉินกล่าวอีกว่า “ประการที่สอง ต้องจบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยหรือสูงกว่านั้น”
“ประการที่สาม ช่วงอายุอยู่ระหว่างยี่สิบสองถึงสามสิบห้าปี! และไม่สามารถส่งผู้หญิงมาทั้งหมด ทุกครอบครัวจะต้องมีผู้ชายอย่างน้อยคนหนึ่ง”
การแสดงออกของบางคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ตอนแรกที่พวกเขาได้ยินว่าจะต้องส่งคนไปที่ตระกูลหลัก พวกเขาคิดจะส่งผู้หญิงสองคนไปก็สิ้นเรื่อง เพราะพวกเขาทุกคนต่างให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยทั่วไปแล้วมักจะฝึกผู้ชายให้เป็นผู้ทายาทสืบทอดธุรกิจ แล้วพวกเขาจะยอมให้ลูกและหลานชายมารับใช้ตระกูลหลักได้อย่างไร
แต่เมื่อได้ยินเย่เฉินกล่าวเช่นนี้ คนกลุ่มนี้ต่างรู้สึกอึดอัดมาก
ครอบครัวมีผู้ชายเยอะนั้นค่อยยังชั่ว แต่ครอบครัวที่มีผู้ชายน้อยนั้นเริ่มรู้สึกกลัดกลุ้มใจแล้ว
มีหลานทั้งหมดเพียงสองสามคนเท่านั้น และคนที่คุณสมบัติเข้าเกณฑ์ด้านการศึกษาและข้อกำหนดด้านอายุ ไม่ก็กำลังเรียนต่อในระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอก ไม่ก็กำลังทำงานหาประสบการณ์ ถ้าตอนนี้ส่งพวกเขาไปทำงานให้ตระกูลเย่ ไม่ว่าจะเป็นจากมุมมองเชิงปฏิบัติหรือจากมุมมองทางจิตวิทยา ก็เป็นเรื่องยากที่พวกเขาที่จะยอมรับได้
ขณะนี้ เย่เฉินกล่าวต่อไปว่า “ประการที่สี่ ทุกคนที่มาทำงานรับใช้ตระกูลหลักจะถูกหมุนเวียนทุก ๆ สองปี หลังจากระยะเวลาสองปีสิ้นสุดลง พวกเขาสามารถออกจากตระกูลหลัก และกลับไปทำงานให้กับครอบครัวของตัวเองได้ แต่พวกคุณต้องส่งคนชุดต่อไป มารับมอบงานล่วงหน้าสามเดือน เพื่อให้แน่ใจว่าทุกตำแหน่งสามารถเชื่อมต่อได้อย่างลงตัว มิเช่นนั้น หากเกิดข้อผิดพลาด พวกคุณจะต้องเป็นคนรับผิดชอบความเสียหาย”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของพวกเขาขมขื่นยิ่งกว่ามะระขี้นกเสียอีก
ตามความเห็นของพวกเขาแล้ว ข้อเรียกร้องของเย่เฉินนั้นโหดร้ายมาก
ยิ่งกว่านั้น เบื้องหลังยังมีความรู้สึกเหมือนส่งตัวประกันไปยังศัตรูหรือประเทศอื่นในสมัยโบราณ
เหมือนกับเจ้าเมืองทุกคนต้องส่งบุตรชายไปเป็นตัวประกันที่เมืองหลวง
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ พวกเขายิ่งยากที่จะทำใจยอมรับได้
อย่างไรก็ตาม ถึงยากที่จะยอมรับแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
สิ่งที่เย่เฉินกำลังเล่นกับพวกเขาในตอนนี้คือการเมืองเชิงอำนาจ
ไม่เพียงแต่การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการคุกคามและการโจมตีทางทหารอีกด้วย และแม้กระทั่งควบคุมธุรกิจภายในของพวกเขา
ไม่กล่าวถึงมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และตอนนี้มีเพียงไม่กี่ครอบครัวเท่านั้น ที่ไม่ต้องอาศัยพึ่งพาตระกูลเย่เหมือนกับครอบครัวเย่ทาว ส่วนครอบครัวอื่น ๆ ส่วนใหญ่ยังคงต้องอาศัยการสนับสนุนจากตระกูลเย่
และตอนนี้เงินของครอบครัวเหล่านี้ต่างถูกสำนักว่านหลงเอาไปจนเกลี้ยง และพวกเขายังได้ลงนามในข้อตกลงผ่อนชำระห้าปีอีกด้วย ดังนั้นตอนนี้เส้นชีวิตทางเศรษฐกิจนั้นตกอยู่ในมือของเย่เฉินแล้ว
ไม่ต้องกล่าวถึงกำลังอาวุธ ตอนนี้สำนักว่านหลงเป็นกำปั้นดีที่สุดของเย่เฉิน และสามารถต่อสู้ได้ทุกที่ตามต้องการ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ญาติพวกนี้หวาดกลัวแล้ว