หลังจากที่ซูจือหยูพูดแบบนี้ ไม่รอให้เย่เฉินได้ตอบโต้อะไร ก็เร่งรีบเปิดประตู และออกไปอย่างรวดเร็ว
คำพูดเมื่อครู่นี้ ทำให้ความกล้าทั้งหมดของเธอหายไปทั้งหมด
ดังนั้นเธอก็ไม่กล้าอยู่ข้างกายของเย่เฉินต่อไป เพราะว่าเธอกลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วกอดเย่เฉินร้องไห้อย่างโศกเศร้า ถามเขาไปด้วยว่าทำไมต้องแต่งงานเร็วขนาดนี้ด้วย แล้วก็ถามเขาว่าทำไมถึงได้ปรากฏตัวอยู่ในชีวิตของตัวเองช้าขนาดนี้
ดังนั้น เธอก็หนีหายออกจากเย่เฉิน โดยไม่ได้บอกลา และรีบเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลซูโดยไม่หันหน้ากลับมา
เย่เฉินมองดูแผ่นหลังที่เรียวบางของเธอ ในใจก็ค่อนข้างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
ยิ่งเห็นตลอดชีวิตนี้ตู้ไห่ชิงไม่มีความสุข เย่เฉินยิ่งไม่อยากให้ซูจือหยูซ้ำรอยเดิมของเธอ
โชคชะตาไม่ควรเล่นตลกกับแม่ลูกคู่นี้ ทำให้พวกเธอตกอยู่ในวงจรประหลาดที่เกือบจะเหมือนกัน
แต่ทว่า เรื่องของโชคชะตาแบบนี้ บางครั้งก็ชอบเล่นตลก
เขาไม่เพียงแต่ให้วงจรชีวิตที่เหมือนกันกับของสองแม่ลูก ถึงกับยังให้พวกเธอสองคนแม่ลูก และตกหลงรักพ่อลูกคู่หนึ่งตามลำดับ
เมื่อเห็นว่าแผ่นหลังของซูจือหยูหายไป เย่เฉินก็ถอนหายใจด้วยความเศร้าโศก
เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะจัดการความรู้สึกที่ซูจือหยูมีต่อตัวเองอย่างไร
แต่เย่เฉินไม่อยากให้ซูจือหยูเป็นเหมือนอย่างที่เธอเพิ่งพูดแบบนั้น เลือกที่จะตายอย่างโดดเดี่ยว
แม้ว่าตอนนี้เร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องนี้ แต่ผู้หญิงอย่างซูจือหยู ในร่างกายที่ผอมบาง กลับมีความมุ่งมั่นและพลังที่แข็งแกร่ง
ในเมื่อเธอพูดแบบนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะทำเช่นนั้น
แต่ว่า ตอนนี้เย่เฉินก็ไม่ทางที่จะเปลี่ยนการตัดสินใจของเธอได้ ดังนั้นทำได้เพียงปลอบใจตัวเองว่า เนื่องจากว่าซูจือหยูยังเด็กมาก และไม่แน่อาจจะเปลี่ยนใจตามประสบการณ์ชีวิตที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
และในเวลาเดียวกัน ซูจือหยูไม่ได้คิดแบบนี้
เรื่องหนึ่งที่ในใจของเธอตัดสินใจแน่วแน่อย่างเด็ดเดี่ยว นั่นก็คือ: แม้ว่าตัวเองจะมีอายุยืนหนึ่งร้อยปี ก็ไม่มีทางได้พบเจอกับผู้ชายคนไหนที่ดีกว่าเย่เฉิน และก็น่าดึงดูดใจสำหรับตัวเอง
ผู้ชายคนนี้ปรากฏตัวอยู่ในชีวิตของตัวเองในช่วงอายุที่ตัวเองเพิ่งจะรู้จักอารมณ์รัก การปรากฏตัวอย่างสูงสุด ตลอดชีวิตนี้ ก็ไม่มีใครสามารถเหนือกว่าได้อีก