บทที่ 3450 สำนักว่านหลงปฏิรูปใหม่

ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน

คืนนั้น สองมือของหม่าหลันไม่ห่างออกจากทองแท่งที่เย่เฉินให้เธอเลย

ทว่าเนื่องจากโปรเจกต์โรงแรมตี้เหาเข้าสู่ช่วงสำคัญ ทำให้เซียวชูหรันยุ่งกับงานมากๆ ในสองสามวันนี้

เย่เฉินกลับมาแล้ว จึงออกตัวรับผิดชอบไปรับไปส่งเธอไปทำงาน

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เย่เฉินส่งเซียวชูหรันไปยังไซต์งานก่อสร้างโรงแรมตี้เหา จากนั้นก็ได้รับสายโทรศัพท์จากเฉินจื๋อข่าย

ในสายโทรศัพท์ เฉินจื๋อข่ายบอกเขาว่าว่านพั่วจวินได้พาทหารของสำนักว่านหลงนับร้อยนายมาที่โรงแรมป๋ายจินฮ่านกงแล้ว

เย่เฉินได้ยินดังนั้น จึงถามเฉินจื๋อข่ายว่า: “เหล่าเฉินให้คนออกจากตึกอำนวยการหมดแล้วหรือยัง?”

เฉินจื๋อข่ายรีบตอบ: “เรียนคุณชาย จัดการเรียบร้อยข้ามคืนเลยครับ ห้องแต่เดิมก็ชดเชยให้เป็นค่าห้องสองเท่า จัดการให้พวกเขาไปที่ตึกอื่น”

“ถ้างั้นก็ดี” เย่เฉินเอ่ยกำชับด้วยความพึงพอใจ: “เอาแบบนี้นะ ให้ว่านพั่วจวินและพวกไปรอฉันที่ห้องบรรยายในตึกอำนวยการก่อน ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

“ได้ครับคุณชาย!”

ตึกอำนวยการของโรงแรมป๋ายจินฮ่านกง เดิมทีก็มีไว้เพื่อบริการงานเลี้ยงอาหารค่ำธุรกิจขนาดใหญ่รวมถึงงานประชุมธุรกิจระดับสูงอยู่แล้ว ไม่เพียงแต่มีห้องพักสุดหรูจำนวนมาก ทั้งยังมีห้องบรรยายขนาดใหญ่รวมทั้งห้องประชุมมากมายอีกด้วย

ในนั้น ขนาดของห้องบรรยายเพียงพอที่จะจัดงานแถลงในอาคารที่สามารถบรรจุคนได้นับพันสองพัน

การที่เย่เฉินให้เฉินจื๋อข่ายนำคนออกจากตึกอำนวยการจนหมด ก็เพราะวางแผนว่าจะใช้เป็นฐานตั้งสำนักงานใหญ่สำนักว่านหลงในประเทศ

เมื่อขับรถมาถึงโรงแรมป๋ายจินฮ่านกง เฉินจื๋อข่ายก็รออยู่นอกห้องโถงใหญ่เรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นเย่เฉินมาถึง ก็เข้าไปเปิดประตูรถให้เขา พร้อมทั้งพาเขามาที่ห้องบรรยายในตึกอำนวยการ

ในเวลานี้ ทหารเกือบร้อยนายของสำนักว่านหลงได้นั่งอยู่ข้างในอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สีหน้าแต่ละคนต่างก็มาพร้อมความเด็ดเดี่ยว

เฉินจื๋อข่ายผลักเปิดประตูใหญ่ห้องบรรยายออก เย่เฉินสาวเท้าเดินเข้าไป ว่านพั่วจวินลุกขึ้นยืนอย่างช่ำชอง

จากนั้น ทหารเกือบร้อยนายที่เหลือก็ลุกขึ้นตามๆ กัน พร้อมมองไปยังเย่เฉินที่กำลังสาวเท้าเดินเข้ามาด้วยความนอบน้อม

เมื่อเย่เฉินมาถึงเบื้องหน้าของผู้คนสำนักว่านหลง ว่านพั่วจวินก็คุกเข่าด้วยขาข้างเดียว สองมือประสานเบื้องหน้า เอ่ยด้วยความเคารพว่า: “คุณเย่ กระผมพาทหารสำนักว่านหลง 88 นายมาจินหลิงเพื่อฟังคำสั่งการของคุณครับ!”

มีเพียงสองคนที่ไม่ได้คุกเข่าลงข้างเดียว นั่นก็คือลู่เห้าเทียนพญาเสือแพรขาวที่ถูกเย่เฉินทำให้เป็นพิการ รวมทั้งเฉินจงเหล่ยพญาหมาป่าเนตรเขียวที่ถูกเย่เฉินปิดผนึกสติสัมปชัญญะเรียบร้อย

เย่เฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ยื่นมือไปประคองว่านพั่วจวินขึ้นมา เอ่ยว่า: “พี่น้องทุกท่านไม่จำเป็นตั้งทำพิธีรีตองมากมาย ลุกขึ้นกันเถอะ”

เมื่อว่านพั่วจวินลุกขึ้นมา คนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นมาตามๆ กันด้วย

เย่เฉินมองไปยังว่านพั่วจวิน ถามเขาว่า: “เรื่องงานศพของพ่อแม่นายจัดการเป็นยังไงบ้าง?”

ว่านพั่วจวินเอ่ยตอบเย่เฉินด้วยสีหน้าที่ซาบซึ้งน้ำใจ: “เรียนคุณเย่ หลังจากได้รับการเห็นใจและสนับสนุนจากคุณ โลงศพของพ่อแม่กระผมได้ทำการฝังใหม่ที่ภูเขาฝั่งตะวันตกเมืองเย่นจิงเมื่อวานนี้แล้ว ขอบคุณสำหรับความใส่ใจของคุณด้วย!”

เย่เฉินพยักหน้ารับทราบ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า: “ในเมื่อพ่อแม่ของนายได้ถูกฝังใหม่แล้ว อนาคตก็ไม่ต้องคิดหนักเรื่องพวกท่านแล้ว และทุกปีวันเชงเม้งก็อย่าลืมมาสักการะที่สุสานพวกเขาด้วยล่ะ”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เย่เฉินก็ถอนหายใจ เอ่ยอย่างเศร้าสร้อยเล็กน้อยว่า: “อันที่จริงสถานการณ์ของฉันกับนายเหมือนกันมาก เกือบยี่สิบปีที่ผ่านมา เพราะปัญหาสถานะของตัวเอง ทำให้ฉันไม่สามารถกลับไปสักการะสุสานพ่อแม่ได้ ยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ฉันรู้สึกละอายใจและโทษตัวเองมาก เชื่อว่าความรู้สึกแบบนี้นายเองก็คงรับรู้ได้ หวังว่าในอนาคตนายจะพยายามชดเชยเต็มที่นะ”

ว่านพั่วจวินพยักหน้าหงึกๆ เอ่ยด้วยความละอายใจว่า: “คุณเย่พูดถูก กระผมอยู่ต่างประเทศหลายปี วันเชงเม้งและวันครบรอบวันเสียชีวิตของพ่อแม่ทุกปี ก็จะรู้สึกทรมานและโทษตัวเองมาก อนาคตจะต้องไม่ทำผิดแบบเดิมอีกแล้วเด็ดขาด”

เย่เฉินพูด “อืม” แล้วถามเขาว่า: “ทหารสำนักว่านหลงสองสามนายที่ฉันส่งไปยุโรปเหนือกลับมาหรือยัง?”