เย่เฉินพยักหน้า เอ่ยถามว่า: “ตอนแรกผมกะว่าจะเปลี่ยนเป็นเงินสดกลับมา แต่มาคิดดูดีๆ แล้วที่บ้านก็ไม่มีเงินสำรองที่มีค่าอะไรเลย ไม่งั้นเราก็นำทองแท่งสิบแท่งนี้เก็บเป็นเงินเก็บไว้ที่บ้านดีกว่า ยังรับมือกับเงินเฟ้อได้ด้วย”
หม่าหลันพยักหน้า เอ่ยเห็นด้วย: “ถูกต้องๆ ! ตอนนี้ราคาอสังหาก็ไม่เพิ่มขึ้นแล้ว ราคาหุ้นก็ลดลงไม่เหลือชิ้นดี มีแต่ราคาทองคำเท่านั้นที่มั่นคง!”
สิ้นเสียง หม่าหลันมองหน้าเย่เฉินอย่างทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย ยิ้มเอ่ยว่า: “โถๆ ลูกเขยสุดที่รัก ทั้งชาตินี้แม่ยังไม่เคยเล่นทองแท่งมาก่อนเลย สิ่งนี้ทั้งแวววาวลื่นๆ แถมยังหนักอีก สัมผัสที่มือดีเลยทีเดียว ให้แม่สักแท่งดีไหมจ๊ะ ให้แม่ไขว่ห้างคำนวณเล่นตอนว่างๆ ไงดีไหมจ๊ะ?”
เซียวชูหรันได้ยินแล้วก็ยังรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เอ่ยว่า: “แม่ แม่เคยเห็นใครว่างๆ แล้วคำนวณทองเล่นเหรอ…”
หม่าหลันเอ่ยด้วยสีหน้าปกติ เอ่ยว่า: “ไม่เคยได้ยินใครพูดเหรอ? ทุกสรรพสิ่งสามารถคำนวณได้! ทองแท่งก้อนใหญ่นี่ ตอนไม่มีอะไรทำก็ใช้มันเป็นดัมเบลถือในมือยังออกกำลังกายได้ด้วย!”
เย่เฉินยิ้ม เอ่ยว่า: “แม่พูดถูกครับ แม่ใช้มันถือเป็นดัมเบลก็แล้วกันครับ!”
หม่าหลันได้ยินดังนั้น ก็กอดทองแท่งที่อยู่ในมือด้วยท่าทางที่ดีใจสุดขีด เอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า: “ขอบคุณนะลูกเขยสุดที่รักของฉัน!”
เซียวชูหรันรีบเอ่ยว่า: “แม่คะ นี่มันค่าตอบแทนที่คนเขาให้เย่เฉินนะคะ แม่อย่าเอามาผสมกันมั่วได้ไหมคะ…”
หม่าหลันเบ้ปากอย่างไม่พอใจ: “ชูหรัน นี่คือของขวัญที่เย่เฉินให้แม่นะ เป็นน้ำใจของเย่เฉิน ทำไมลูกเอาแต่ทำลายบรรยากาศอยู่เรื่อยเลยล่ะ…”
เซียวชูหรันเอ่ยด้วยความจริงจัง: “หนูไม่ได้ทำลายบรรยากาศนะคะ หนูกลับว่าแม่จะทำเรื่องไม่ดีอะไรต่างหากล่ะ…”
เย่เฉินพูดโน้มน้าวอยู่ข้างๆ เซียวชูหรัน: “เอาละๆ ชูหรัน ในเมื่อแม่ชอบก็ให้แม่รับไปเล่นเถอะนะ คุณไม่ต้องสนหรอก”
หม่าหลันกอดทองแท่งเอาไว้ พูดกับเซียวชูหรัน: “ชูหรัน เย่เฉินยังไม่มีข้อโต้แย้งเลย แกเลิกบ่นได้แล้ว”
สิ้นเสียง เธอก็หันหน้าไปมองเย่เฉิน ยิ้มตาหยี เอ่ยว่า: “เย่เฉินลูก…ลูกเขยสุดที่รักของแม่…เอ่อ…แม่ขอปรึกษาอะไรกับลูกหน่อยได้ไหม?”
เย่เฉินคุ้นเคยกับแผนลวงของหม่าหลันเป็นอย่างดี เขาไม่รอให้หม่าหลันพูดต่อไป ถามเธอทันทีว่า: “แม่ครับ แม่อยากจะพูดว่า ดัมเบลมีหนึ่งอันไม่สะดวก ต้องมีสองอัน มือสองข้างก็สองอันถึงจะเหมาะสมในการออกกำลังกายใช่ไหมครับ?”
หม่าหลันตบขาน่องตัวเอง เอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า: “อุ๊ย ลูกเขยสุดที่รัก เข้าใจแม่ที่สุดเลย! ลูกดูสิดัมเบลอันนี้ มันมีเป็นคู่ไม่ใช่เหรอ? มือข้างละอันยกขึ้นยกลงแบบนี้ถึงจะเรียกว่าออกกำลังกายนะ ถ้าแม่มีแค่อันเดียว ดีไม่ดีผ่านไปสักพักก็กลายเป็นแขนข้างหนึ่งอวบแขนข้างหนึ่งผอมแล้ว…”
เย่เฉินพยักหน้า หยิบทองแท่งหนึ่งแท่งขึ้นมา พร้อมยัดเข้าในอ้อมแขนของเธอ เอ่ยด้วยความใจกว้าง: “นี่ครับ! รับไป! เอาไปทั้งคู่เลย! ให้แม่หมดนี่เลยครับ!”
หม่าหลันดีใจสุดขีด ถือทองแท่งไว้ในมือทั้งสองข้าง นั่งบนโซฟาพร้อมส่ายไปซ้ายขวาราวกับลูกข่างด้วยความมีความสุขสุดๆ
เซียวชูหรันเห็นท่าทางนี้ของแม่ตน นอกจากเอือมระอาแล้วก็คือเอือมระอา สุดท้ายทำได้เพียงเอ่ยตักเตือน: “แม่คะ! ทองแท่งนี่แม่ห้ามแอบเอาไปขายเด็ดขาดเลยนะ!”
หม่าหลันรีบตอบตกลง: “ปัดโธ่ สบายใจได้น่า แม่ไม่ขายแน่นอน!”
เซียวชูหรันถอนหายใจยาวๆ พูดกับเย่เฉินว่า: “ที่รักคะ ฉันแนะนำให้พรุ่งนี้คุณไปเช่ากล่องนิรภัยที่ธนาคารซะ แล้วเอาทองแท่งเหล่านั้นไปเก็บไว้ที่ธนาคารเถอะค่ะ ขืนวางไว้ที่บ้าน ยังไงก็ไม่ปลอดภัย”
หม่าหลันโกรธเคืองขึ้นมา เอ่ยอย่างไม่พอใจ: “ชูหรัน แกก็พูดแซะฉันทั้งคืน คนเป็นแม่อย่างฉันไม่น่าเชื่อถือในสายตาแกขนาดนั้นเลยเหรอ? ถ้าเอาทองแท่งเหล่านั้นของเย่เฉินเก็บไว้ที่บ้าน ฉันจะขโมยไปได้อย่างนั้นเหรอ?”
เซียวชูหรันรีบเอ่ย: “แม่คะ หนูไม่ได้หมายความว่าแบบนี้นะ…หนูแค่คิดว่าถ้าเอาทองแท่งเก็บไว้ที่บ้านเยอะขนาดนี้ แล้วเจอขโมยเข้าจะไม่ปลอดภัย…”
สิ้นเสียง ก็เอ่ยขึ้นอีก: “สองแท่งที่อยู่กับแม่ หนูแนะนำให้แม่เอาไปฝากไว้ที่ธนาคารด้วยเหมือนกัน ถ้าอยากออกกำลังกายจริงๆ พรุ่งนี้หนูจะซื้อดัมเบลสำหรับผู้หญิงให้แม่”
“ไม่!” หม่าหลันอุ้มทองแท่งทั้งสองเอาไว้ เบ้ปาก เอ่ยว่า: “ฉันจะใช้พวกมันนี่แหละ ตอนนอนก็จะเอาวางไว้ใต้หมอนของฉัน!”
เย่เฉินส่งซิกทางสายตาให้เซียวชูหรัน เอ่ยว่า: “เอาน่าชูหรัน แม่อยากจะทำยังไงก็แล้วแต่แม่เถอะ คุณไม่ต้องกังวลส่งเดชแล้ว!