เซียวชูหรันเมื่อเห็นท่าทางที่ทั้งกระตือรือร้นทั้งประจบประแจงแม่ตน ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเอือมระอาทันที อดไม่ได้ที่จะเบ้ปาก เอ่ยว่า: “แม่คะ…ทำไมพอเย่เฉินกลับมา แม่ก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาแล้วล่ะคะ?”
หม่าหลันรีบเอ่ย: “เหลวไหล! ไม่ใช่ว่าฉันกระปรี้กระเปร่า หลายวันมานี้ฉันไม่มีอะไรทำจนแทบบ้า ทั้งเนื้อทั้งตัวเลยเต็มไปด้วยพลัง รอลูกเขยสุดที่รักของฉันกลับมา จะได้ทำกับข้าวให้ดีๆ ยังไงล่ะ!”
เซียวชูหรันถอนหายใจ เอ่ยว่า: “ในห้องครัวไม่มีแม้แต่ไข่สักใบ แม่จะทำอะไรให้เย่เฉินล่ะคะ?”
“ฮะ? งั้นเหรอ?” หม่าหลันเอ่ยถามด้วยความสงสัย: “ในตู้เย็นก็ไม่มีผักแล้วเหรอ?”
เซียวชูหรันกลอกตา: “เหลือแค่ผักกาดหัวเล็กสองหัว เมื่อเช้าให้คุณพ่อใช้ทำบะหมี่แล้ว”
หม่าหลันเอ่ยด่าทอ: “เซียวฉางควนคนนี้เนี่ยนะ ผักกาดฉันซื้อมามีสิทธิ์อะไรมากิน ไม่เข้าท่าจริงๆ !”
เซียวชูหรันถูขมับ: “แม่…ผักกาดนั่นใกล้จะเน่าเปื่อยหมดแล้ว…พ่อบอกว่าถ้าไม่กินก็จะเน่าแล้ว…”
หม่าหลันรีบบ่ายเบี่ยงประเด็น: “ช่างเถอะ พวกเราสั่งอาหารเถอะ ชูหรันลูก ลูกรีบดูสิว่ามีอะไรน่ากินบ้าง สั่งมาเยอะๆ หน่อยนะ!”
สิ้นเสียง ก็หันไปพูดกับเย่เฉินด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม: “เย่เฉินลูก นี่ลูกออกไปหลายวันนี้จะต้องเหนื่อยแย่เลยใช่ไหม มานี่ รีบมานั่งพักบนโซฟาก่อนเร็วเข้า!”
เซียวชูหรันสัมผัสได้ถึงความสองมาตรฐาน แม้ว่าในใจจะเอือมระอา ทว่าก็คร้านจะไปต่อล้อต่อเถียงกับแม่ ดังนั้นจึงควักโทรศัพท์ออกมา เปิดแอปเดลิเวอร์รี หาอาหาร
หม่าหลันรีบเรียกให้เย่เฉินมานั่งบนโซฟา ทั้งยกน้ำชามาเสิร์ฟทั้งรินน้ำให้ เย่เฉินบอกให้เธอไม่ต้องวุ่นวายแล้ว เธอก็ไม่ยอมใช้ไม้ค้ำเดินไปต้มชาให้เย่เฉิน
หลังจากที่เสิร์ฟชาที่ต้มเรียบร้อยแล้วให้เย่เฉิน เธอค่อยยิ้มตาหยีเอ่ยถามว่า: “เย่เฉิน ครั้งนี้ไปเย่นจิงเป็นยังไงบ้าง? ทุกอย่างราบรื่นดีไหม?”
“ราบรื่นดีครับ” เย่เฉินตอบกลับไป
หม่าหลันรีบถามทันที: “ตายจริง งั้นครั้งนี้คงได้เงินมาไม่น้อยเลยสินะ!”
เย่เฉินเอ่ย: “คนจ้างครั้งนี้ ไม่ได้ให้เงินเพราะว่าเงินในมือมีไม่เยอะน่ะครับ”
“อะไรนะ?” หม่าหลันได้ยินดังนั้น ก็เอ่ยด้วยความโมโห: “คนบ้าอะไรกัน?! ไม่มีเงินก็อย่างให้คนอื่นไปทำงานให้สิ! คนอื่นเขาทำงานให้เขาแล้วไม่ให้เงินเนี่ยนะ เกินไปแล้ว!”
เย่เฉินยิ้ม เอ่ยว่า: “ไม่ได้ให้เงินจริงๆ ครับ แต่ว่าเขาให้ของอย่างอื่นมาเป็นเงินประกันไว้ก่อน”
ดวงตาที่เย็นชาของหม่าหลันเมื่อครู่ เปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง รีบเอ่ยถามว่า: “ลูกเขยสุดที่รัก รีบบอกมาคนจ้างเขาใช้ของอะไรมาเป็นเงินประกันเหรอ?”
เย่เฉินเปิดกระเป๋าถือของตัวเองออก จากนั้นก็หยิบทองแท่งออกมาหนึ่งแท่ง
เมื่อหม่าหลันเห็นทองแท่งอันส่องสว่างสีทอง ก็ตกตะลึง เอ่ยว่า: “แม่เจ้าโว้ย! ทองแท่งนี่! บนนั้นเขียนว่า 1,000 แม่เจ้า 1,000 กรัมหรือนี่!”
สิ้นเสียง เธอก็ได้สติกลับคืนอย่างรวดเร็ว เอ่ยต่อว่า: “ราคาทองเหมือนจะประมาณสี่ร้อย งั้นแท่งนี้ก็สี่แสนเองนี่นา…”
เย่เฉินล้วงออกมาอีกหนึ่งแท่ง เอามาวางซ้อนด้านบนก้อนเมื่อครู่นี้ เอ่ยว่า: “คนเขาไม่ได้ให้แค่หนึ่งแท่งสักหน่อยครับ”
หม่าหลันปรบมือด้วยความดีใจ: “แม่เจ้า! ยังมีอีกเหรอเนี่ย!”
เย่เฉินล้วงออกมาอีกหนึ่งแท่ง หม่าหลันก็ยิ่งตื่นเต้นดีใจเข้าไปอีก: “แม่เจ้า สามแท่ง!”
จากนั้น…
“แม่เจ้า สี่แท่งแล้ว…”
“แม่เจ้า ยังมีอีกเหรอ? นี่มันแท่งที่ห้าแล้วสินะ…”
เย่เฉินล้วงทองแท่งออกมาอีกหนึ่ง หม่าหลันกระโดดโลดเต้นด้วยความดีอกดีใจ ท่าทางราวกับปีศาจที่ได้กินเนื้อของพระถังซัมจั๋งอย่างไรอย่างนั้น
จนกระทั่งเย่เฉินล้วงทองแท่งสิบแท่งออกมา วางเรียงกันเป็นสองแถว หม่าหลันเบิกตากว้าง จ้องไปยังทองแท่งระยิบระยับที่วางทับซ้อนกัน เอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น: “ลูกเขยสุดที่รัก ยังมีอีกไหม?”
“ไม่มีแล้วครับ” เย่เฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ: “ให้มาทั้งหมดสิบแท่ง ประมาณคร่าวๆ น่าจะประมาณสี่ล้านละครับ”
“แม่เจ้า!” หม่าหลันเอ่ยชมเชยด้วยความดีใจ: “สี่ล้านที่ลูกพูด เหมือนจะเป็นระดับกลาง ไม่ถือว่าน้อย แต่ก็ไม่ถือว่าเยอะมาก…”
พูดถึงตรงนี้ เธอยิ้มจนตาหยีเป็นเส้นเดียว หยิบทองแท่งขึ้นมาหนึ่งแท่ง พร้อมเอ่ยด้วยความดีอกดีใจ: “แต่นำสี่ล้านนี้เปลี่ยนเป็นทองคำ มันน่าทึ่งจริงๆ ! ทองแท่งระยิบระยับนี่น่าปลาบปลื้มจริงๆ !”