แม้ว่าเฉินจงเหล่ยจะพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว แต่ภายในใจของเขาก็เคารพต่อเย่เฉินทั้งกายและใจแล้ว หวังเพียงว่าจะสามารถออกจากความรู้สึกที่คล้ายกับตายทั้งเป็นนี้โดยเร็ว พร้อมพิสูจน์ถึงคุณค่าของตัวเองต่อหน้าเย่เฉิน
ในเวลานี้เองเย่เฉินพยักหน้าเบาๆ เอ่ยว่า: “ในเมื่อสำนักว่านหลงได้สาบานว่าจะภักดีต่อฉันแล้ว ฉันก็ไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาทั้งสองต้องตายทั้งเป็นแบบนี้หรอก”
สิ้นเสียง เย่เฉินเอ่ยกับเฉินจงเหล่ยว่า: “เฉินจงเหล่ย มานี่”
เมื่อได้ยินคำสั่งของเย่เฉิน ร่างกายของเฉินจงเหล่ยเดินหน้าทันทีโดยอัตโนมัติ
เย่เฉินมองดวงตาของเฉินจงเหล่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า: “ที่ฉันปิดกั้นการรับรู้ของนาย ก็พราะว่าตอนที่อยู่ตะวันออกลางนายก้าวร้าวเกินไป คิดไปเองว่ามีทหารนับหมื่นใต้บัญชาตัวเองแล้วจะไม่มีใครทำอะไรตนได้ ดังนั้นไม่เพียงแค่ส่งตัวเองไปตาย แล้วยังทำให้ทหารนับหมื่นภายใต้บัญชานายเข้าคุกฝ่ายตรงข้ามด้วย ฉันเชื่อว่าช่วงนี้นายได้ซึมซับการอบรมและประสบการณ์แล้ว ไม่งั้นในอนาคตยามนายนำทัพทหารของสำนักว่านหลง ไม่นานก็ช้าจะต้องทำผิดเช่นเดียวกันนี้ด้วย!”
แม้เฉินจงเหล่ยจะพูดอะไรไม่ออก ทว่าภายในใจรู้สึกผิดจนถึงขีดสุด
ตอนนั้น เป็นเพราะเขาประเมินเย่เฉินต่ำไป ถึงทำให้ทหารหมื่นห้านายต้องถูกจับเป็นเชลย เขารู้สึกผิดในใจมาตลอด จนบัดนี้เย่เฉินหยิบยกขึ้นมาพูด ก็ยิ่งละอายใจเข้าไปอีก เพียงแต่ไม่สามารถตอบสนองออกมาทางกายได้เท่านั้น
เย่เฉินไม่ได้เอ่ยอันใดมาก ยื่นมือออกมา จิ้มเบาๆ บนหน้าผากของเขา ปราณทิพย์ที่ปิดการรับรู้ของเขาอยู่แต่เดิมทีก็ถูกนำกลับ เฉินจงเหล่ยกลับมาเป็นอิสระทันทีทันใด
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินจงเหล่ยรับรู้ได้ว่าความรู้สึกที่ได้หายใจเองนั้นมันงดงามเพียงใด
สติปัญญาที่ควบคุมร่างกายถูกดึงกลับมาในชั่วพริบตา กระทั่งทำให้เขาไม่คุ้นชินได้ในช่วงแรก
เขาขยับนิ้วมืออย่างช้าๆ จากนั้นก็น้ำตาไหลพรากออกราวกับเขื่อนแตก
เขามองเย่เฉิน คุกเข่าลงสองข้างโขกศีรษะบนพื้น เอ่ยด้วยเสียงสะอึกสะอื้น: “คุณเย่ ขอบคุณที่คุณมีเมตตา ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเฉินจงเหล่ยจะฟังคำสั่งรับใช้คุณ จงรักภักดีต่อคุณอย่างถึงที่สุด!”
เย่เฉินพยักหน้า เอ่ยว่า: “ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญในการปฏิรูปสำนักว่านหลง ฉันหวังว่านายจะให้การสนับสนุนช่วยเหลือประมุขของพวกนาย รีบช่วยสำนักว่านหลงการปฏิรูปเชิงกลยุทธ์ให้สำเร็จโดยเร็ว”
เฉินจงเหล่ยเอ่ยอย่างไม่ลังเล: “คุณเย่โปรดวางใจได้ กระผมจะช่วยเหลือสุดความสามารถ!”
เย่เฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ: “เอาละ ลุกขึ้นเถอะ”
เฉินจงเหล่ยลุกขึ้นมา ยืนข้างหลังว่านพั่วจวิน
ในเวลาเย่เฉินมองไปยังลู่เห้าเทียนที่อ่อนปวกเปียกอยู่ จากนั้นเดินไปอยู่ด้านหน้าเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า: “ลู่เห้าเทียน นายฆ่าล้างคฤหาสน์หลังใหญ่ตระกูลเย่ฉัน แถมยังกล่าวคำอหังการว่าจะทำลายกระดูกของพ่อแม่ฉันเป็นผุยผงหลายครั้ง แถมยังไล่ฆ่าเรือนคุ้มกันตระกูลเย่อีก ตามหลักการจริงแล้ว ฉันไม่ควรปล่อยนายไป นายว่ายังไงล่ะ?”
ลู่เห้าเทียนน้ำตาอาบใบหน้า เอ่ยน้ำเสียงสะอื้น: “คุณเย่คุณพูดถูก…กระผมรู้ว่าบาปของผมสมควรตายสถานเดียว…ที่คุณให้กระผมมีชีวิตอยู่มาถึงวันนี้ก็เป็นพระคุณกับกระผมอย่างยิ่งแล้ว…”
เย่เฉินพยักหน้า เอ่ยว่า: “บัดนี้เป็นช่วงเวลาที่สำนักว่านหลงต้องการกำลังคน ในเมื่อเฉินจงเหล่ยได้รับอิสระกลับคืนแล้ว ฉันก็จะไม่ลงโทษนายมากเหมือนกัน จะไว้ชีวิตนายอีกสักครั้ง แล้วจะรอดูการกระทำวันข้างหน้าของนาย”
ลู่เห้าเทียนรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่ง เอ่ยด้วยความซึ้งใจ: “คุณเย่ไม่ต้องห่วง! ชีวิตของกระผมในอนาคตก็คือของคุณ!”
เย่เฉินพูดอืม จากนั้นเอ่ยตักเตือน: “แต่ว่านายต้องจำไว้ ความผิดที่นายและเฉินจงเหล่ยทำนั้นเหมือนกัน พวกนายมั่นใจในตัวเองมากเกินไป มั่นใจว่าจะไม่มีใครทำอะไรตัวเองได้ หรือคิดว่าไม่มีใครทำอะไรสำนักว่านหลงได้ แต่อันที่จริงคนที่แข็งแกร่งบนโลกนี้มีไม่รู้ตั้งกี่คน ต่อให้เป็นฉันเอง ก็ยังไม่กล้าคิดเอาเองว่าตัวเองไร้เทียมทาน ดังนั้นในอนาคตพวกนายจะต้องซึมซับคำสั่งสอนนี้ จำไว้ให้ขึ้นใจห้ามทำตัวจองหองอวดดีเหมือนเมื่อก่อนอีก”
ลู่เห้าเทียนและเฉินจงเหล่ยเอ่ยแทบจะพร้อมกัน: “ขอบคุณคุณเย่ที่มีเมตตา! กระผมเข้าใจแล้ว!”