เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เซียวฉางควนก็อุทาน และพูดโพล่งออกมาว่า “บัดซบ…….เย่เฉิน…… เรื่องของคุณถูกแฉออกมาแล้วใช่ไหม?”
เมื่อหม่าหลันได้ยินเช่นนี้ เธอก็รีบถามอย่างตื่นเต้นด้วยว่า “ลูกเขยแสนดี คุณถูกตีแผ่แล้วจริงๆ เหรอ! ถ้าอย่างงั้นต่อไปนี้จะมีคนใช้เงินหลายล้านเพื่อที่จะเชิญคุณไปดูฮวงจุ้ยอีกหรือไม่?”
เมื่อเห็นอาการประหม่าของทั้งสองคน เย่เฉินก็ส่ายหัวและยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ และกล่าวว่า “งานหลักของผมในตอนนี้ก็คือการดูฮวงจุ้ย พวกคุณก็รู้ การดูฮวงจุ้ยเป็นการดูวัตถุจริงโดยพื้นฐานอยู่แล้ว ไปดูที่สุสานของบรรพบุรุษ ดูบ้าน ดูพื้นที่สำนักงาน แม้ว่าซ่งหวั่นถิงจะเชื่อใจผมขนาดไหน มันก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่เธอจะเอาธุรกิจส่วนสำคัญมาพูดคุยกับผมหรอก”
เซียวฉางควนตบริมฝีปากของเขา พยักหน้าและกล่าวว่า “นี่มันก็ถูกเหมือนกัน…….”
หลังจากพูดไป เขาก็รีบถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “ใช่แล้วเย่เฉิน คุณกลับไปถามซ่งหวั่นถิงดูว่า การประมูลในครั้งนี้เป็นการแสดงผาดโผนเพื่อสร้างกระแส หรือว่าจะทำจริงๆ ถ้าจะทำจริงๆ คุณลองดูสิว่าพอจะขอจดหมายเชิญจากเธอได้หรือเปล่า ถึงเวลานั้นผมจะไปดูสักหน่อย ว่าจะมีคนโง่คนไหนมาเข้าร่วมด้วย”
เย่เฉินพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “คาดว่ามันอาจจะเป็นการแสดงผาดโผนนะ พ่อคุณก็ไม่ต้องไปติดตามเลย แต่จะว่าไปแล้วในช่วงนี้ทางด้านสมาคมการเขียนพู่กันจีนและภาพวาดของคุณเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
“กำลังดีมาก!” เซียวฉางควนพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “สมาคมการเขียนพู่กันจีนและภาพวาดของเราเริ่มมีอิทธิพลอยู่ในเมืองมากขึ้นเรื้อยๆ แล้ว และในไม่ช้าพวกเราก็จะร่วมมือกับในเมืองเพื่อดำเนินกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรมต่างๆ เมืองของเราเป็นมิตรกับเมืองแดจอนของเกาหลีใต้ เมืองของเรามีแผนการจะจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับเมืองแดจอนในไม่ช้า และหากเรื่องนี้ได้ตกลงกันแน่ชัดแล้ว ถึงเวลานั้นผมก็จะต้องเดินทางไปด้วยเช่นกัน”
เมื่อหม่าหลันได้ยินคำพูดนี้ ก็ทำหน้ามีความสุขขึ้นมาในทันที และพูดโพล่งออกมาว่า “เซียวฉางควน คุณจะไปเป็นผู้แลกเปลี่ยนที่เกาหลี่ใต้งั้นหรือ?”
เซียวฉางควนยังคิดว่าหม่าหลันอยากจะเยาะเย้ยว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติพอ ดังนั้นเขาจึงถามเธอโดยจิตสำนึกว่า “ทำไม? ไม่ได้เหรอ? เซียวฉางควนอย่างข้าไม่ว่ายังไงตอนนี้ผมก็เป็นถึงรองประธานของสมาคมแล้ว เป็นรองผู้บังคับบัญชาที่เหมาะสม!”
“ค่ะๆๆ” หม่าหลันพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้คุณยอดเยี่ยมมากขึ้นแล้วจริงๆ เมื่อถึงเวลาถ้าจะไปเกาหลีใต้ พาฉันไปด้วยคนได้ไหม? ฉันโตมาขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยไปต่างประเทศเลย!”
เซียวฉางควนรีบพูดว่า “คุณลืมมันไปได้เลย! ผมไปเป็นตัวแทนผู้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในนามสมาคมการเขียนพู่กันจีนและภาพวาดกับชาวเกาหลี คุณเข้าใจการแลกเปลี่ยนหรือไม่? มันคือการสนทนาระหว่างคนที่มีความรู้ คุณจะตามไปเพื่ออะไร? คนที่ไม่รู้อาจจะคิดว่าผมคงจงใจพาครอบครัวไปเที่ยวเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย!”
เมื่อหม่าหลันได้ยินคำพูดนี้ เธอก็พูดอย่างไม่พอใจทันทีว่า “คุณไม่ใช่รองประธานาธิบดีเหรอ? เป็นถึงรองประธานาธิบดีอยู่แล้ว ออกไปจัดกิจการแลกเปลี่ยนยังไม่สามารถพาภรรยาของตัวเองไปด้วยเลยงั้นหรือ?!”
เซียวฉางควนพูดอยู่ในใจว่า “ถึงสามารถพาไปได้ก็คงไม่พามึงไปด้วยหรอก! กูแม่งไม่ได้บ้าไปแล้ว…….”
แต่อย่างไรก็ตามเขากลับกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “การแลกเปลี่ยนนี้ไม่ได้จัดโดยสมาคมการเขียนพู่กันจีนและภาพวาดของเรา แต่จัดขึ้นโดยในเมือง ถึงเวลานั้นแต่ละสำนักสาขาวัฒนธรรมจะมีการส่งตัวแทนสองถึงสามคน และทุกคนจะจัดตั้งกลุ่มแลกเปลี่ยนเพื่อเช่าเครื่องบินเหมาลำไปด้วยกัน ไม่มีใครสามารถพาสมาชิกในครอบครัวไปได้”
เมื่อเย่เฉินได้ยินคำพูดนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามเขาว่า “ออใช่แล้วพ่อ ถ้าอย่างงั้นมหาวิทยาลัยผู้สูงอายุไปด้วยไหม?”
เซียวฉางควนพูดอย่างผ่านๆ ว่า “ไปสิ งานในรอบนี้เป็นงานที่เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในระดับวัยกลางคนและผู้สูงอายุเป็นหลัก”