พูดจบ เธอใช้นิ้วจิ้มลงไปบนภาพเย่เฉินเบาๆ พูดพึมพำว่า “สวัสดีอาจารย์เย่ ในที่สุดก็เจอกันอีกแล้ว!”
จากนั้น เธอรีบอ่านประวัติทางการของเย่เฉิน แต่เมื่อกวาดตาอ่านแบบลวกๆ เธอพูดอย่างตกใจ “เย่เฉิน ไม่มีประวัติที่เกี่ยวกับครอบครัวเหรอ! ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีปู่ย่าตายาย แม้แต่ญาติก็ไม่มีสักคน เขาเด้งออกมาจากซอกหินหรือไง”
เฉินอิ่งซานพยักหน้า อธิบายว่า “คุณหนู ประวัติของเย่เฉินค่อนข้างน่าสงสาร ข้อมูลทางการแสดงให้เห็นว่า เขาโดนทิ้งตั้งแต่เพิ่งเกิด จากนั้นถูกสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจินหลิงรับไปเลี้ยง ตอนนั้นจัดการเรื่องทะเบียนบ้านวุ่นวายมาก ดังนั้นเขาอยู่แบบไม่มีชื่อปรากฏตามทะเบียนบ้านในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจนถึงแปดขวบ หลังจากแปดขวบ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเห็นพ้องต้องกัน ทำทะเบียนบ้านรวมให้เด็กกำพร้ากลุ่มหนึ่ง เขาถึงมีทะเบียนบ้าน”
นี่เป็นจุดฉลาดหลักแหลมของถังซื่อไห่
อันที่จริงเย่เฉินเพิ่งเข้ามาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตอนแปดขวบ และทะเบียนบ้านของเขา ไม่ใช่คนเมืองจินหลิง
เพื่อความปลอดภัยอย่างสูงสุดของเย่เฉิน เขาต้องมอบตัวตนใหม่ให้เย่เฉินทั้งหมด การเป็นคนเมืองจินหลิง อีกทั้งยังต้องได้รับการตรวจสอบ รวมไปถึงในอนาคต ไม่มีทางโดนคนจับได้
ดังนั้น เขาจึงปลอมปูมหลังของเย่เฉินขึ้นมา ให้ข้อมูลที่แสดงอย่างเป็นทางการของเขา โดนพ่อแม่ทิ้งหลังจากเกิด หาพ่อแม่ที่แท้จริงไม่เจอ อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจนถึงแปดขวบ จึงมาอยู่ในทะเบียนบ้านของตัวเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ โดยรวมถือว่าสมบูรณ์แบบแล้ว
เพราะเด็กที่โดนทอดทิ้ง หาพ่อแม่ไม่เจอเป็นจำนวนมาก สุดท้ายก็จะมีทะเบียนบ้านของตัวเอง ทำแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
เมื่อเฟ่ยเข่อซินอ่านถึงตรงนี้ เธอไม่มีความสงสัยใดๆ แต่อดตกใจไม่ได้ “ประวัติของเย่เฉินน่าสงสารขนาดนี้เลยเหรอ อีกทั้งฉันเห็นว่าเขายังไม่ทันจบมัธยมปลาย ก็เลิกเรียนกลางคัน จนกระทั่งก่อนแต่งงาน เพิ่งเรียนมหาวิทยาลัยได้หนึ่งปี อีกทั้งยังไม่ได้ปริญญาบัตรด้วย”
“ใช่ค่ะ” เฉินอิ่งซานพูดอย่างหดหู่เช่นกัน “ดูน่าสงสารมากเลย อีกทั้งหลังแต่งงาน ก็ย้ายทะเบียนบ้านออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า มาอยู่ในทะเบียนบ้านของเซียวฉางควน ถ้าฉันเดาไม่ผิด เขาน่าจะเป็นลูกเขยที่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านภรรยาของตระกูลเซียว”
“ลูกเขยที่อยู่ในบ้านภรรยางั้นเหรอ” ถึงเฟ่ยเข่อซินใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่เด็ก แต่เธอเกิดและโตในครอบครัวคนจีน เข้าใจประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของหัวเซี่ยเป็นอย่างดี
เธออดขมวดคิ้วไม่ได้ พูดพึมพำว่า “อาจารย์เย่ เป็นลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านภรรยาเหรอ ถ้าเขามีความสามารถขนาดนั้น ทำไมถึงเป็นลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านภรรยาล่ะ อีกทั้งตระกูลเซียว ก็เหมือนมีความสามารถแค่ทั่วไป……”
ในความทรงจำของเธอ คนที่เป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านภรรยา เป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงระดับชั้นต่ำสุดในสังคมชาวจีน
มีเพียงแค่ครอบครัวที่ยากลำบากมาก หรือไม่ก็กำลัง ตำแหน่งทางครอบครัว ด้อยกว่าทางบ้านฝ่ายหญิงมาก จึงต้องยอมทิ้งศักดิ์ศรี แต่งเข้าบ้านผู้หญิง
เพราะการแต่งเข้าบ้านผู้หญิง เป็นสิ่งที่แสดงถึงการละทิ้งศักดิ์ศรีของผู้ชาย อีกทั้งยังละทิ้งครอบครัวเดิมที่ตัวเองเกิดมาด้วย
อีกทั้งเฟ่ยเข่อซินรู้จักตระกูลชาวจีนมาไม่น้อย เพราะไม่มีลูกชาย หรือไม่ก็อยากมีทายาทมากมาย จึงให้ลูกสาวหาลูกเขยแต่งเข้าบ้าน แม้ลูกเขยพวกนั้นอยู่ดีกินดี ได้รับการปรนเปรอ แต่ในสายตาของภรรยา รวมไปถึงคนฝั่งภรรยา แทบจะไม่มีศักดิ์ศรีอะไรเลย มักโดนใช้งาน ดูหมิ่นต่างๆ นานา
ถึงขนาดลูกที่คลอดออกมา ก็ต้องใช้แซ่ของบ้านฝ่ายหญิง
เพราะมีความทรงจำเช่นนี้ เฟ่ยเข่อซินจึงแปลกใจมาก เธอไม่เข้าใจจริงๆ ถ้าเย่เฉินเก่งมาก ทำไมถึงต้องแต่งเข้าตระกูลเล็กๆ ที่ไม่อยู่ในสายตา เพื่อเป็นลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง