“เจิ้งหยู่เหรอ” เซียวฉางควนถามทันที “คนนี้มีชื่อเสียงมากเหรอ”

เมื่อประธานเพ๋ยได้ยิน จู่ๆ เขาไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี พูดขึ้นมาว่า “ฉางควน……ฉันบอกกับนายตั้งนานแล้ว นายเป็นรองประธาน สมาคมการเขียนพู่กันจีนและภาพวาด นายไม่ต้องเครียด ที่ไม่มีพรสวรรค์ด้านการเขียนพู่กันจีนและภาพวาด แต่ยังไงก็ต้องมีความรู้บ้าง ดังนั้นเมื่อมีเวลาว่าง ต้องดูคอลเลกชั่นการเขียนพู่กันและภาพวาดโบราณและสมัยใหม่ แต่นายไม่ฟัง ขนาดเจิ้งหยู่ นายยังไม่รู้จัก ถ้าต่อไปนายออกไปคนเดียว คงต้องอึ้งกับคำถามของคนอื่นแน่นอน!”

พูดพลาง เขารีบอธิบายว่า “เจิ้งหยู่ เป็นหนึ่งในนักเขียนพู่กันจีน ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ในประวัติศาสตร์ของเมืองจินหลิง มีสมญานามเป็นคนแรกของอักษรลี่ซู ราชวงศ์ชิง ถึงในบรรดาปรมาจารย์นักเขียนพู่กันจีนอันดับต้นๆ ในประวัติศาสตร์ เจิ้งหยู่จะไม่ได้มีชื่อเสียงสักเท่าไร แต่เขาเป็นนักเขียนพู่กันจีนของเมืองจินหลิง มีคุณค่ากับสมาคมการเขียนพู่กันจีนและภาพวาดเมืองจินหลิงของเราเป็นอย่างมาก!”

เซียวฉางควนยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน จากนั้นจึงพูดว่า “อ๋อๆๆๆ ผมจำได้แล้ว……เมื่อกี้คุณพูดเร็ว ผมเลยนึกไม่ออก……”

เซียวฉางควนพูดเช่นนี้ อันที่จริงเขาไม่รู้จักเจิ้งหยู่สักนิด

ประธานเพ๋ยไม่ได้สนใจอะไรเขา พูดอย่างตื้นตันว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ คนจีนโพ้นทะเลท่านนั้นยังพูดว่า เธออยากเผยแพร่ความรู้ทางด้านพู่กันจีนและภาพวาดของเมืองจินหลิง ที่สั่งสมมาในประวัติศาสตร์ ดังนั้นจึงอยากให้เงินทุนเรา เพื่อจัดนิทรรศการขนาดใหญ่ เกี่ยวกับพู่กันจีนและภาพวาดทางประวัติศาตร์ของเมืองจินหลิง! เอาผลงานของผู้มีชื่อด้านพู่กันจีนและภาพวาดของเมืองจินหลิงแต่ละยุคออกมา จัดเป็นนิทรรศการ อีกทั้งเธอยังสัญญาว่าจะช่วยหาผลงานของผู้มีชื่อเสียง ในประวัติศาสตร์ของเมืองจินหลิงด้วย!”

พูดพลาง เขาตบไหล่เซียวฉางควน แล้วพูดอย่างตื่นเต้น “ถ้าจัดนิทรรศการนี้สำเร็จ สมาคมการเขียนพู่กันจีนและภาพวาดของเราต้องมีชื่อเสียงแน่! ไป เรากลับสมาคมไปเจอชาวจีนโพ้นทะเลท่านนี้กันเถอะ”

เพราะเซียวฉางควนอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นจึงไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้มากเท่าไร คนจีนโพ้นทะเล นิทรรศการอะไร ไม่มีค่าอะไรสำหรับเขา เขาคิดเพียงว่าจะได้อยู่กับหานเหม่ยฉิงในเร็ววัน และตัดความคิดของผู้ชายคนอื่น โดยเฉพาะเฮ่อหยวนเจียง!

แต่ตอนนี้เขาเป็นอันดับสองในสมาคมการเขียนพู่กันจีนและภาพวาด ประธานเพ๋ยพูดขนาดนี้แล้ว เขาจะทำพลาดไม่ได้ จึงเอ่ยปากตกลง แล้วพูดว่า “ได้ งั้นเราไปกันเถอะครับ!”

พอดีกับที่หานเหม่ยฉิงกับเฮ่อหยวนเจียง เก็บโน้ตบุ๊กของตัวเองเสร็จพอดี เห็นเซียวฉางควนกับประธานเพ๋ยกำลังจะไป หานเหม่ยฉิงจึงเดินเข้ามาถามอย่างสงสัย “ฉางควน คุณไม่ไปร่วมรับประทานอาหารเหรอ”

“ไม่ไปแล้ว” เซียวฉางควนพูด “มีเรื่องด่วนที่สมาคมพอดี ผมกับประธานเพ๋ยต้องกลับไป”

หานเหม่ยฉิงพยักหน้า แล้วพูดว่า “พอดีเลย ฉันกับด็อกเตอร์เฮ่อก็จะกลับพอดี ออกไปด้วยกันสิ”

ทั้งสี่คนเดินมาที่ลานจอดรถ เฮ่อหยวนเจียงจอดรถไว้ใกล้มาก ดังนั้นหานเหม่ยฉิงจึงพูดกับเซียวฉางควน และประธานเพ๋ยว่า “ฉางควน ประธานเพ๋ย งั้นเราสองคนไปก่อนนะ ไว้เจอกันวันหลัง”

ประธานเพ๋ยพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “ได้เลยครับ ด็อกเตอร์หานไปกับด็อกเตอร์เฮ่อก่อนได้เลย เราสองคนจอดรถไว้ไกล”

“ค่ะ” หานเหม่ยฉิงยิ้มบางๆ ด็อกเตอร์เฮ่อที่อยู่ข้างๆ เอ่ยลาทั้งสองคน จากนั้นเข้าไปนั่งในรถ สตาร์ทรถแล้วออกไป

เมื่อเห็นรถของทั้งสองคนขับออกไปไกลแล้ว ประธานเพ๋ยอดถอนหายใจไม่ได้ “ฉางควน นายรู้สึกไหมว่า ด็อกเตอร์หานกับด็อกเตอร์เฮ่อเหมาะสมกันมาก”

เซียวฉางควนเบิกตาโต พูดโพล่งออกมาว่า “พวกเขาเหมาะสมกันตรงไหน! คนแซ่เฮ่อจะคู่ควรกับเหม่ยฉิงได้ยังไงกัน!”

ประธานเพ๋ยพูดอย่างจริงจังว่า “นายดูเขาทั้งสองสิ เป็นบุคคลที่มีความสามารถ ถึงจะใกล้อายุ 50 แล้ว แต่ยังดูเหมือนประมาณ 40 ปีอยู่เลย อีกทั้งยังเป็นนักเรียนตัวท็อป ที่เรียนกลับมาจากอเมริกา ต้องมีอะไรที่คุยถูกคอกันเยอะมาก อีกอย่างฉันได้ยินมาว่าทั้งสองคนเป็นหม้าย นี่ไม่รู้จะเหมาะสมกันยังไงแล้ว!”

เซียวฉางควนไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก อดไม่ไหวพึมพำอย่างหดหู่ออกมาว่า “ผมว่าเฮ่อหยวนเจียง อย่างกับคางคกกับห่านฟ้าชัดๆ!”