ตอนที่ 1 มาไม่เสียเที่ยว

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 1 มาไม่เสียเที่ยว

แสงไฟสายหนึ่งลากผ่านไปมาอยู่ภายในอุโมงค์ของสุสาน ชายผู้หนึ่งถือไฟฉายแรงสูงส่องไปรอบด้าน สำรวจดูผนังและเพดานของอุโมงค์ อีกทั้งเส้นทางเบื้องหน้าที่ดำมืด

ในตอนที่แสงไฟฉายส่องเข้ากับผนังหินในระยะใกล้ ภายในความมืดก็ได้มีรูปร่างหน้าตาของชายผู้นั้นสะท้อนออกมา

ชายวัยกลางคน รูปร่างผอมสมส่วน ผมหวีเรียบไปด้านหลัง ใบหน้าขาวผ่องเกลี้ยงเกลา เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต ดวงตาทั้งสองเปล่งประกายมีชีวิตชีวา สีหน้าสุขุมเยือกเย็น

สะอาดสะอ้านตั้งแต่หัวจรดเท้า เสื้อผ้าหน้าผมเองก็เป็นระเบียบเรียบร้อย สวมชุดคอจีนและกางเกงสีดำ มือถือไม้เท้าที่เหยียดตรงเอาไว้แท่งหนึ่ง

การที่คนที่แต่งกายเรียบร้อยสะอาดสะอ้านเช่นนี้มาปรากฏตัวอยู่ในสุสาน คนที่ไม่รู้จักก็จะคิดว่าน้อยนักที่จะได้พบเห็น แต่คนที่รู้จักก็จะคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติ เพราะคนผู้นี้คือ ‘นักโบราณคดีใต้ดิน’ ที่ในอดีตถูกคนในวงการยกย่องว่าเป็นเต้าเหยี่ย[1] ภายหลังเมื่อสถานะและความอาวุโสภายในวงการเพิ่มขึ้น จึงถูกผู้คนยกย่องว่าเป็นเต้าเหยี่ย[2]

ปัจจุบันในเวลาปกติ เต้าเหยี่ยจะเก็บตัวบำเพ็ญเพียรเหมือนอย่างนักพรตจริงๆ น้อยครั้งนักที่จะออกมาด้วยตัวเอง มีเพียงตอนที่พบเจอสถานที่ที่ค่อนข้างน่าสนใจ เขาถึงจะออกมาเดินดูด้วยตัวเอง อย่างเช่นสุสานที่อยู่ตรงหน้าในเวลานี้ที่มีโครงสร้างและการออกแบบที่ยากจะพบเห็นได้

ไม้เท้าเคาะไปบนพื้นดังก๊อกๆ ตามฝีเท้าที่ก้าวเดิน กระทั่งในตอนที่บนพื้นมีเสียงกระทบของโลหะดัง ‘เป๊ง ขึ้นมา เต้าเหยี่ยจึงหยุดเดิน ทว่าเขามิได้เร่งร้อนก้มลงมองดูพื้น หากแต่กวาดตามองตามแสงไฟฉายไปรอบด้าน เบื้องหน้ามีโถงใต้ดินขนาดใหญ่ที่ดำมืดแห่งหนึ่งปรากฎขึ้นมา ด้วยแสงจากไฟฉายทำให้พอมองออกว่าเขาได้มาถึงพระราชวังใต้ดินของสุสานแล้ว และพระราชวังใต้ดินที่ใหญ่ขนาดนี้ก็เป็นสิ่งที่พบเห็นได้น้อยนัก

เมื่อสำรวจดูรอบด้านอย่างคร่าวๆ แล้ว แสงไฟฉายถึงจะส่องไปยังใต้เท้า ไม้เท้าเคาะไปบนพื้นดัง ‘เป๊งๆ’ อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นใช้ปลายเท้าถูไปบนพื้นสองสามที ปัดเอาฝุ่นที่จับตัวอยู่บนพื้นออกไปแถบหนึ่ง เผยให้เห็นพื้นโลหะที่สะท้อนสีสัมฤทธิ์โบราณออกมาเล็กน้อย

ชายวัยกลางคนดึงไม้เท้ากลับมาเหน็บไว้ใต้แขนข้างที่ถือไฟฉาย มือที่ว่างลงห้อยตกลงอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะค่อยๆ ยกฝ่ามือขึ้นมาอย่างเนิบช้าอีกครั้ง บนพื้นที่มีฝุ่นจับตัวมีลมหมุนปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นจู่ๆ เขาพลันพลิกฝ่ามือผลักออกไปเบื้องหน้า ระเบิดพลังภายในออกมา ลมจากฝ่ามือพัดออกไปดังฟู่ว พัดพาเอาฝุ่นที่จับตัวอยู่บนพื้นเบื้องหน้าออกไป จากนั้นปัดมือเล็กน้อยท่ามกลางฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย

ชายวัยกลางคนถือไม้เท้าค้ำยันไว้ข้างกายอีกครั้ง ยืนรอคอยอย่างเงียบๆ ฝุ่นละอองที่ฟุ้งกระจายยากจะเข้าใกล้ร่างกายเขาได้ ไฟฉายแรงสูงส่องไปบนพื้นที่ฝุ่นละอองถูกลมพัดออกไป ทำให้เห็นว่าบนพื้นเบื้องหน้าภายในรัศมีสิบกว่าเมตรล้วนแต่ถูกปูด้วยโลหะ มิได้มีแค่เพียงพื้นที่เล็กๆ ใต้เท้าของเขาเท่านั้น บนพื้นโลหะคล้ายมีลวดลายอะไรบางอย่างแกะสลักเอาไว้ หากไม่ปัดเอาฝุ่นทั้งหมดออกไป ก็คงยากที่จะเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของลวดลายทั้งหมดได้

กระทั่งฝุ่นละอองร่วงตกลงจนหมด เต้าเหยี่ยจึงถือไม้เท้าเดินต่อไปข้างหน้า ไฟฉายส่องเพดานที่อยู่ด้านบนเป็นระยะ รอบๆ พระราชวังใต้ดินแห่งนี้ยังมีทางเข้าที่มืดสลัวเหมือนอย่างอุโมงค์ที่เขาเดินเข้ามาอยู่อีกหลายแห่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าอุโมงค์เหล่านั้นทอดยาวไปถึงที่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าปลายทางมีความลับอะไรแอบซ่อนอยู่

“สุสานแบบนี้ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยจริงๆ น่าสนใจ…” เต้าเหยี่ยกล่าวพึมพำพลางยิ้มเล็กน้อย แต่ใต้เท้ากลับมีเสียงครึกดังขึ้นมา คล้ายว่าเขาเหยียบพื้นจนจมลงไป จากนั้นใต้พื้นก็คล้ายมีเสียงครืดๆ ดังขึ้นมา ราวกับว่ามีสลักกำลังเคลื่อนไหวอยู่

โครม! เสียงวัตถุหนักๆ กระแทกลงบนพื้นดังลอยมาจากทางอุโมงค์ที่เขาเดินเข้ามา

เต้าเหยี่ยสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ด้วยประสบการณ์ของเขา เพียงแค่ได้ยินก็รู้ว่าอุโมงค์ที่เขาเดินเข้ามาได้ถูกอะไรบางอย่างที่ตกลงมาตัดขาดแล้ว

จากนั้นในปากโพรงที่ดำมืดอีกหลายแห่งก็มีเสียงครืดที่ทุ้มต่ำดังลอยออกมา คล้ายว่ามีประตูบางอย่างที่หนักอึ้งได้เปิดออก

เต้าเหยี่ยยกเท้าออกจากพื้น ถอยหลังไปสองสามก้าว ไฟฉายที่อยู่ในมือส่องไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว ในใจเขารู้ว่าตนเองไปเหยียบถูกกลไกเข้าแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าไปสัมผัสถูกกลไกอะไรภายในสุสานเข้า แต่การที่มันสามารถตัดขาดอุโมงค์ทางเข้าออกได้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่ากลไกนี้มิได้มีเจตนาที่ดีแน่

เขามองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง แต่หลังจากรอคอยอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง รอบด้านก็เงียบสนิท ไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ

กลับกลายเป็นตรงปากทางเข้าที่เขาเดินเข้ามาที่มีเสียงระเบิดดัง ‘ตู้ม’ ขึ้นมา สั่นสะเทือนจนมาถึงพื้นที่เขายืนอยู่ เสียงครืนๆ ดังสะท้อนไปมาภายในพระราชวังใต้ดิน

ไม่นานเขาก็สัมผัสได้ว่าภายในเสียงครืนๆ ที่ดังสะท้อนไปมานั้นมีเสียงความเคลื่อนไหวบางอย่างที่แตกต่างออกไป ไฟฉายส่องไปยังปากโพรงที่ดำมืดแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว คล้ายว่ามีอะไรบางอย่างกำลังวิ่งออกมา ภายใต้แสงไฟฉายที่ส่องไปได้มีดวงตาสีเขียวเข้มคู่หนึ่งปรากฏขึ้นมาในส่วนลึกของปากโพรงแห่งนั้น จากนั้นโครงร่างทั้งหมดของมันก็ปรากฏขึ้นมา นั่นคือคนที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งผู้หนึ่ง

แต่ก็มิคล้ายคนไปเสียทีเดียว หากแต่ดูคล้ายมัมมี่อย่างไรอย่างนั้น ทั่วทั้งร่างมีขนสีขาวงอกยาว ฟันแหลมคม ดวงตาเปล่งเป็นแสงสีเขียวเมื่อต้องแสงจากไฟฉาย ปลายนิ้วทั้งสิบเป็นสีดำคล้ำและแหลมคม วิ่งออกมาจากปากโพรงอย่างคลุ้มคลั่ง กระโจนเข้ามาหาเขาพลางส่งเสียงคำราม ปากโพรงที่อยู่รอบด้านล้วนแต่มีตัวประหลาดแบบเดียวกันปรากฏขึ้นมา

ซอมบี้! ภายในหัวของเต้าเหยี่ยมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา แต่บนมือยังคงไม่หยุดเคลื่อนไหว หัวไม้เท้าถูกบิด ประกายที่เย็นเยียบสายหนึ่งพุ่งออกมาจากในไม้เท้า ร่างกายของเขาถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็วหนึ่งก้าว เบี่ยงตัวหลบซอมบี้ที่กระโจนเข้ามาอย่างดุร้าย บนมือมีลำแสงกระบี่สายหนึ่งปรากฏขึ้นมา พริบตานั้นโลหิตสีเขียวก็สาดกระจายออกมาจากคอของซอมบี้

ศีรษะของซอมบี้กระเด็นลอยออกไป แยกหลุดออกจากร่าง ร่างกายของซอมบี้กระแทกลงไปกับพื้นดังตึง บิดงอไปมาอยู่บนพื้น พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาอยู่หลายทีแต่ก็ไม่สำเร็จ

แต่ความเคลื่อนไหวของเต้าเหยี่ยกลับมิได้หยุดลง ลำแสงกระบี่ภายในมือวูบไหวอย่างต่อเนื่อง ร่างมนุษย์ร่างแล้วร่างเล่าที่กระโจนเข้ามาถูกเขาฟันร่วงลงไปกับพื้น แสงจากไฟฉายกวัดแกว่งไปมาอยู่ตรงเบื้องหน้าเขา

มิได้มีซอมบี้แค่เพียงตัวเดียว ปากโพรงที่อยู่รอบด้านมีซอมบี้ส่งเสียงคำรามพลางพุ่งกระโจนเข้ามาหาเขาอย่างคลุ้มคลั่งไม่ขาดสาย ทวีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ท่ามกลางการกลุ้มรุมโจมตี มือไม้ของชายวัยกลางคนปั่นป่วน อาศัยเพียงกระบี่ที่อยู่ในมือไม่ทันที่จะกำจัดศัตรูได้ มือเท้าประสานใช้ออกไปพร้อมกัน ภายใต้ความเร่งรีบจึงได้แทงกระบี่ทะลุหัวใจของซอมบี้ตัวหนึ่ง แต่กลับพบว่าการแทงไปที่หัวใจนั้นไร้ประโยชน์ ซอมบี้ตัวนั้นยังคงตะปบเข้ามาได้ เท้าของเต้าเหยี่ยหวดออกไปอย่างรุนแรง เตะซอมบี้ตัวนั้นจนกระเด็นลอยไปกระแทกเข้ากับซอมบี้สองสามตัวที่อยู่ด้านหลัง มิทันรอให้เท้าแตะลงพื้น ร่างกายของเขาลอยขึ้นกลางอากาศ หมุนตัวเตะซอมบี้ที่อยู่ด้านหลังจนกระเด็นลอยออกไปอีกตัวหนึ่ง จากนั้นบิดเอวอีกครั้ง หวดเตะอย่างต่อเนื่องจนซอมบี้กระเด็นลอยออกไปอีกหลายตัว ประกายเย็บเยียบที่อยู่ภายในมือฟันศีรษะของซอมบี้ขาดไปอีกหลายศีรษะ

ในระยะเวลาเพียงไม่นาน รอบกายของเขาก็มีซอมบี้ที่ดุร้ายยี่สิบกว่าตัวนอนกระจัดกระจาย ทว่ากลับไม่มีซอมบี้ตัวไหนที่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้แม้แต่ตัวเดียว แต่มือเท้าของเขาก็หยุดลงไม่ได้เช่นเดียวกัน หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปเกรงว่าคงจะถูกโจมตีจนไม่กล้าเข้าใกล้เขาแล้ว แต่ซอมบี้เหล่านี้ไม่หวาดกลัวความตาย อีกทั้งการโจมตียังดุร้ายน่ากลัวจนรับมือได้ยาก

“ตรืดๆๆ…” ตรงปากทางเข้าพลันมีเสียงปืนดังขึ้นมาอย่างเร่งร้อน ปืนที่อยู่ในมือชายรูปร่างเล็กผอมพ่นเปลวเพลิงออกมา สาดกระสุนเข้าใส่ฝูงซอบบี้ที่กระโจนเข้าหาเต้าเหยี่ยอย่างบ้าคลั่ง

หลังยิงออกไปอย่างต่อเนื่อง ชายรูปร่างเล็กผอมก็พบว่ากระสุนแม้นจะยิงถูกเป้าหมาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก กลับกลายเป็นว่าดึงดูดซอมบี้บางส่วนให้กระโจนเข้ามาหาตัวเองแทน แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็มีประสบการณ์ในการจัดการกับสิ่งเหล่านี้เช่นเดียวกัน ตำแหน่งที่จะยิงถูกปรับอย่างรวดเร็ว เขายิงไปที่ศีรษะและหัวเข่าของซอมบี้แทน

ซอมบี้ที่วิ่งกรูเข้ามาบางส่วนก็ถูกยิงจนสูญเสียความสามารถในการวิ่ง ทำได้เพียงตะเกียกตะกายคลานเข้ามา บางส่วนก็ถูกยิงระเบิดศีรษะจนมันสมองสาดกระเซ็น ล้มลงไปกองกับพื้น

เปลวเพลิงที่พวยพุ่งออกมาจากปากกระบอกปืนส่องสว่างใบหน้าที่เย็นชาไร้ซึ่งความรู้สึกของชายรูปร่างเล็กผอม ดูสุขุมเยือกเย็นเป็นอย่างมาก

แม้นฝูงซอมบี้จะวิ่งกรูเข้ามาอย่างไม่หวาดกลัวความตาย แต่เขาก็หาได้ถอยหนี หากแต่เดินหน้าเข้าไป อาศัยความเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเปลี่ยนแมกกาซีนและดึงลูกเลื่อนในพริบตา เสียงปืนหยุดชะงักแล้วก็ดังอย่างต่อเนื่องขึ้นมาอีกครั้ง ระหว่างที่สืบเท้าก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งร้อนก็เปลี่ยนไปถือปืนด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างก็ชักเอาปืนพกออกมาจากเอว ตัวปืนแฉลบผ่านเข็มขัด ลูกกระสุนเลื่อนเข้าไปในรังเพลิง ก่อนจะหันปืนเล็งไปยังศีรษะของซอมบี้ที่ถูกยิงหัวเข่าจนเสียหายและกำลังจะคลานมาถึงตรงหน้า จากนั้นเหนี่ยวไก ‘ปังๆ’ โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมอง ระเบิดสมองของซอมบี้ตัวนั้นไป

บางครั้งปืนพกก็หันกลับไปยิงข้างหลัง ระเบิดสมองซอมบี้ที่กระโจนมาจากทางด้านหลัง

ปืนกลและปืนพกที่อยู่ในมือเขาถูกเปลี่ยนแมกกาซีนด้วยมือข้างเดียวอย่างลื่นไหล ความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธปืนมิใช่ธรรมดา ซอมบี้เหล่านั้นทยอยกองลงไปกับพื้นโดยไม่อาจเข้าใกล้เขาได้

กระทั่งเต้าเหยี่ยฟันศีรษะซอมบี้ตัวสุดท้ายที่อยู่ตรงหน้าจนขาด ปืนที่อยู่ในมือชายรูปร่างเล็กผอมก็ส่งเสียงดัง ‘ตรืดๆ’ ยิงซอมบี้ตัวสุดท้ายที่กระโจนเข้ามาจนหงายหลังไปเช่นเดียวกัน เต้าเหยี่ยใช้ปลายเท้าตวัดปลอกไม้เท้าขึ้นมา ปลอกไม้เท้าหมุนควงร่วงตกลงมา ก่อนจะเสียบกระบี่กลับเข้าปลอก เปลี่ยนกลับเป็นไม้เท้าค้ำยันอยู่บนพื้นใหม่อีกครั้ง ความเคลื่อนไหวดูลื่นไหลช่ำชอง จากนั้นยกมือลูบผมที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อยไปทางด้านหลัง

ภายในพระราชวังใต้ดินอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่แปลกประหลาด

ชายรูปร่างเล็กผอมเดินวนอยู่รอบกายเต้าเหยี่ยรอบหนึ่ง พบซอมบี้ที่ถูกฟันเอวขาดแต่ยังไม่ตายหรือไม่ก็ซอมบี้ที่กำลังนอนตะเกียกตะกายอยู่บนพื้นเพราะถูกฟันจนขาขาดทั้งสองข้าง ปากกระบอกปืนกลยกเล็งไปที่ศีรษะของมัน ก่อนจะพ่นเปลวเพลิงออกมาพร้อมกับเสียง ‘ตรืดๆ’ หรือไม่ก็ยกปืนพกขึ้นมาพร้อมกับเหนี่ยวไกยิงดัง ‘ปังๆ’

กระทั่งซอมบี้ภายในพระราชวังใต้ดินทั้งหมดไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว ชายรูปร่างเล็กผอมจึงมองไปรอบด้านอย่างระแวดระวังพร้อมกับเปลี่ยนแมกกาซีนอย่างรวดเร็ว ปืนพกเหน็บกลับไปที่เอว ปืนกลเองก็ห้อยไว้บนไหล่ จากนั้นเขาหยิบเอาของที่มีลักษณะเหมือนท่อแท่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าด้านหลังแล้วดึงมันแยกออกจากกัน เปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาพร้อมกับเสียงดัง ‘ฟู่ว’ ก่อนจะถูกชายรูปร่างเล็กผอมโยนออกไป จากนั้นก็มีแท่งไฟอีกสามสี่แท่งถูกโยนออกไปรอบๆ โครงสร้างคร่าวๆ ภายในพระราชวังใต้ดินปรากฏขึ้นมาให้เห็นลางๆ ภายใต้แสงไฟที่ส่องสว่าง เพดานด้านบนเป็นทรงโค้ง บนพื้นเต็มไปด้วยซากศพของซอมบี้นอนเกลื่อนกลาด

ชายรูปร่างเล็กผอมเดินไปยืนอยู่ข้างกายชายวัยกลางคนที่กำลังจัดระเบียบเสื้อผ้า ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เต้าเหยี่ย พวกซอมบี้ที่ตามมาจากด้านนอกถูกจัดการหมดแล้ว ทางเข้าก็มีพวกพี่น้องคอยเฝ้าอยู่ หินที่ตกลงมาปิดทางเอาไว้ก็ถูกระเบิดออกแล้ว พวกเราสามารถออกไปจากที่นี่ได้ทุกเมื่อครับ”

เต้าเหยี่ยส่งเสียงอืม ส่องไฟฉายพลางใช้ไม้เท้าเขี่ยพลิกซากศพซอมบี้ที่อยู่บนพื้นขึ้นมาดู

ชายรูปร่างเล็กผอมมองดูซากศพที่อยู่รอบกายพลางนับดูอย่างคร่าวๆ พบว่าอย่างน้อยน่าจะมีอยู่ร้อยกว่าตัว จึงกล่าวอย่างรู้สึกประหลาดใจว่า “ซอมบี้มาจากไหนเยอะแยะขนาดนี้?”

“ใครจะไปรู้ล่ะ เมื่อก่อนต่อให้เจอก็มีแค่ตัวสองตัว ซอมบี้เยอะแยะขนาดนี้นี่มันช่าง…ที่นี่น่าสนใจทีเดียว มาไม่เสียเที่ยว!” เต้าเหยี่ยหัวเราะหึๆ ขึ้นมา ไฟฉายแรงสูงส่องไปรอบด้านอีกครั้ง ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่รูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมที่สูงเกือบสิบเมตรองค์หนึ่ง รูปปั้นนั่งพิงผนังอยู่ในท่าขัดสมาธิ ให้ความรู้สึกเปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา

ภายในพระราชวังใต้ดินล้วนว่างเปล่า มีเพียงรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมองค์นี้ตั้งอยู่เพียงองค์เดียวเท่านั้น เป็นไปได้ยากที่จะไม่สังเกตเห็น

แสงไฟฉายหยุดอยู่ที่ใต้ลำคอของรูปปั้นกวนอิม เผยให้เห็นจี้ชิ้นหนึ่งที่ห้อยอยู่บนคอของกวนอิม รูปปั้นกวนอิมทั้งองค์ถูกแกะสลักขึ้นมาจากหินก้อนเดียว เห็นได้ชัดว่าจี้ชิ้นนั้นถูกสวมใส่ขึ้นไปต่างหาก ตอนนี้ดูแล้ว เกรงว่านี่จะเป็นของสิ่งเดียวที่สามารถหยิบออกไปจากพระราชวังใต้ดินที่มีโครงสร้างเป็นเนื้อเดียวกันแห่งนี้ได้เช่นเดียวกัน

เต้าเหยี่ยเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง หลังพลาดเหยียบกลไกมาครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ เขาก็รู้ว่าสุสานแห่งนี้มีความแปลกประหลาดกว่าสุสานทั่วๆ ไป ไม้เท้าเคาะไปบนพื้นที่เดิน ดูคล้ายคนตาบอดที่กำลังสำรวจทางเดินอย่างไรอย่างนั้น ทว่าความจริงแล้วเขากำลังฟังเสียงที่สะท้อนออกมาจากบนพื้นว่าผิดปกติหรือไม่ ด้วยกลัวว่าจะไปเหยียบเข้ากับกลไกอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อมาถึงเบื้องล่างของรูปปั้นกวนอิม เต้าเหยี่ยแหงนหน้ามองดูเล็กน้อย ก่อนจะใช้ไม้เท้าเคาะรูปปั้นอีกครั้งแล้วฟังเสียง จากนั้นสูดหายใจ จู่ๆ พลันถีบตัวเบาๆ กระโดดขึ้นไปบนตักของกวนอิม จากนั้นถีบตัวเบาๆ อีกครั้งหนึ่ง ปีนขึ้นไปบนไหล่ของรูปปั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะนั่งยองๆ อยู่บนนั้นพลางดึงโซ่ที่ห้อยอยู่บนคอของกวนอิมมาสำรวจดู พบว่าเป็นโซ่โลหะเส้นหนึ่ง จากนั้นเขาดึงเอาจี้ที่ห้อยอยู่บนโซ่ชิ้นนั้นขึ้นมา เป่าฝุ่นทิ้งพลางใช้ไฟฉายส่องดู พบว่าเป็นคันฉ่องสัมฤทธิ์โบราณที่มีขนาดประมาณฝ่ามือบานหนึ่ง

รูปแบบของคันฉ่องสัมฤทธิ์บานนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ตัวคันฉ่องไม่เหมือนโซ่โลหะเส้นนั้น เพราะโซ่โลหะเส้นนั้นขึ้นสนิมทั้งเส้นแล้ว ทว่าตัวคันฉ่องกลับยังคงความงามและกลิ่นอายของความโบราณเอาไว้ได้อยู่ มิได้มีร่องรอยสนิมเกาะกินเลยแม้แต่น้อย

สถานที่แห่งนี้ก็มิใช่สถานที่ที่จะค่อยๆ มาทำการสำรวจดูได้เช่นกัน ขณะที่คิดจะถอดเอาคันฉ่องสัมฤทธิ์ออกไปด้วย เขากลับพบว่าโซ่ที่ห้อยคันฉ่องอยู่เส้นนั้นเชื่อมติดเป็นเนื้อเดียวกับตัวรูปปั้น แต่ตัวโซ่ก็ถูกสนิมกัดกินไปพอสมควรแล้ว น่าจะไม่แข็งแรงเท่าไรเช่นเดียวกัน เต้าเหยี่ยวางของที่อยู่ในมือลง คว้าจับโซ่เส้นนั้นเอาไว้แล้วออกแรงดึง เสียงเคร้งดังขึ้น โซ่เส้นนั้นถูกดึงจนขาด แต่เขากลับพบว่าภายในโซ่ได้มีเชือกสีทองเส้นหนึ่งถูกดึงออกมา คล้ายลากเอาอะไรบางอย่างที่อยู่ภายในคอของรูปปั้นขึ้นมา

………………………………………………………..

[1]เต้าเหยี่ย (盗爷) หมายถึง จอมโจรปล้นสุสาน

[2]เต้าเหยี่ย( 道爷) หมายถึง ท่านนักพรต