ตอนที่ 2 คนโบราณกล่าวไว้ไม่มีผิด

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 2 คนโบราณกล่าวไว้ไม่มีผิด

การติดตั้งภายในเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ภายในรูปปั้นกวนอิมที่อยู่ใต้เท้าเองก็คล้ายมีเสียงความเคลื่อนไหวบางอย่างดังขึ้นมา

เขากระชากเอาคันฉ่องออกมาจากโซ่โลหะ แต่ยังมิทันที่เขาจะได้กระโดดลงมาจากบนหัวไหล่ของรูปปั้น ใต้พื้นพระราชวังใต้ดินก็มีเสียงสลักดัง ‘ครืดๆๆ’ ขึ้นมา ความเคลื่อนไหวนี้รุนแรงเสียยิ่งกว่ากลไกที่เขาไปสัมผัสถูกก่อนหน้านี้ กระทั่งพื้นพระราชวังก็กำลังสั่นสะเทือน ทั่วทั้งพระราชวังโยกไหวไปมาอย่างรุนแรง

เต้าเหยี่ยที่เกือบจะกระโดดลงไปใช้แขนเกี่ยวศีรษะของรูปปั้นเอาไว้ ก่อนจะใช้ไฟฉายกวาดมองดูสถานการณ์รอบด้านอย่างรวดเร็ว การจะไปแตะถูกอะไรโดยไม่จำเป็นในเวลาเช่นนี้นั้นมิใช่เรื่องดีอะไรนัก

มีอะไรบางอย่างร่วงตกลงมาจากด้านบน แสงไฟฉายส่องขึ้นไป พบว่าเพดานกำลังปริแตก

“เจ้าลิง เพดานกำลังจะถล่มลงมาแล้ว รีบออกไปเร็ว!” เต้าเหยี่ยส่งเสียงตะโกน ส่วนตัวเองก็กระโดดลงมาจากบนไหล่ของรูปปั้น

แต่ว่าโชคของเขาไม่ดีเท่าไรนัก หินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งร่วงตกลงมาทับเขากลางอากาศ

กระทั่งในตอนที่เขานอนหมอบลงไปกับพื้นพร้อมทั้งกระอักเลือดออกมา เขาคล้ายมองเห็นร่างของชายที่รูปร่างเล็กผอมวูบไหวผ่านไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางก้อนหินที่ทยอยร่วงตกลงมา ก่อนจะกลิ้งตัวหนีเข้าไปในอุโมงค์ที่พวกเขาเข้ามา จากนั้นภาพเบื้องหน้าพลันมืดลง เขาสูญเสียการรับรู้ไป….

ภายในหัวของเขาเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย หลังความรู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรงหดหายไปเหมือนกระแสน้ำไหล เขาก็ค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา ภาพเบื้องหน้ามืดสลัว มีแสงไฟวูบไหวไปมา

สายตาเขากวาดมองซ้ายขวา ก่อนจะมองเห็นแหล่งกำเนิดแสงสว่าง คบเพลิงแท่งหนึ่งเสียบเฉียงๆ อยู่บนเสาต้นหนึ่ง ตัวเองคล้ายอยู่ในวัดร้างเก่าๆ ที่มีความเก่าแก่โบราณแห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าคือที่ไหน แต่น่าจะเป็นเจ้าลิงที่หนีออกไปที่เป็นคนช่วยตัวเองออกมา

ความรู้สึกที่ถูกหินทับจนนอนหมอบอยู่กับพื้นก่อนหน้านี้ยังคงอยู่ ด้วยน้ำหนักของหินก้อนนั้น เกรงว่าต่อให้ไม่ตายก็คงมีสภาพที่ไม่ได้ดีสักเท่าไรนัก การที่ตัวเองสามารถรอดชีวิตมาได้นับว่าโชคดีมากแล้ว

จากประสบการณ์ของเขา หากต้องอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัส ก็อย่าได้เคลื่อนไหวร่างกายอย่างรุนแรงจะเป็นการดีที่สุด แม้นร่างกายจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอะไร แต่นั่นอาจจะเป็นผลจากการที่เส้นประสาทกำลังอยู่ในอาการชาก็เป็นได้

ลองขยับนิ้วมือดูก่อน นิ้วมือทั้งสิบขยับได้ไม่ติดขัด ไม่มีปัญหา!

ลองขยับฝ่ามือไปจนถึงแขน ขยับไม่ลื่นไหล ไม่มีปัญหาเช่นกัน!

ลองยกเท้าทั้งสองข้าง งอเข่ายืดหดขา ยังคงไม่มีปัญหา!

ภายใต้ความรู้สึกประหลาดใจระคนยินดี เขาใช้มือทั้งสองข้างยันไปบนพื้น ขณะที่กำลังคิดจะทดสอบสภาพร่างกาย จู่ๆ พลันมีใบหน้าแก่ชราที่อมยิ้มเล็กน้อยใบหน้าหนึ่งบดบังสายตาของเขาเอาไว้จากด้านบน ทั้งปิ่นปักผม มวยผมและรูปแบบของเสื้อผ้าชุดนั้น นั่นคือชายชราที่แต่งกายด้วยชุดโบราณคนหนึ่ง

“พ่อหนุ่ม เจ้าตื่นแล้วหรือ? ดูเหมือนโชคของข้าจะยังดีอยู่จริงๆ” ชายชรายิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว ยื่นมือไปจับที่หัวไหล่ของเขาแล้วดึงขึ้น จากนั้นประคองเขาขึ้นมา

เต้าเหยี่ยยังคงมีความระแวงอยู่เล็กน้อย คิดอยากจะโคจรพลังขึ้นมาป้องกัน แต่กลับพบว่าไม่สามารถดึงเอากำลังภายในออกมาได้ เกรงว่าน่าจะเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เมื่อลุกขึ้นนั่งพลางบิดร่างกายดูเล็กน้อย เขาก็พบว่าร่างกายไม่มีปัญหาอะไร มีเพียงด้านหลังศีรษะที่มีความรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย คล้ายเคยถูกอะไรบางอย่างกระแทกใส่

สายตาเขากวาดมองดูสภาพภายในวัดร้าง ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าของชายชรา จากนั้นกล่าวถามว่า “พี่ชาย ที่นี่คือ…” ทันทีที่คำพูดหลุดออกจากปาก เขาก็พบว่าเสียงของตัวเองแปลกไป ฟังดูค่อนข้างอ่อนเยาว์ เกรงว่าน่าจะเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกัน เขาจึงกระแอมเล็กน้อยแล้วกล่าวถามต่อไปว่า “ที่นี่คือที่ไหน?”

“พี่ชาย?” ชายชรางุนงงไปเล็กน้อย จากนั้นพลันหัวเราะหึๆ ขึ้นมาพลางกล่าว “คนหนุ่มสาวนี่พูดจาไม่มีความเกรงใจกันเลย เอาล่ะ พี่ชายก็พี่ชาย เป็นตัวของตัวเองแบบนี้แหละ ข้าชอบ ที่นี่เรียกว่าอะไรข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน ข้าเองก็ไม่มีเวลาไปนั่งสำรวจดูด้วย อย่างไรเสียมันก็อยู่ในภูเขารกร้างแห่งหนึ่งในจังหวัดจื่ออวิ๋นของแคว้นเยี่ยน”

จังหวัดจื่ออวิ๋นของแคว้นเยี่ยน? เต้าเหยี่ยพลันงุนงง นี่มันคือที่ไหนกัน?

จึงอดสังเกตดูอีกฝ่ายเล็กน้อยตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่ได้ พบว่าบนเสื้อผ้าตรงหน้าอกของอีกฝ่ายมีรอยคราบเลือดขนาดใหญ่ ได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ สีหน้าค่อนข้างขาวซีด คล้ายได้รับบาดเจ็บมา แต่สายตาของอีกฝ่ายยังคงเป็นประกาย จึงกล่าวถามว่า “ไม่ทราบว่าพี่ชายชื่ออะไร?”

ชายชรายิ้มพลางกล่าว “ข้าชื่อตงกัวเฮ่าหราน ศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์”

เต้าเหยี่ยงุนงงไปอีกครั้งหนึ่ง คำพูดได้ยินอย่างชัดเจน แต่กลับไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร จึงสังเกตดูอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง พบว่าอีกฝ่ายแต่งกายด้วยชุดโบราณ คำพูดเองก็มีความโบราณ นี่เขาอินกับบทบาทเกินไปหรือเปล่า? คุณจะแสดงเป็นคนโบราณก็แสดงให้มันเหมือนหน่อยได้หรือเปล่า คนโบราณอะไรพูดจีนกลางชัดขนาดนี้ ? เขาสงสัยว่ามีคนกำลังแกล้งเขา จึงเหลียวหน้ามองไปรอบด้านพลางตะโกน “เจ้าลิง! เจ้าลิง…”

ชายชราเองก็งุนงงไปเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าเองก็เพิ่งมาถึง ก็ไม่เห็นลิงอะไรนะ ในป่าแถบนี้มีลิงด้วยอย่างนั้นหรือ?”

ไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าลิง แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แต่คนที่สามารถพาตัวเองออกมาจากสุสานโบราณได้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เต้าเหยี่ยกล่าวถามเสียงเบา “พี่ชาย ทำอาชีพอะไรเหรอ?”

ชายชรายิ้มพลางกล่าว “สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ย่อมเป็นฝ่ายธรรมะ”

เต้าเหยี่ยแค่นหัวเราะ “พี่ชาย ถ้ายังล้อกันเล่นแบบนี้มันไม่สนุกนะ มีอะไรก็พูดตรงๆ เถอะ”

“ได้!” ชายชราพยักหน้าพลางกล่าว “ตัวข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส เหลือเวลาไม่มากแล้ว บางทีเจ้าอาจจะไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่เจ้าแค่ต้องจำเรื่องหนึ่งเอาไว้ให้ดี สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เองก็อยู่ในจังหวัดจื่ออวิ๋นเช่นเดียวกัน ห่างจากที่นี่ประมาณสามร้อยกว่าลี้ ลงจากเขาลูกนี้ไปไม่ไกลจะมีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง ล่องตามแม่น้ำลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปถึงน้ำตกตรงผาขาดแห่งหนึ่งก็ให้หยุดลง ตรงที่ที่อบอวลไปด้วยพลังวิญญาณแห่งนั้นก็คือสถานที่ตั้งของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ จำได้หรือยัง?”

เมื่อกล่าวจบ ชายชราก็นั่งขัดสมาธิตัวตรง ฝ่ามือข้างหนึ่งหมุนวนแล้วผลักออกอย่างนุ่มนวลตรงเบื้องหน้า

เต้าเหยี่ยตกใจจนหน้าถอดสีไปในทันที เขาพบว่าตนเองถูกพลังที่มองไม่เห็นสายหนึ่งกระหนาบเอาไว้จนมิอาจขยับเขยื้อนได้ ร่างกายของเขาลอยขึ้นมาจากพื้นอย่างแผ่วเบา ภายในใจเรียกได้ว่ารู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าบนโลกจะมีคนที่มีกำลังภายในสูงส่งล้ำลึกถึงเพียงนี้ เรียกได้ว่าสูงส่งล้ำลึกจนเขาไม่สามารถจินตนาการได้ เดิมเขาคิดว่าสภาวะการบำเพ็ญเพียรของตนเองนั้นถือว่าอยู่ในระดับสุดยอดของวงการแล้ว ตอนนี้ดูแล้วเหมือนจะเป็นเพียงไข่มุกเม็ดจ้อยที่ริอาจไปเทียบแสงกับจันทราเท่านั้น คำโบราณกล่าวไว้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า คำพูดนี้ว่าไว้ไม่ผิดเลย!

ชายชราพลันฟาดฝ่ามือไปที่ทรวงอกของตัวเอง พ่นโลหิตออกมาคำหนึ่ง

โลหิตจับตัวกันเป็นก้อนทรงกลมลอยอยู่กลางอากาศ ชายชรายื่นนิ้วเสียบเข้าไปในก้อนโลหิตที่ลอยอยู่ตรงเบื้องหน้า ก่อนจะขยับนิ้วไปมาอย่างรวดเร็ว ภายในก้อนโลหิตมีอักขระสีแดงปรากฏขึ้นมาตัวแล้วตัวเล่า อักขระลอยออกมา หมุนวนอยู่รอบกายเต้าเหยี่ย

ภาพเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ทำเอาเต้าเหยี่ยรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง การควบคุมกำลังภายในที่มีความล้ำลึกเช่นนี้ เขาไม่เคยแม้กระทั่งคิดฝันมาก่อน

อักขระลอยออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ก้อนโลหิตหดเล็กลงเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายหายไปจนหมด กลายเป็นอักขระสีเลือดจำนวนสามสิบหกตัวลอยหมุนวนอยู่รอบกายเต้าเหยี่ย

จู่ๆ ชายชราพลันใช้สองมือหมุนวนไปมา ร่างเต้าเหยี่ยที่ลอยอยู่กลางอากาศเองก็หมุนวนขึ้นลงซ้ายขวาเช่นเดียวกัน

ชายชราฟาดฝ่ามือออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ละฝ่ามือล้วนแต่ฟาดไปบนอักขระสีเลือดที่หมุนวนอยู่ อักขระสีเลือดหดตัวลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นลำแสงสีแดงพุ่งเข้าไปในเส้นปราณและจุดชีพจรของเต้าเหยี่ยอย่างแม่นยำ

ความรู้สึกที่ถูกบางสิ่งบางอย่างทะลวงเข้าไปในร่างกายนั้นเจ็บปวดจนเต้าเหยี่ยหลั่งเหงื่อเยียบเย็นออกมา

กระทั่งในตอนที่อักขระสีเลือดทั้งสามสิบหกตัวถูกซัดเข้าไปในร่างกายของเต้าเหยี่ยจนหมด ฝ่ามือที่ฟาดไปมาของชายชราก็คว่ำลง เต้าเหยี่ยเองก็ค่อยๆ ลอยลงมา ก่อนจะนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้าชายชรา มองดูเขาอย่างงุนงง

สีหน้าที่คร่ำเคร่งของชายชรามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่ประกายที่อยู่ในดวงตาทั้งสองข้างก่อนหน้านี้ดูสลัวลงไป เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า “ข้าใช้วิชาลับของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แปลงสภาวะทั้งหมดของข้าให้กลายเป็นยันต์คุ้มกายทั้งสามสิบหกเพื่อคุ้มครองเจ้าจากพลังชั่วร้าย เจ้ามุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ข้าบอก มันน่าจะพอคุ้มครองเจ้าไปถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้ ตัวข้าบาดเจ็บสาหัส เหลือเวลาไม่มากแล้ว ไม่สามารถกลับไปยังสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้อีก การที่ได้เจอพ่อหนุ่มในช่วงเวลาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดนั้นนับว่าเป็นโชคของข้า แล้วก็เป็นโชคของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เช่นเดียวกัน การที่พ่อหนุ่มได้มาเจอข้า นั่นก็นับเป็นโชคของพ่อหนุ่มเช่นเดียวกัน ถือว่าพวกเรามีวาสนาที่จะเป็นศิษย์อาจารย์ เจ้าได้เป็นศิษย์ของข้า อย่างไรก็ย่อมต้องดีกว่าเป็นชาวบ้านธรรมดาอยู่ในภูเขาแห่งนี้อยู่แล้ว คิดว่าเจ้าก็คงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธเช่นเดียวกัน พอเจ้าไปถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็บอกพวกเขาว่าเป็นศิษย์ของข้า ยันต์คุ้มกายที่ข้าใส่เข้าไปในตัวเจ้าก็คือหลักฐานยืนยัน พวกเขาจะเชื่อที่เจ้าบอก”

เต้าเหยี่ยมองดูเขาตาปริบๆ พยายามทำความเข้าใจคำพูดของเขา

ชายชราหยิบเอาคันฉ่องสัมฤทธิ์บานหนึ่งออกมาจากในหน้าอก ยื่นส่งให้เขาพลางกล่าวว่า “เพื่อของสิ่งนี้แล้ว ข้าต้องเอาชีวิตของข้ามาทิ้งไว้ที่นี่ ถังมู่ที่เป็นเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คือศิษย์พี่ของข้า เจ้าเอาของสิ่งนี้ไปส่งให้ศิษย์พี่ของข้าที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ จำเอาไว้ให้ดี ของสิ่งนี้ไม่อาจนำออกมาให้คนอื่นเห็นได้ เจ้าต้องมอบให้กับศิษย์พี่ของข้าเท่านั้น ห้ามให้มันตกอยู่ในมือคนอื่นเด็ดขาด จำได้หรือยัง?”

เต้าเหยี่ยพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะยื่นมือไปรับเอาคันฉ่องสัมฤทธิ์บานนั้นมาพลิกดู ทันใดนั้นภายในใจคล้ายมีคลื่นลมปั่นป่วน เต็มไปด้วยความรู้สึกตกใจปนสงสัย นี่…นี่น่าจะเป็นคันฉ่องสัมฤทธิ์ที่เขาดึงออกมาจากรูปปั้นกวนอิมองค์นั้น ทว่าก็ไม่อาจมั่นใจได้เช่นกัน เพราะตอนนั้นเขาไม่ได้ดูมันอย่างละเอียด แต่คันฉ่องสัมฤทธิ์ที่อยู่ในมือเขาดูคล้ายคันฉ่องสัมฤทธิ์บานนั้นอย่างมาก

เขาเงยหน้ามองดูชายชรา อิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายเมื่อครู่นี้ทำให้เขารู้สึกเชื่อในอะไรบางอย่างขึ้นมาเล็กน้อย แต่คันฉ่องสัมฤทธิ์บานนั้นก็ดึงเขากลับมายังโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง

เขาคิดอยากจะถามอะไรเสียหน่อย แต่ใครจะไปรู้ว่าขณะที่เขาเพิ่งจะอ้าปาก ชายชราก็หลับตาทั้งสองข้างลง มุมปากมีรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนเอนล้มลงมาลงตัวของเขา

“พี่ชาย! พี่ชาย…” เต้าเหยี่ยเขย่าตัวเรียกชายชรา แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ เขายื่นมือไปอังที่จมูก อีกทั้งจับดูชีพจรตรงลำคอของอีกฝ่าย พบว่าอีกฝ่ายสิ้นใจตายไปแล้ว!

หลังตรวจสอบดูอยู่สองสามครั้งและแน่ใจว่าอีกฝ่ายตายไปแล้วจริงๆ เต้าเหยี่ยก็งุนงงไปครู่หนึ่ง ถ้าจะแกล้งเขาคงไม่จำเป็นต้องเล่นให้เหมือนจริงขนาดนี้หรอกมั้ง นี่มันตายจริงๆ นี่นา!

เขาค่อยๆ วางศพชายชรานอนราบลงกับพื้น จากนั้นพลิกดูคันฉ่องสัมฤทธิ์ที่อยู่ในมือ ในเวลานี้เขาถึงได้สังเกตเห็นว่าบนร่างของตัวเองก็สวมชุดโบราณอยู่เช่นเดียวกัน ฝ่ามือทั้งสองข้างเองก็มิใช่ฝ่ามือของตน บนศีรษะรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไร เขายกมือขึ้นคลำแล้วก็ลองดึงดู โอ๊ยเจ็บ! นี่มันมวยผมจริงๆ!

เขาลุกขึ้นยืนแล้วกวาดตามองไปรอบๆ ทันใดนั้นพลันมีเสียงกรีดร้องดัง ‘กา’ ลอยมาจากด้านนอก ฟังดูคล้ายเสียงร้องของอีกา

เต้าเหยี่ยรีบสืบเท้าเดินไปที่ประตู ด้วยคิดอยากจะมองดูสถานการณ์ด้านนอกเพื่อยืนยันอะไรบางอย่าง เขาดึงสลักประตู ประตูเปิดออก เดินออกมายังบันไดที่อยู่ด้านนอก

หมู่เขาสูงต่ำลดหลั่นกันไปภายใต้จันทราที่ส่องแสงสุกสกาว หมู่ดาวเปล่งแสงระยิบระยับอยู่เต็มท้องฟ้ายามค่ำคืน บนต้นไม้ใหญ่ด้านนอกวัดมีเสียงกรีดร้องดัง ‘กา’ ขึ้นมาอีกครั้ง ดึงดูดความสนใจของเขาเอาไว้ คล้ายว่านั่นคืออีกาตัวหนึ่งจริงๆ เขามองเห็นดวงตาทั้งสองข้างของอีกาตัวนั้นได้อย่างชัดเจน ภายในดวงตาเปล่งแสงสีแดงจางๆ ออกมา คล้ายว่ามันกำลังจับจ้องคันฉ่องสัมฤทธิ์ที่อยู่ในมือของเขาอยู่

แสงสีแดงที่อยู่ภายในดวงตาของอีกาสว่างขึ้นมา มันกระพือปีกหนึ่งครั้ง ระเบิดตัวกลายเป็นหมอกสีดำพุ่งเข้ามา เบื้องหน้าของหมอกสีดำกลายร่างเป็นคน มือที่มันเหวี่ยงออกมากลายเป็นดาบเล่มยักษ์ที่เปล่งประกายแวววาวฟันเข้ามา

สถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ เต้าเหยี่ยไม่เคยพบเห็นมาก่อน กระทั่งได้ยินก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน จึงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก รีบเบี่ยงตัวหลบในทันที ทว่าร่างกายของเขาคล้ายตามความเร็วในการตอบสนองตามปกติของเขาไม่ทัน ตาเห็นตนเองกำลังจะตายภายใต้ดาบที่ฟันลงมา ขณะที่เขาเหวี่ยงแขนออกไปป้องกันตามสัญชาตญาณอย่างลนลาน กระแสความร้อนสายหนึ่งที่อยู่บนแขนได้พุ่งออกไปจากฝ่ามือ ฝ่ามือปวดแสบปวดร้อนเป็นอย่างยิ่ง แสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งออกไป กลายเป็นอักขระสีเลือดขนาดใหญ่แผ่นหนึ่ง กระแทกเข้ากับมนุษย์อีกาที่พุ่งเข้ามาอย่างจัง

ตูม! เสียงที่คล้ายสายฟ้าคำรามเสี่ยงหนึ่งดังสะท้อนไปมา มนุษย์อีกาที่ชนเข้ากับอักขระสีเลือดถูกกระแทกจนกลายเป็นหมอกควันลอยออกไป อักขระสีเลือดแผ่นหนึ่งก็หายตามไปด้วย

แขนข้างหนึ่งยกขึ้น เอวบิดโค้งงอไปด้านข้าง เต้าเหยี่ยที่ตัวแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อนไปครู่หนึ่งคล้ายรู้สึกยากจะเชื่อได้ นี่เป็นฝีมือของตนเองอย่างนั้นหรือ? เขาอดคิดถึงคำพูดของชายชราหลังจากที่ถ่ายทอดวิชาให้เขาเมื่อครู่นี้ขึ้นมาไม่ได้

บ้าเอ้ย ข้างนอกเหมือนจะมีอันตรายอยู่!

เต้าเหยี่ยขยับตัว ถีบตัวถอยไปด้านหลัง กระโดดกลับเข้าไปในห้อง ก่อนจะปิดประตูลงอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งดับคบเพลิงที่อยู่ด้านในลงด้วย….

……………………………………………..