บทที่ 1 แหวนอันแปลกประหลาด

ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก

บทที่ 1 แหวนอันแปลกประหลาด

บทที่ 1 แหวนอันแปลกประหลาด

เดือนแปดในจิงโจว อากาศร้อนแรงดุจหม้อนึ่ง ผู้คนหายใจยากลำบาก กระทั่งอากาศเริ่มเย็นลง

 

อู๋ฝานโบกพัดสายลมเอื่อย ขณะพลิกอาหารบนตะแกรงเตาย่างตรงหน้าอย่างไม่ค่อยชำนาญ พลิกไป โรยเครื่องเทศไป เพียงเท่านี้ก็พอจะบอกได้ว่าเขาไม่ได้เก่งด้านนี้แต่อย่างใด

แท้จริงแล้วอู๋ฝานไม่ได้เชี่ยวชาญการย่างอาหาร แต่มาทำกิจการย่างอาหารได้เกือบจะหนึ่งเดือนแล้ว ไม่เพียงแต่เป็นงานที่ไม่คุ้นเคย เครื่องไม้เครื่องมือก็เรียบง่ายธรรมดา มีเพียงตะแกรงเตาย่าง โต๊ะสองตัว และเก้าอี้นั่งอีกกว่าสิบตัว

ส่วนทางด้านกิจการก็ค่อนข้างซบเซา มีโต๊ะสองโต๊ะ แต่มีคนนั่งสามคนเพียงโต๊ะเดียว อีกโต๊ะว่างเปล่า

อู๋ฝานมองไปยังคนทั้งสามด้วยความอิจฉา เมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขา อู๋ฝานจึงได้ทราบว่าเป็นกลุ่มนักเรียนจากโรงเรียนใกล้เคียง เมื่อราวหนึ่งปีก่อน อู๋ฝานก็เป็นเหมือนพวกเขา เพียงแต่หนึ่งปีให้หลัง ตัวเขากลับต้องมายืนอยู่ด้านหลังเตาย่างอันหยาบกระด้าง

“สังคมมันโหดร้าย!” อู๋ฝานถอนหายใจเสียงเบา ก่อนจะเริ่มพลิกกลับวัตถุดิบในมือต่อไป

“เถ้าแก่ ขอเนื้อเล็กสิบไม้ ปีกไก่สิบไม้ หมูสามชั้นอีกสิบไม้…” ขณะอู๋ฝานคร่ำครวญถึงความโหดร้ายของสังคม เสียงกลางแหลมก็ดังขึ้นให้ได้ยิน

อู๋ฝานเกิดความยินดีอยู่ในใจ สำหรับร้านเล็ก ๆ แบบนี้ นั่นถือว่าเป็นมื้อใหญ่เลยทีเดียว

“ครับผม” อู๋ฝานตอบรับด้วยความยินดี เขามองไปยังอีกฝ่ายที่สังมา การเคลื่อนไหวของเขาถึงกับชะงัก คิ้วขมวดเป็นปมแน่นอย่างไม่รู้ตัว

บุคคลที่พบเห็นตรงหน้าไว้ผมรุงรัง มีคราบเปรอะเปื้อนบนใบหน้า ชุดขาดวิ่นพร้อมรอยปะมากมาย สภาพของรองเท้าแตะไม่มีชิ้นดี หากวถือถ้วยในมือสักใบ ก็คงเป็นขอทานดี ๆ คนหนึ่ง

“เร็วเข้าสิ ตาแก่คนนี้หิวมากนะ” เมื่อเห็นอู๋ฝานชะงักไป อีกฝ่ายอดไม่ได้ที่จะออกปากเร่ง

“ครับ จะทำเดี๋ยวนี้แหละครับ” ปากอู๋ฝานตอบรับ แต่มือไม่ได้เคลื่อนไหว

ชายตรงหน้าพบเห็นความกังวลในใจของอู๋ฝานจึงเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป กลัวฉันไม่มีเงินจ่ายหรือยังไง?”

‘ทำไมพูดแบบนั้นล่ะครับ ดูชุดที่คุณสวมสิ ใครเห็นก็คิดแบบเดียวกันทั้งนั้น’ อู๋ฝานทำได้เพียงบ่นในใจ ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากตอบไปแบบนั้น ไม่งั้นคงเป็นการชวนทะเลาะกับอีกฝ่าย “ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ”

“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว” อีกฝ่ายกล่าวตอบพร้อมกับกระซิบเสียงเบา “ฉันก็ไม่มีเงินจริง ๆ นั่นแหละ”

แต่ประโยคต่อท้ายนั่น อู๋ฝานไม่ได้ยินแต่อย่างใด

‘ดูจากท่าทีและคำพูดคำจา ต่อให้มอมแมมไปบ้าง แต่ก็พอจะดูมีความไม่ธรรมดาอยู่ ไม่น่าใช่ขอทานหรอกมั้ง’ อู๋ฝานพึมพำกับตัวเองในใจ ขณะที่มือเริ่มขยับทำงาน

อีกฝ่ายคือลูกค้า อีกอย่างมีคนมากมายกำลังมองอยู่ การตัดสินคนจากรูปลักษณ์ไม่ใช่เรื่องดี จะไล่ไปก็ไม่ใช่ว่าทำได้

ลงมือทำอยู่สักพักหนึ่ง อู๋ฝานก็ทำรายการที่อีกฝ่ายสั่งครบ จากนั้นจึงส่งมอบให้พร้อมเอ่ยคำพูดออกไป “ทุกรายการที่สั่งเสร็จเรียบร้อยครับ ทั้งหมด 360 หยวน”

ชายคนนั้นมองอาหารในมืออู๋ฝาน ตัวเขาไม่ได้เร่งร้อนจ่ายเงิน แต่เริ่มกินมันเข้าไป อู๋ฝานก็ไม่คิดเร่งรีบ พลางมองอีกฝ่าย ตราบเท่าที่คนยังไม่จากไปไหน กินให้หมดเสียตรงนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร

“เถ้าแก่ ขอเบียร์เพิ่มสามขวด!” ตอนนั้นเอง ลูกค้าที่นั่งโต๊ะหนึ่งเดียวในร้านตะโกนเรียกอู๋ฝาน

“สักครู่ครับ!”

อู๋ฝานนำเบียร์สามขวดเดินไปเสิร์ฟถึงโต๊ะ แต่หางตาก็ยังคงจับจ้องชายสวมใส่ชุดประหนึ่งขอทาน

“เบียร์ได้แล้วครับ” เมื่อมาถึงโต๊ะ อู๋ฝานจึงวางขวดเบียร์ลง ก่อนจะเดินกลับไป

แต่แล้วพอหันกลับไป เขาถึงกับต้องชะงัก เพราะชายที่แต่งตัวราวกับขอทานที่กินอยู่เมื่อครู่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

อู๋ฝานมั่นใจว่าตัวเองละสายตาจากอีกฝ่ายเพียงแค่สองวินาทีเท่านั้น มันเป็นสองวินาทีที่ตัวเขาวางขวดเบียร์ลงกับโต๊ะ ช่วงเวลามีแค่นั้นแต่อีกฝ่ายกลับหายตัวไปเสียได้!

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!

อู๋ฝานเร่งร้อนพุ่งไปหน้าร้าน หันมองซ้ายและขวา พบเห็นก็แค่ถนนว่างเปล่า ไม่อาจเห็นตัวชายคนเมื่อครู่ ราวกับอีกฝ่ายหายไปกับอากาศก็ไม่ปาน

เรื่องบ้าอะไรกัน!

อู๋ฝานสบถคำอีกครั้ง เมื่อตนเองไม่อาจหาตัวอีกฝ่ายได้แม้จะพยายามหาแล้ว เขาจึงทำได้แค่กลับเข้าร้านไปอย่างโกรธเกรี้ยว

สั่งกินประหนึ่งราชา ท่าทีขึงขัง วางตัวข่มท่าน ทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตา

“เฮ้อ นี่มันเรื่องอะไรกัน”

ขณะอู๋ฝานเดินกลับไปที่ร้าน เขาได้พบเห็นแหวนสีเทาวางเอาไว้ข้างเตาย่าง อู๋ฝานหยิบขึ้นมาตรวจสอบ มันทำขึ้นจากวัสดุใดนั้นไม่อาจทราบได้ แต่พื้นผิวเรียบรื่นและกลมได้รูป

“ของคนเมื่อกี้งั้นเหรอ? ไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารเลยทิ้งแหวนไว้เป็นค่าตอบแทนหรือเปล่านะ?” อู๋ฝานครุ่นคิดกับตัวเอง

ในช่วงเวลาเมื่อครู่ นอกจากอีกฝ่ายก็ไม่มีลูกค้าคนอื่นเข้าร้านอีก จึงเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเจ้าของแหวนวงนี้คือชายคนเมื่อครู่

“แหวนผุพังนี่แลกค่าอาหาร 360 หยวนงั้นเหรอ? พูดขอโทษสักคำก็ไม่มี ถึงกับวางทิ้งเอาไว้แล้วแอบหนีไป” อู๋ฝานบ่นพึมพำ

เดิมทีเขาก็คิดอยากจะโยนแหวนวงนี้ทิ้ง แต่อู๋ฝานมองว่าก็ไม่เห็นเป็นไร ดังนั้นจึงไม่โยนมันทิ้งไป แต่เลือกที่จะใส่ไว้เอง ขนาดของมันพอดีเกินคาด

“ช่างมัน ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย คิดซะว่าบริจาคอาหารให้ขอทานก็แล้วกัน” อู๋ฝานปลอบตัวเอง เรื่องราวเกิดขึ้นไปแล้ว ต่อให้ไม่ยินดีตัวเขาก็ทำอะไรไม่ได้อีก

จนประมาณช่วงตีหนึ่ง ตลาดรกร้างผู้คน อู๋ฝานเริ่มเก็บของเตรียมกลับที่พัก ซึ่งเป็นห้องเช่าที่กว้างเพียงแค่สิบตารางเมตร

หลังจากวางสัมภาระลง ห้องของอู๋ฝานก็เหลือพื้นที่ไม่มาก เขานอนทอดกายกับเตียงนอนพลางครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงปีจบการศึกษา เขาอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกหดหู่ขึ้นมา

อู๋ฝานเรียนจบระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัย เพียงแต่มันเป็นมหาวิทยาลัยระดับสาม ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดัง การหางานหลังจบการศึกษาจึงไม่ราบรื่น แต่แม้มันไม่ใช่งานที่ดีเด่นอะไร แต่เพราะเขาได้ไปเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นในห้องทำงานของผู้จัดการ สองวันให้หลังจึงถูกไล่ออกแม้ไม่มีความผิด

ภายหลังต่อมา เขาไม่มีประสบการณ์การทำงาน ประวัติการศึกษาก็ไม่ได้ดีเด่นอะไร จึงยิ่งหางานได้ยาก เพื่อเอาชีวิตรอดในสังคมเมือง อู๋ฝานจึงต้องหางานพาร์ทไทม์ทำร่วมไปด้วยเพื่อหาเงินให้ได้มากขึ้น งานอะไรเขาก็พร้อมทำ ไม่ว่าจะงานขนย้ายก้อนอิฐในไซต์งานก่อสร้าง ทำงานเป็นหุ่นเชิดอยู่ในห้างสรรพสินค้า เป็นบริกรในภัตตาคาร เขาพร้อมจะทำทุกอย่างที่ทำเงินได้โดยไม่ผิดกฎหมาย

แต่แล้วโชคของเขาก็คล้ายว่าจะดวงซวยไม่ขาดตกบกพร่อง ระหว่างขนย้ายก้อนอิฐ เกิดอุบัติเหตุบนทางเท้า คนคุมงานก่อสร้างจึงต้องบอกว่าอีกวันไม่ต้องมาทำงานแล้ว ตอนเป็นพนักงานในห้าง เขาพบเห็นเด็กจะหล่นลงมาจึงคิดเข้าไปช่วย แต่สุดท้ายพ่อกับแม่เด็กก็คิดว่าเขาทำเด็กกลัวจนร้องไห้ กลายเป็นทำให้ห้างเกิดความวุ่นวาย ผลลัพธ์คืออีกวันจึงถูกไล่ออก ช่วงที่เป็นบริกรในภัตตาคาร พ่อครัวทำอาหารผิดสูตร ลูกค้าจึงคิดว่าเขาเสิร์ฟอาหารผิดจานจนบ่นด่าตัวเขาอยู่สักพัก สุดท้ายจึงนำไปสู่การตั้งข้อร้องเรียน สุดท้ายเด็กเสิร์ฟเช่นตัวเขาก็ถูกไล่ออก

ท้ายที่สุด เมื่อราวหนึ่งเดือนก่อน ตัวเขาใช้เงินที่เก็บหอมรอมริมเริ่มงานขายอาหารย่าง คาดหวังว่าจะได้ใช้ช่วงเวลาฤดูร้อนหาเงินเพิ่มเติมขึ้นมาบ้าง

แต่งานขายอาหารย่างไม่ได้ง่ายเหมือนที่คิด ใกล้เคียงร้านแผงลอยของอู๋ฝานมีร้านอื่นที่ขายบาร์บีคิวอยู่ไม่น้อย ร้านเหล่านั้นทั้งใหญ่โตและบรรยากาศดีเยี่ยม ดีกว่าร้านแผงลอยขนาดเล็กของตัวเขาเป็นไหน ๆ นอกจากนี้ ฝีมือของเขาก็แค่ทั่วไป แค่พอกินได้ กิจการจึงไม่ได้ดีเด่นอะไร จึงทำให้อู๋ฝานผู้คิดอยากหาเงินให้มากขึ้นต้องเกิดร้อนใจ

“เรื่องมันยิ่งเลวร้าย วันนี้ก็ต้องทำทานมื้อใหญ่อีก” อู๋ฝานคิดกับตนเองอย่างขื่นขม สายตามองยังแหวนที่สวมบนนิ้ว เมื่อครุ่นคิดว่าเมื่อคืนมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ใจก็ยิ่งเกิดความรู้สึกหดหู่

ตัวเขาทำกำไรได้แค่เล็กน้อย สุดท้ายเจอวันนี้เข้าไป ของที่ขายทั้งคืนกลับเสียเปล่า เผลอ ๆ ขาดทุนเสียด้วยซ้ำ

หรือโชคร้ายของตัวเขาจะกลับมาอีกครั้ง? แค่ทำบาร์บีคิวขายก็ไม่ได้งั้นเหรอ?

อู๋ฝานพยายามถอดแหวนด้วยอารมณ์โกรธ ตอนใส่แหวนก็ใส่ง่าย แต่ทำไมตอนถอดกลับถอดยาก อู๋ฝานพลิกแหวนหมุนแหวนไปมาอยู่นาน สุดท้ายก็ไม่อาจถอดออก กระทั่งทำนิ้วเกิดรอยแดงจนถึงกับมีเลือดไหลซิบออกมาด้วยซ้ำ

ตอนนั้นเอง อู๋ฝานก็ต้องประหลาดใจ เลือดที่ไหลซิบออกมาถูกดูดเข้าไปด้านในของแหวน แหวนสีเทาส่องสว่าง มันสว่างจ้าราวกับดวงตะวันยามเที่ยง

[ตรวจพบผู้ใช้ กำลังผูกมัด…] เสียงคล้ายจักรกลดังขึ้นในประสาทรับฟังของอู๋ฝาน