บทที่ 2 คุณเองเหรอ?!

บทที่ 2 คุณเองเหรอ?!

“ใครกัน? ใครพูดน่ะ!”

เสียงที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้อู๋ฝานตื่นตกใจ เขาสะดุ้งพรวดขึ้นจากที่นอน หันมองรอบด้านในห้องเล็ก ๆ ของตนเองด้วยความร้อนรน แต่ก็ไม่พบเห็นว่ามีคนอื่นอยู่

“ภาพหลอนเหรอเนี่ย?” หลังยืนยันว่าในห้องไม่มีใครอื่น อู๋ฝานจึงนอนลงอีกครั้ง ทว่าก็ต้องแสดงความตกใจทางสีหน้าอีกครั้ง

“หือ แหวนหายไปไหน?”

อู๋ฝานที่นอนลงไปแล้วกลับพบว่าแหวนสีเทาบนนิ้วของตนเองเลือนหาย ก่อนหน้านี้มันอยู่กับตัว แต่แล้วตอนนี้กลับหายวับไป

“ไม่สิ ยังใส่มันอยู่!” อู๋ฝานประหลาดใจที่พบว่าแม้มองไม่เห็นแหวน แต่รู้สึกได้ว่ายังสวมใส่อยู่ สัมผัสอันคุ้นเคยยังคงอยู่ที่นิ้ว

 

หรือมันจะเป็นแหวนล่องหน?!

  

นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน!

  

อู๋ฝานได้ตระหนักว่าตั้งแต่พบเจอกับชายที่แต่งตัวเหมือนขอทาน เรื่องราวแปลกประหลาดก็เอาแต่เกิดขึ้นรอบตัวไม่ขาด

  

ไม่ควรเก็บแหวนนี้เอาไว้!

  

อู๋ฝานไม่กล้าเก็บแหวนประหลาดเช่นนี้เอาไว้ ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งอยากถอดมันและขว้างทิ้งเสียให้พ้นตัว

  

ขณะที่อีกมือแตะสัมผัสแหวน ดวงตาของเขากลับมืดหม่นลงไม่อาจพบเห็นสิ่งใด อีกทั้งร่างกายยังรู้สึกราวกับไร้ซึ่งน้ำหนัก

  

ขณะการมองเห็นของอู๋ฝานกลับมาอีกครั้ง จึงได้พบว่าสภาพรอบด้านเกิดเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

  

เมื่อครู่ เมื่อครู่นี้เอง อู๋ฝานยังอยู่ในห้องเช่ารูหนู แต่แล้วตอนนี้กลับมาอยู่ในพื้นที่เปิดกว้าง รอบด้านเต็มไปด้วยกระท่อมมุงจาก ห่างออกไปไม่ไกลเป็นป่า ยิ่งไกลออกไปเป็นภูเขาขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงต่อกันเป็นแนวเขา

  

“นี่มัน เรื่องอะไรกันเนี่ย?” อู๋ฝานจ้องมองรอบด้านด้วยความมึนงง ทั้งยังเกิดรู้สึกราวกับทำสมองหล่น “นี่มันที่ไหนกัน?”

  

อู๋ฝานถึงกับต้องขยี้ตา เมื่อมองรอบด้านอีกครั้งหนึ่ง ก็ยังพบเห็นว่าเป็นเช่นเดิม แต่ที่ได้เห็นเพิ่มเติมคือชายชรา อู๋ฝานเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย คิดอยากถามว่าตนเองอยู่ที่ไหน เหตุใดถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่

  

แต่ยามที่อู๋ฝานเดินเข้าหาชายชรา กลับได้พบว่าชายชราดูคุ้นหน้าอย่างประหลาด จนสุดท้ายต้องชี้นิ้วตะโกนใส่อีกฝ่าย “คุณเองเหรอ?!”

ชายชราที่ยืนตรงหน้าอู๋ฝานคือ ‘ขอทาน’ ที่สั่งมื้อใหญ่กินจากร้านของเขาเมื่อคืน!

  

เพียงแต่ ‘ขอทาน’ ในตอนนั้นผมเผ้ารุงรังหนวดเคราไม่โกน ทำให้มองใบหน้าได้ไม่ชัด

  

แต่บุคคลที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้กลับสวมใส่ชุดคลุมตัวยาว ผิวมีสีเลือดฝาด ยิ้มแย้มแจ่มใจ ประหนึ่งเซียนก็ไม่ปาน หากว่าไม่มีดวงตาคู่นั้น อู๋ฝานคงจดจำไม่ได้ว่าเป็นอีกฝ่าย

  

ความแตกต่างระหว่างภาพจำทั้งสองมันมากเกินไป

  

“เหอะ ๆ ไม่นึกเลยว่าเพียงเจ้ามองก็จดจำตาแก่คนนี้ได้แล้ว” ชายชราไม่ปฏิเสธ ทั้งยังยิ้มแย้มตอบรับ

  

“เหอะ ๆ กับผีน่ะสิ!” อู๋ฝานตะโกนตอบ “รีบจ่ายเงินมาเลยนะ! สั่งของกินไปแล้วหนีไม่จ่าย! ผมโทรเรียกตำรวจมาจับคุณได้นะ”

  

“ข้าก็ทิ้งแหวนไว้ให้แล้ว เจ้ายังจะเรียกร้องเงินจากข้าอีกงั้นหรือ?” อู๋ฝานว่าโกรธเกรี้ยวแล้ว ชายชราดูโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่า ดวงตาทอประกายแสงประหนึ่งหลอดไฟจับจ้องไปยังอู๋ฝาน

  

“พูดถึงแหวนนั่นแล้วก็อยากจะบ้า!” อู๋ฝานตอบกลับโดยไม่กลัวเกรง “แหวนผุพังนั่นมันอะไร มีค่าหลายร้อยหยวนเลยหรือยังไง? ผมไปซื้อแหวนพลาสติกจากตลาดนัดยังจ่ายแค่ห้าสิบเหมา*[1] แถมยังได้ที่ดูดีกว่าด้วยซ้ำ หยุดพูดจาไร้สาระแล้วจ่ายเงินมา อย่าคิดว่าจะใช้ลูกไม้อะไรอีกได้”

“ข้าสิที่ต้องโกรธ!” ชายชราตอบรับอย่างกราดเกรี้ยว “เจ้าไม่รู้หรือว่าวัสดุที่สร้างแหวนวงนั้นคืออะไร? มัน… พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ! เอาเป็นว่ามันมีค่ามหาศาล กล้าดียังไงมาบอกว่าพลาสติกอะไรนั่นดีกว่า?!”

  

“พอ พอเลย” อู๋ฝานไม่คิดเชื่อ “ถ้ามันมีค่าจริง คุณเอากลับไป ผมต้องการแค่ 360 หยวน”

  

สิ้นคำของอู๋ฝาน เขายื่นมือออกไปเป็นการบ่งบอกชายชราให้ถอดแหวนออกจากมือกลับคืนไป ตัวเขายิ่งนึกสงสัยว่าแหวนนี้มันจะมีค่าสักเท่าใด แต่ดีที่สุดคืออีกฝ่ายเอามันกลับไป

 

“หากไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นคนเดียวที่สวมแหวนวงนี้ได้ ข้าจะมอบมันให้งั้นหรือ?” ชายชราตอบรับด้วยสีหน้าขึงขัง

  

“ก็แค่แหวนผุพังวงหนึ่ง ทำเป็นลึกลับอะไรไปได้” อู๋ฝานตอบกลับอย่างเฉยชา

  

“แหวนนี้มีความสามารถเดินทางท่องมิติ หากไม่มีมัน เจ้าจะมาที่นี่ได้หรือ?” ชายชรากล่าวตอบ

  

ได้ยินคำของชายชรา อู๋ฝานถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะจำได้ว่าตนเองเคยคิดอยากถามอีกฝ่ายว่าเพราะอะไรถึงมาอยู่ที่นี่และที่นี่คือที่ไหน แต่ท้ายที่สุด ตอนชายชราพูดว่า “ตาแก่คนนี้” ก็ทำเขาลืมตัวไป แต่พออีกฝ่ายพูดถึง เขาก็นึกขึ้นมาได้

  

“ใช่แล้ว ผมคิดจะถามคุณอยู่ ที่นี่มันที่ไหน? ทำไมผมมาอยู่ที่นี่? เมื่อกี้ผมอยู่ในห้อง นี่เป็นความผิดของคุณอีกหรือ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม สายตามองยังชายชราขึ้นลง “หรือคุณเป็นพวกนักมายากล? แล้วที่นี่ก็เป็นที่ของคุณ?”

  

“ข้าไม่ใช่นักมายากลอะไรนั่น สาเหตุที่เจ้ามาที่นี่ได้ก็เพราะแหวนบนมือเจ้า!” ชายชราตอบกลับ “แล้วนักมายากลคืออะไร?”

  

“แหวนเหรอ?” อู๋ฝานมองที่นิ้วตัวเองโดยไม่รู้ตัว แม้ไม่พบเห็นอะไร แต่เขาก็ทราบดีว่าตัวเองกำลังสวมใส่แหวนวงหนึ่ง

  

หรือว่าของที่ไม่ต่างอะไรกับขยะในสายตาของเขา มันจะมีความวิเศษอยู่จริง?

  

“ถูกต้อง แหวนนั้นเป็นแหวนที่เทพสวรรค์มอบให้แก่เจ้า ข้าเพียงรับผิดชอบนำไปส่งมอบให้” เฒ่าชรากล่าวตอบ

  

“เทพสวรรค์? มันคืออะไร?” อู๋ฝานถามด้วยความสงสัย

  

เมื่อได้ยินคำถามอันไร้มารยาทของอู๋ฝาน ชายชราถึงกับตัวสั่น สายตาเร่งรีบหันมองซ้ายขวา พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จึงกล่าวบอกกับอู๋ฝานด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง “เทพสวรรค์ดำรงอยู่ในทุกที่ ทรงอำนาจล้นเหลือ เจ้าต้องให้ความเคารพ”

อู๋ฝานสบถคำอยู่ภายใน สำหรับคนที่เติบโตขึ้นมาโดยสภาพแวดล้อมที่ไร้ความเชื่อในพระเจ้า เทพเจ้าหรือภูตผีล้วนไม่มีตัวตนดำรงอยู่ ดูจากท่าทีความเชื่อของชายชรา แปดในสิบเป็นพวกนับถือโชคลางจนเกินไป

  

“แล้วแหวนวงนี้ทำอะไรได้? ทำไมถึงมอบให้ผมล่ะ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม

  

“เรื่องนี้เริ่มต้นจากชีวิตก่อนของเจ้า” ชายชรากลับคืนภาพลักษณ์ของยอดฝีมือแห่งโลกหล้า ทว่าในสายตาของอู๋ฝาน อีกฝ่ายก็ไม่ต่างอะไรกับตัวประหลาด

  

“ชีวิตก่อนของตัวเจ้าถูกเทพอับโชคเกาะติด เรื่องราวผิดพลาด ลูกและภรรยาแยกทาง ถูกคนชั่วใส่ร้าย ทุกชีวิตต้องทนทุกข์ทรมานและโชคร้าย จนท้ายที่สุดก็ตายอย่างอนาถ อนาถอย่างน่าสมเพช”

  

แม้อู๋ฝานไม่เชื่อแนวคิดเรื่องการกลับชาติมาเกิด แต่พอได้ยิน ใจเขาถึงกับสั่นกระตุกอย่างไม่รู้ตัว

  

ชีวิตก่อนของตัวเขามันน่าอนาถอดสู ไม่ใช่เพียงแค่ชีวิตเดียว แต่ยังเป็นเช่นนั้นอีกหลายชีวิตที่ชวนอนาถเหน็ดเหนื่อย

  

“แล้วชีวิตผมมันเป็นยังไง?” อู๋ฝานเอ่ยถาม

  

“ชีวิตนี้งั้นหรือ?” ชายชรามองอู๋ฝาน “ชีวิตนี้เจ้าก็ถูกเทพอับโชคเกาะติด เรื่องราวก็ไม่ใช่ว่าดีอะไร”

  

อู๋ฝานเกิดนึกย้อนถึงประสบการณ์ตนเองตั้งแต่ยังเด็กจนโต เหมือนว่าตัวเขาจะโชคร้ายมาตลอด โดยเฉพาะหลังเรียนจบ ปกติก็หางานทำยากอยู่แล้ว แต่ทุกครั้ง ตัวเขากลับต้องถูกไล่ออกเพราะสาเหตุอันไร้สาระ

สมกับเป็นดวงเทพอับโชค

[1] เหมาเป็นสกุลเงินย่อย สิบเหมามีค่าเท่ากับหนึ่งหยวน