บทที่ 2 ขายในราคาที่เหมาะสม

ในโลกผู้ฝึกตน แม้มิอาจพูดได้ว่ามีผู้ฝึกตนอยู่ทั่วทุกที่ แต่ก็อาจใช้คำว่า ‘เกือบแทบ’ ได้ เพราะในหลาย ๆ พื้นที่นั้น ไม่เพียงมีสำนักผู้ฝึกตนมากมาย ทว่ายังมีตระกูลผู้ฝึกตนเล็กใหญ่อีกด้วย

ดรุณีตรงหน้ามีการวางตัวที่ไม่ธรรมดายิ่ง ซ้ำกิริยายังนุ่มนวลไม่น้อย แน่นอนแล้วว่านางหาใช่คนธรรมดา กระทั่งอาจพูดได้ว่าเป็นผู้ก้าวสู่เส้นทางแห่งการฝึกตนแล้ว

สำหรับคนปุถุชนธรรมดา ผู้ฝึกตนถือว่าเป็นตัวตนที่อยู่สูงขึ้นไป และน้อยคนนักจะสุภาพกับคนธรรมดา เช่นนั้นแล้ว ความสุภาพอ่อนน้อมที่แม่นางตรงหน้าแสดงออกมา ทำเอาหลี่จิ่วเต้าประหลาดใจไม่น้อย

“ข้าเพียงแค่นึกอยากบรรเลงมันเท่านั้น หากรบกวนแม่นางเข้า โปรดอภัยให้ข้าด้วย”

หลี่จิ่วเต้าเอ่ยอย่างสุภาพ

“ผู้อาวุโสได้โปรดอย่าเอ่ยเช่นนั้น!”

เซี่ยเหยียนชะงักกับคำพูดของอีกฝ่ายทันที ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความตกใจยิ่ง

ที่บอกว่ารบกวนนี่หมายความว่าเยี่ยงไร?

ผู้อาวุโสล้อนางเล่นใช่หรือไม่?

มุมปากของหลี่จิ่วเต้ากระตุก แม่นางน้อยผู้นี้งดงามยิ่ง แต่ไยถึงดูแปลกคนนัก? เหตุใดจู่ ๆ นางถึงตัวสั่นเช่นนั้นเล่า?

“ผู้อาวุโสเจ้าคะ?”

หลี่จิ่วเต้าเลิ่กลั่กแทน เมื่อได้ยินนางเรียกขานตนเช่นนั้น

เขากลายเป็นผู้อาวุโสได้อย่างไร…?

ผู้อาวุโสมันใช้เรียกผู้ฝึกตนที่ทรงพลังนี่ เขาเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาเองนะ

“เรียกผู้อาวุโสไม่ได้หรือเจ้าคะ”

เมื่อเซี่ยเหยียนเห็นท่าทางของหลี่จิ่วเต้า สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างมาก หรือว่าผู้อาวุโสตรงหน้านางจะไม่ชอบโดนเรียกว่าผู้อาวุโส?

ต้องใช่แน่ ๆ

‘ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสท่านนี้นับว่ายากหยั่งถึงโดยแท้ เขาต้องฝึกฝนมานานนับหลายปีเป็นแน่ ที่สำคัญเขายังหนุ่มยังแน่นอยู่เลย ข้าว่าผู้อาวุโสผู้น่าเคารพท่านนี้คงไม่ชอบโดนเรียกว่าผู้อาวุโสเป็นแน่’

นางโทษตัวเองและนึกเสียใจขึ้นมา อุตส่าห์คิดสร้างความประทับใจดี ๆ ให้แก่ผู้อาวุโส แต่สุดท้ายนางกลับทำผิดพลาด และเอ่ยในสิ่งที่ผู้อาวุโสมิชอบลงไปเสียแล้ว

“ข้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ใครเล่าจะกล้าเรียกข้าว่าผู้อาวุโส แม่นางสุภาพเกินไปแล้ว”

หลี่จิ่วเต้ายิ้มดูถูกตนเอง แน่นอนว่าการฝึกตนเป็นสิ่งที่เขาเฝ้าถวิลหาถึง แต่น่าเสียดายที่ตัวเขาไร้ซึ่งความสามารถในการฝึกตน ทำให้มิอาจฝึกตนได้

มนุษย์ธรรมดา?

เซี่ยเหยียนแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ได้โปรดผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่อย่าโกหกนางเช่นนี้เลย…

นางอยากจะเอ่ยเหลือเกินว่าหากท่านเป็นมนุษย์ธรรมดา นางก็คงหาใช่มนุษย์แล้ว เกรงว่าจะเป็นเพียงขยะเสียด้วยซ้ำ!

แต่มิอาจทำพลาดได้อีกแล้ว!

นางไม่คิดโต้แย้งในคำกล่าวของเขา เพียงเอ่ยกับหลี่จิ่วเต้าว่า “ตัวข้าชมชอบในการบรรเลงกู่ฉินมาตั้งแต่เด็กแล้ว เช่นนั้น ยามได้ยินเสียงกู่ฉินของท่าน ข้าถึงได้แต่ทอดถอนใจในการบรรเลงกู่ฉินของท่าน คิดเพียงว่าผู้เล่นมัน ย่อมต้องเป็นผู้อาวุโสแน่นอน!”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

หลี่จิ่วเต้าถึงบางอ้อในทันที มิน่าเล่าเด็กสาวผู้ฝึกฝนถึงมีท่าทีสุภาพกับเขานัก ที่แท้นางก็ชอบกู่ฉินนี่เอง

เขากล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า “หากเป็นเช่นนั้น ข้าคงเหมาะสมที่จะเป็นผู้อาวุโสแล้ว”

เขายังคงภาคภูมิใจกับทักษะการเล่นกู่ฉินของเขา

ทักษะการเล่นกู่ฉินที่อยู่ ‘ขั้นเทวะ’ ไม่นับว่าเสียแรงเปล่าแล้ว

เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่จิ่วเต้า เซี่ยเหยียนเองก็ดีใจมาก

ในที่สุดนางก็ไม่ได้ทำผิดพลาด และกลับมาตั้งตัวได้เสียที!

ตอนที่นางอยู่ในพระราชวัง เคยได้ยินผู้ฝึกตนในวังหลายท่านบอกเล่าว่า ผู้อาวุโสบางคนชอบใช้ชีวิตดุจปุถุชนธรรมดา และออกเดินทางท่องไปทั่วโลกกว้าง

มาตอนนี้ ดูท่านางจะได้พบกับผู้อาวุโสที่ว่าเข้าเสียแล้ว!

“องค์หญิงเพคะ อยู่ที่นี่เอง! ข้ามตามหาเสียตั้งนาน!”

ในตอนนั้นเอง สตรีในชุดสีฟ้าก็วิ่งเข้ามาหาคนทั้งคู่ด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ

สตรีผู้นี้คือนางกำนัลรับใช้ของเซี่ยเหยียนนั่นเอง นางตามเซี่ยเหยียนมาถึงเมืองชิงซาน แต่เพราะไม่เคยออกจากพระราชวัง จึงถูกความเจริญรุ่งเรืองของเมืองชิงซานดึงดูดเข้า พอรู้ตัวอีกทีองค์หญิงก็หายตัวไปเสียแล้ว

นางเดินหาไปตามรายทาง และในที่สุดก็พบเซี่ยเหยียนในร้านเล็ก ๆ ของหลี่จิ่วเต้า

องค์หญิง?

ใบหน้าของหลี่จิ่วเต้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าตัวตนของเซี่ยเหยียนจะธรรมดาสามัญอยู่แล้ว แต่ไม่นึกว่าจะเป็นถึงองค์หญิงแห่งอาณาจักร

สำนักไท่หัวนับว่ามีอำนาจเสียจริง ถึงขนาดว่าองค์หญิงแห่งอาณาจักรยังต้องการจะเข้าร่วมกับสำนักฝึกตนแห่งนี้ด้วย

“เสี่ยวหลาน อย่าทำตัวเสียมารยาทต่อหน้าผู้อาวุโสเชียว”

เซี่ยเหยียนเอ่ยเสียงเบา เนื่องจากกลัวว่าเสี่ยวหลานจะเผลอทำทุกอย่างพังพินาศไป เพราะนางอุตส่าห์ทำให้ผู้อาวุโสพึงพอใจได้แล้ว

“เอ๊ะ ผู้อาวุโส?”

ดวงตาของเสี่ยวหลานเบิกกว้าง มองไปยังหลี่จิ่วเต้าด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ

หลี่จิ่วเต้าดูจะมีอายุพอ ๆ กับพวกนาง แต่แท้จริงแล้ว เขากลับเป็นผู้อาวุโสแห่งการฝึกตนหรือนี่?

สิ่งสำคัญคือนางมิอาจสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังปราณในตัวหลี่จิ่วเต้าเลยสักนิด หลี่จิ่วเต้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น!

“อย่าได้เข้าใจผิดไป องค์หญิงของเจ้าเพียงชื่นชอบการเล่นกู่ฉิน และข้าเองก็พอจะบรรเลงกู่ฉินอยู่ได้บ้าง องค์หญิงของเจ้าจึงเรียกข้าว่าผู้อาวุโสน่ะ”

หลี่จิ่วเต้าอธิบายด้วยรอยยิ้ม

“องค์หญิง ท่านชอบเล่นกู่ฉินตั้งแต่เมื่อใดเพคะ ไฉนข้าถึงไม่รู้เลย! มิใช่ว่าพระองค์ทรงเกลียดมันที่สุดเลยหรือเพคะ กู่ฉินที่องค์จักรพรรดิทรงมอบให้ก็ถูกองค์หญิงฟาดจนไม่เหลือชิ้นดี และองค์หญิงก็ทรงตรัสเองว่า พระองค์ไม่มีความอดทนมากพอจะเล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้”

เสี่ยวหลานมองเซี่ยเหยียนด้วยสายตาแปลก ๆ

จิตใจของเซี่ยเหยียนเต็มไปด้วยขีดสีดำ นางหวาดกลัวว่าเสี่ยวหลานจะทำทุกอย่างพังพินาศไปเสียหมด ทั้งยังกลัวด้วยว่าจะมีเรื่องอันใดตามมา!

อนิจจา นางทำเสี่ยวหลานเสียคน เพราะเสี่ยวหลานเป็นนางกำนัลรับใช้ แต่อย่างไร นางก็ไม่เคยมองอีกฝ่ายเป็นข้ารับใช้เลย กลับกัน นางปฏิบัติต่อเสี่ยวหลานเฉกเช่นพี่น้อง!

“เจ้าจะไปรู้อันใด หากข้าไม่ชอบเล่นกู่ฉิน แล้วจักรพรรดิจะมอบกู่ฉินให้ข้าทำไมกัน? ตอนนั้นข้าทะเลาะกับองค์จักรพรรดิอยู่ ก็เลยฟาดกู่ฉินที่จักรพรรดิมอบให้ข้าน่ะสิ!”

นางรีบอธิบาย

“อ๋อ ครานั้นความสัมพันธ์ขององค์จักรพรรดิกับองค์หญิงยังไม่ค่อยดีจริง ๆ ด้วย ที่แท้ก็เป็นการทะเลาะกันนี่เอง”

เสี่ยวหลานย่อมไม่ได้คิดอะไรมากกับคำกล่าวอ้างขององค์หญิง

“ช่างเป็นจี้หยกแสนงดงามอะไรเยี่ยงนี้!”

เมื่อเห็นจี้หยกถูกวางไว้บนโต๊ะ นางก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปแล้วถือมันขึ้นมาดู

มันคือจี้หยกสลักลายแกะ ซ้ำแล้ว แกะนั้นยังเหมือนจริงราวกับสลักสิ่งมีชีวิตเอาไว้

“อย่าได้แตะต้องมั่วซั่วเชียว!”

เซี่ยเหยียนนั้นหวาดกลัวยิ่งนัก เหตุใดเสี่ยวหลานจึงไร้ความเคารพเช่นนี้ กล้าแตะต้องของอันล้ำค่าของผู้อาวุโสอย่างเลินเล่อเช่นนี้ได้อย่างไร

‘นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมคำพูดของพวกนางเหมือนกับว่าไม่เคยพบเคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน?’

‘เซี่ยเหยียนเป็นองค์หญิงจริง ๆ งั้นหรือ?’

หลี่จิ่วเต้าเต็มไปด้วยความสับสน

“ไม่เป็นไรขอรับ ทุกอย่างในร้านนี้มีไว้เพื่อขาย หากมองแล้วชอบก็หยิบไปได้เลย”

เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“หากไม่มองหรือลองจับมัน แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่าว่าเป็นของดีจริงหรือไม่? องค์หญิงมานี่เร็วเพคะ จี้หยกเหล่านี้งดงามมากเลยเพคะ!”

เสี่ยวหลานดึงตัวเซี่ยเหยียนเข้ามาใกล้

ดวงตาของเซี่ยเหยียนกวาดมองจี้หยกบนโต๊ะ ก่อนจะตื่นตกใจสั่นสะท้าน เหงื่อเย็นไหลซึมผ่านหน้าผากขาวนวลของนาง

จี้หยกแต่ละชิ้นมีลวดลายแตกต่างกัน มีทั้งราชสีห์ พยัคฆ์ กิเลน มังกร วิหคเพลิง และอีกมากมายนับไม่ถ้วน!

โดยไร้ซึ่งข้อยกเว้น การแกะสลักเหล่านี้กลับเหมือนของจริง ราวกับมีชีวิตจริง ๆ ก็มิปาน!

นางเหมือนกับได้ยินเสียงคำรามของราชสีห์และพยัคฆ์ลอยล่องออกมา มันราวกับว่านางได้เผชิญหน้ากับกิเลน หรือมังกรจริง ๆ ทั้งยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันไร้ที่สิ้นสุด!

นี่ต่างหากที่คือสมบัติ!

สมบัติในอาณาจักรเซี่ย ตราแผ่นดินหยกที่สืบทอดกันมา ล้วนไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงเมื่ออยู่ต่อหน้าจี้หยกเหล่านี้เลย!

“ทั้งหมดนี้…มีไว้ขายหรือเจ้าคะ?”

เสียงของนางสั่นระริก จี้หยกเหล่านี้หากนำออกไปย่อมทำให้เกิดพสุธาสั่นไหวสะเทือนฟ้าสะเทือนดินอย่างแน่นอน ซ้ำยังดึงดูดให้ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงมัน!

‘องค์หญิงอะไรกันเนี่ย อาณาจักรนี้คงไม่ได้มีขนาดเท่าฝ่ามือหรอกใช่ไหม!’

หลี่จิ่วเต้าอับจนคำพูด 

‘องค์หญิงพระองค์นี้ดูไม่สมกับฐานะเอาเสียเลย แม้ว่าสิ่งที่ข้าสลักจะสวยมากก็จริง แต่ไม่เห็นต้องตกใจมากเลยนี่นา’

‘นี่กระทั่งน้ำเสียงคำพูดยังสั่นเลย เหลือจะเชื่อจริง ๆ’

“ขายขอรับ ทุกอย่างในร้านขายหมด และหากราคานั้นสมน้ำสมเนื้อ แม้แต่ตัวข้าก็ขายเช่นกัน”

หลี่จิ่วเต้าเอ่ยติดตลก

“ขายเท่าไหร่หรือเจ้าคะ”

เซี่ยเหยียนรีบถาม แต่ก็ต้องเสียใจทันทีหลังจากเอ่ยถามออกไป

สมบัติเช่นนี้ คุณค่าของมันคงสูงลิ่วเป็นแน่ แล้วนางจะมีพอจ่ายได้อย่างไร…