บทที่ 2 ไอพลังประหลาด

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 2 ไอพลังประหลาด

“ถ้าหากเป็นคนเป็นล่ะก็ เป็นไปได้ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับแสงสีม่วง…แต่ก็อาจเป็นกับดักเช่นกัน”

สวี่ชิงครุ่นคิดไตร่ตรอง

หลายวันมานี้ที่เขาอยู่ในซากเมือง เข้าใจถึงตัวตนที่ปนเปื้อนกลิ่นอายเทพเจ้าจนกลายเป็นอสูรกลายพันธุ์เป็นอย่างดี ทุกตัวล้วนดุร้ายจนถึงขีดสุด มีพลังมหาศาล

แต่บางทีอาจเพราะพื้นที่ต้องห้ามยังก่อตัวไม่เสร็จสิ้น ในช่วงกลางวันอสูรกลายพันธุ์เหล่านี้ส่วนใหญ่จึงยังหลับไหล

นอกเสียจากเขาจะบุกเข้าไปยังพื้นที่รอบนอกในตอนที่พวกมันหลับไหลเหมือนตอนที่เขาได้รับตำราไม้ไผ่มาครั้งที่แล้ว

ไม่เช่นนั้นช่วงกลางวันถ้าระวังตัวเสียหน่อย ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล

แต่กับคนเป็นที่ตรงข้ามกับพวกมัน สวี่ชิงกลับยิ่งระมัดระวังมากกว่า เพราะบางครั้งใจคนก็อันตรายกว่าสัตว์ร้าย

หลังจากที่ครุ่นคิด สายตาของเขาจึงค่อยๆ เคร่งขรึม ไม่ว่าจะคนเป็นหรือกับดัก พื้นที่แห่งนั้น…เขาก็เตรียมตัวจะไปอีกรอบ

เพียงแต่ก่อนที่จะเข้าไป จำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด

คิดถึงจุดนี้ สวี่ชิงก็กำตำราไม้ไผ่ในมือไว้แน่น

การฝึกบำเพ็ญหลายวันมานี้ ร่างกายที่เปลี่ยนแปลงทำให้เขามีพลังแล้วเล็กน้อย ในหัวก็ปรากฏเนื้อหาในตำราไม้ไผ่ขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ นอกจากวิชาแล้ว ยังแนะนำการฝึกบำเพ็ญอีกด้วย

การฝึกบำเพ็ญ สืบทอดกันมาตั้งแต่ช่วงสมัยโบราณก่อนที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้าจะมาถึง

ปัจจุบันนี้แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงไป แต่ภาพรวมยังคงเป็นระบบเดิมสืบต่อกันมา

แบ่งออกเป็นขั้นรวมปราณ สร้างฐาน หลอมตันเถียน ปราณก่อกำเนิด

หลังจากปราณก่อกำเนิดบนตำราไม้ไผ่ไม่ได้บันทึกไว้ บางทีอาจเพราะขอบเขตสูงเกินไป แต่กลับชี้ถึงจุดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการฝึกบำเพ็ญของผู้บำเพ็ญอย่างชัดเจน

เพราะกลิ่นอายของเทพเจ้ารุกล้ำเข้าไปยังพลังวิญญาณ ทำให้พลังวิญญาณถูกปนเปื้อน สำหรับสรรพสิ่งแล้วการปนเปื้อนนี้เป็นเหมือนกับการติดพิษ

ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไร ทุกคนจึงเรียกกลิ่นอายของเทพเจ้าว่าไอพลังประหลาด

สวี่ชิงเข้าใจดี ว่าความหนาวเย็นที่ตนเองสัมผัสได้ตอนฝึกบำเพ็ญก่อนหน้านี้ อันที่จริงมีสาเหตุมาจากการดูดรับไอพลังประหลาดที่ผสมปนเปอยู่ในพลังวิญญาณ

ไอพลังประหลาดนี้เมื่อสะสมในร่างกายจนถึงระดับหนึ่ง จะทำให้ผู้บำเพ็ญเกิดการกลายพันธุ์ บ้างก็ระเบิดจนกลายเป็นหมอกเลือด บ้างก็กลายเป็นอสูรกลายพันธุ์ที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ

และพื้นที่ที่เทพเจ้าลืมตามองไป ที่ไอพลังประหลาดเข้มข้นเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งในพริบตานั้น อันที่จริงก็คือการเพิ่มความเร็วในการเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้นอย่างฉับพลันนั่นเอง

การฝึกบำเพ็ญมีความอันตราย

แต่หากไม่ฝึกบำเพ็ญ การอยู่ในโลกแผ่นดินผืนสุดท้ายที่ปนเปื้อนกลิ่นอายเทพเจ้าไปทั่วเช่นนี้ อายุขัยของผู้คนจึงลดน้อยลง ยิ่งไปกว่านั้นความชั่วร้ายยังขยายตัวอย่างรวดเร็ว แทบไม่มีใครได้ตายดีราวกับการใช้ชีวิตอยู่ในนรกภูมิก็มิปาน

ดังนั้นการฝึกบำเพ็ญจึงกลายเป็นหนทางเพียงหนึ่งเดียว กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเลือก

หลายปีมานี้ ผู้คนจึงทำตามสิ่งที่สืบทอดมา พัฒนาวิธีการฝึกฝนมาทีละยุคทีละสมัย

ที่แพร่หลายในปัจจุบัน คือขณะที่สูดรับพลังวิญญาณ ก็ใช้พลังวิชาคัดแยกไอพลังประหลาดที่อยู่ในพลังวิญญาณออก แล้วย่อยลงมาเป็นจุดหนึ่งของร่างกาย

ตำแหน่งนี้ถูกเรียกว่าจุดกลายพันธุ์

ดังนั้นสัดส่วนการแยกไอพลังประหลาด จึงกลายมาเป็นมาตรฐานสำคัญในการแบ่งแยกความดีเลวของวิชานั่นเอง

วิชาที่มีสัดส่วนความสามารถในการแบ่งแยกสูงเกือบทั้งหมดนั้นล้วนถูกขั้วอำนาจหรือตระกูลใหญ่ๆ ครอบครอง เป็นทรัพยากรที่สำคัญของพวกเขา จุดนี้ไม่ว่าเทพเจ้าจะมาหรือไม่ ในความเป็นจริงก็ยังคงเป็นเช่นนี้

ตามความแตกต่างของวิชาที่ฝึกฝน ระดับการแยกไอพลังประหลาดแตกต่างกัน พื้นที่ที่จุดกลายพันธุ์อยู่ก็แตกต่างกันไปด้วยเหตุนี้

แต่ไม่ว่าอย่างไร ขอแค่ฝึกบำเพ็ญก็จะมีไอพลังประหลาด และจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจุดกลายพันธุ์

และจุดกลายพันธุ์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในทางทฤษฎี แม้ยาลูกกลอนจะบรรเทาได้บ้างบางส่วน แต่ก็รักษาไม่ถึงแก่นอยู่ดี

ส่วนวิธีการที่จะทำให้จุดกลายพันธุ์สะอาดหมดจด ในตำราไม้ไผ่ก็บันทึกไว้ประโยคหนึ่ง

ในโลกแผ่นดินผืนสุดท้าย นอกจากทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณแล้ว ยังมีแผ่นดินชื่อว่าแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่าอยู่

ที่นั่นมีสถานที่ต้นกำเนิดของเผ่ามนุษย์ แม้จะยังมีกลิ่นอายเทพเจ้าปนเปื้อนอยู่เช่นกัน แต่เหมือนจะค้นหาวิธีชำระให้สะอาดอย่างหมดจดได้แล้ว

เห็นได้ชัดว่าวิธีนี้ไม่สามารถเพิ่มปริมาณได้ มีเพียงคนระดับสูงสุดเท่านั้นจึงจะสามารถใช้งานได้

ผู้บำเพ็ญทั่วไปจึงทำได้แค่มองตาปริบๆ

ส่วนพวกผู้บำเพ็ญไร้สังกัดระดับต่ำที่มีจำนวนมากที่สุด ก็ยิ่งไม่มีความเป็นไปได้ที่จะได้ครอบครองเลย

และวิชาของผู้บำเพ็ญไร้สังกัดส่วนใหญ่ล้วนมีระดับการแยกที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ดังนั้นไม่เพียงแค่ฝึกฝนได้ยากลำบาก แต่อันตรายจากการกลายพันธุ์ก็มีมากขึ้นด้วยเช่นกัน

แม้ว่าอันตรายของการฝึกบำเพ็ญจะมากขนาดนี้ แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วตัวผู้บำเพ็ญก็ยังพบเห็นได้บ่อยๆ

อย่างเช่นสวี่ชิง เขารู้ว่าตนเองในตอนนี้ก็ถือเป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัดได้แล้ว

แม้จะทำตามบันทึกบนตำราไม้ไผ่ แต่ผู้บำเพ็ญทุกคนในโลกแผ่นดินผืนสุดท้ายล้วนเดินอยู่บนเส้นทางที่ทั้งยากลำบากและอันตรายอย่างไม่มีทางหวนกลับทั้งสิ้น ดั่งมนุษย์ทั่วไปแหวกว่ายสู่ทะเลลึก ตรงเข้าหาฝั่งที่ไกลแสนไกลนั่น แต่ก็มักจะไร้ซึ่งกำลัง ตายไปขณะที่ยังไม่ทันมองเห็นฝั่งฝันในตำนานนั่นอยู่เสมอ

ทว่าสวี่ชิงที่เติบโตขึ้นจากในถ้ำยาจก รู้เป็นอย่างดีว่าการจะบุกทะลวง หรือจะมีโรคภัยไข้เจ็บสักครั้งหนึ่ง ก็สามารถพรากชีวิตของผู้คนไปได้

“ดังนั้นแทนที่จะไปกังวลเรื่องการกลายพันธุ์ในอนาคต ก็สู้ไปกังวลเรื่องพรุ่งนี้จะอยู่รอดอย่างไรเสียจะดีกว่า”

สวี่ชิงงึมงำ ลูบๆ บาดแผลที่หน้าอก มองไปยังสีท้องฟ้าด้านนอกผ่านช่องลอด

ด้านนอกเวลานี้ฟ้าเริ่มจะสาง เสียงคำรามกรีดแหลมก็หายลงไปมากเช่นกัน

‘ถ้าหากฝนเลือดยังตกต่อแล้วยังหาแสงสีม่วงไม่เจอ ก็คงต้องพิจารณาเรื่องออกจากที่นี่เพื่อไปหาสมุนไพรที่เมืองอื่นแล้ว’ สวี่ชิงก้มหน้ามองบาดแผลตนเอง

สิ่งของทั้งหมดในเมืองก็แทบจะถูกปนเปื้อนอย่างรุนแรงหมดแล้ว เพราะว่าการแผ่ขยายของกลิ่นอายเทพเจ้ารวมไปถึงความต่อเนื่องของฝนเลือด ยาสมุนไพรเองก็อยู่ในนั้นด้วย คุณสมบัติคงด้อยลงไปมากแล้ว

สวี่ชิงยกมือขึ้น กดลงไปบนหน้าอกของตนเอง ยังมีเลือดไหลซึมออกมา

สีหน้าของเขาขาวซีดเล็กน้อย สูดลมหายใจลึก ปลดเสื้อที่อยู่ด้านในเสื้อขนสัตว์ออก เริ่มพันเสื้อจากด้านหลังเพื่อปิดบาดแผล หลังจากทำแผลเสร็จ เขาก็เรียกกำลังวังชา เฝ้ารอฟ้าสางอยู่เงียบๆ

ผ่านไปไม่นาน เสียงคำรามกับเสียงกรีดแหลมด้านนอกก็แผ่วลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหายไปจนหมด สวี่ชิงจึงมองเห็นสีท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆ สว่างขึ้นจากช่องลอด

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา เวลานี้สามารถออกไปด้านนอกได้แล้ว

เขาก็ไม่ได้ขยับตัวทันที ทว่ายืนขึ้นเพื่อยืดเส้นสายร่างกายที่แข็งทื่อไปบ้างอยู่ครู่หนึ่ง

จนคลื่นความอบอุ่นแผ่ซานเข้ามา เขาจึงย้ายของที่อุดช่องลอดเอาไว้ออก ใช้แสงเบาบางที่ลอดเข้ามาจากด้านนอก เปิดถุงหนังตนเอง แล้วจัดระเบียบเสียหน่อย

เขาผูกกริชเหล็กสนิมกรังเอาไว้ที่ข้างน่อง

ส่วนเหล็กแหลมสีดำเขาจัดในตำแหน่งที่หยิบได้ง่ายที่สุด

ยังมีหัวงูอีกชิ้นหนึ่งที่เขาใช้ผ้าห่อเอาไว้ เปิดออกตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และเก็บลงไปอย่างดี

จัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จ สวี่ชิงหลับตาลง หลังจากหายใจไปหลายครั้งก็เบิกตาโพลง ในดวงตาถูกความเย็นชาเข้ามาแทนที่

เข้ามุดตัวออกจากช่องอย่างรวดเร็ว แล้วหยุดอยู่ที่ปากทางเข้า

หลังจากตรวจสอบรอบด้านอย่างระมัดระวัง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ สวี่ชิงก็พุ่งตัวออกสู่โลกภายนอกท่ามกลางสีท้องฟ้าที่ค่อยๆ สว่างขึ้นทันที ทะยานตรงไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว

ฟ้าสางของที่นี่ยังมองไม่เห็นดวงตะวันเพราะฝนเลือดยังไม่หยุด ชั้นเมฆยังหนาแน่น ดังนั้นจึงไม่มีแสงแดดที่ร้อนแรงแผดเผา

รุ่งอรุณที่มืดครึ้มราวกับชายชราป่วยหนักที่ร่างกายเต็มไปด้วยจุดกระ สายตาที่ขุ่นมัวนั้น ราวกับยังคงมีความหนาวเย็นของน้ำค้างยามค่ำคืนหลงเหลืออยู่

ส่วนกลิ่นอายที่ปล่อยออกมา กลายเป็นสามลมยามเช้าที่พัดพาเอากลิ่นของความตายเข้ามา ทั้งเย็นทั้งหนาวเหน็บ

ถ้าไม่ได้อบอุ่นร่างไว้ก่อน ลมพัดมาทีคงจะสั่นสะท้านขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่แน่นอน

แต่ร่างกายสวี่ชิงยังเหลือความอบอุ่นก่อนหน้าไว้อยู่ ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

เวลานี้ความเร็วไม่ได้ลดลง พุ่งตรงไปยังจุดที่พบตัวตนที่สงสัยว่าจะเป็นคนเป็นเมื่อวานนี้

มองไกลๆ ในเมืองที่ว่างเปล่า ร่างของสวี่ชิงราวกับเสือดาว กระโจนไปบนกำแพงที่พังทีละจุด เคลื่อนไหวคล่องแคล่วเหมือนน้ำไหลไม่มีสะดุด

สิ่งที่ตามเขามาคือนกบินผ่านฟ้าฝูงหนึ่ง เพียงแต่ตำแหน่งของพวกมันอยู่สูงมาก ยากจะจับลงมา

สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นมองนกบินบนท้องฟ้าผาดหนึ่งพร้อมกับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก

เขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลังจากที่เทพเจ้าลืมตา สรรพสิ่งสรรพชีวิตล้วนถูกปนเปื้อนล้มตายแทบจะทั้งหมด รวมไปถึงเหล่าสัตว์ด้วย แต่มีเพียงแค่นกเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่มากที่สุด

และนกเหล่านี้ ก็คือเป้าหมายหลักที่ล่าเพื่อดับความหิวของเขาในช่วงนี้

ขณะเดียวกัน แม้พวกนกจะถูกขังอยู่ในฝนเลือด แต่พวกมันก็เหมือนจะค้นหาสถานที่หลบภัยได้ด้วยสัญชาตญาณ เหมือนกับถ้ำของสวี่ชิงที่ก่อนหน้านี้ก็พบจากร่องรอยของพวกนกเช่นกัน

อันที่จริงสถานที่หลบภัยเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยที่สุด เพียงแต่เมื่อเทียบกันแล้วอสูรกลายพันธุ์และสิ่งประหลาดเหล่านั้นมีโอกาสจะมองข้ามไปได้ง่ายกว่า

สวี่ชิงพบอยู่สองแห่งในช่วงนี้ แห่งหนึ่งคือถ้ำหินนี้ อีกที่หนึ่งอยู่ที่ด้านนอกเมือง

แต่ตอนนี้เขาเพียงแค่กวาดตามองบนท้องฟ้าแล้วก็หลุบสายตาลงมา พุ่งเป้าไปยังจุดหนึ่งของเมือง เข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

เพียงไม่นาน สวี่ชิงก็เข้าใกล้พื้นที่ที่มองเห็นเมื่อวานนี้ เขาไม่ได้เข้าไปทันที แต่อ้อมวนหาจุดที่สูงหน่อยเสียรอบหนึ่ง

หลังจากปีนขึ้นไปอย่างระมัดระวัง เขาก็หมอบตัวลงมาไม่ขยับเขยื้อน ดวงตาหรี่ลงจนแทบจะไม่เผยประกาย ก้มหน้าลงช้าๆ แล้วมองออกไป

พอทอดสายตา ดวงตาสวี่ชิงก็เครียดขึงขึ้น เขามองเห็นคนนั้นที่เห็นเมื่อวานอีกครั้ง!

อีกฝ่ายนั่งพิงซากกำแพงที่ผุพังอยู่ เสื้อผ้ายังครบถ้วน ผิวหนังปกติ

ที่สำคัญที่สุดก็คือ…สภาพร่างกายทั้งหมดของเขายังเหมือนกับที่สวี่ชิงเห็นเมื่อวานไม่ผิดเพี้ยน

ราวกับว่าช่วงเวลาหนึ่งคืนเต็ม อีกฝ่ายไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย

นี่ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง

ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นคนเป็น เป็นไปไม่ได้ที่จะมองไม่เห็นเขาหรือตัวตนอันตรายที่อยู่ในเมืองยามค่ำคืน

ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นคนตาย ศพที่ไม่มีการปนเปื้อนนี้ ก็เป็นอาหารชั้นดีที่สุดของอสูรกลายพันธุ์เหล่านั้น ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะเหลืออยู่จนถึงตอนนี้

สวี่ชิงนิ่งงัน หลังจากขบคิดในใจก็นอนพังพาบไม่ขยับเขยื้อนอยู่ตรงนั้น เขาที่เติบโตมาจากถ้ำยาจก มีความอดทนสูงอยู่เต็มเปี่ยม

ก็เลยเป็นเช่นนั้น ระหว่างการจับจ้องที่ระมัดระวังของเขา เวลาก็ไหลผ่านอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งเลยผ่านช่วงเที่ยงไป คนผู้นั้นก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อน

สวี่ชิงที่รอมาถึงสามชั่วยาม หลังจากครุ่นคิดก็ยกมือขวาขึ้นช้าๆ เขากำหินก้อนหนึ่งไว้ในมือ ดีดยิงออกไปยังตำแหน่งที่อีกฝ่ายอยู่

ความเร็วหินก้อนนี้เร็วมาก มีพลังทะลุทะลวงอยู่ไม่น้อย เมื่อตกลงบนร่างที่นั่งพิงซากปรักหักพังอยู่ ก็ส่งเสียงดังปึก

ร่างนั้นสั่นไหว และล้มลงด้านข้างราวกับศพ

และจังหวะที่เขาล้มลงนั้น แสงม่วงวูบหนึ่งก็เผยออกมาบนพื้นที่เขาเคยนั่งอยู่

พริบตาที่มองเห็นแสงม่วง ในดวงตาสวี่ชิงก็เปล่งประกาย หอบหายใจถี่รัว

แสงม่วงที่เขาเคยเห็นว่าร่วงลงมาในเมืองที่ตามหามาหลายวัน

เวลานี้เขาฝืนสะกดความบุ่มบ่ามที่จะพุ่งตัวเข้าไปทันทีไว้ และยังรอต่ออย่างยากลำบากอีกครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติแล้ว เขาก็พุ่งตัวออกไปฉับพลัน

ความเร็วที่แทบจะระเบิดพลังทั้งหมดออกมา ทั้งตัวคนราวกับเป็นเหยี่ยวตัวหนึ่ง พุ่งตรงไปยังจุดที่แสงม่วงอยู่

หลังจากที่มาถึงอย่างรวดเร็ว เขาก็เก็บแสงม่วงขึ้นมา จากนั้นร่างกายก็ถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นรวดเร็วจนถึงขีดสุด กระทั่งตอนที่ถอยมากว่าสิบจั้ง สวี่ชิงจึงหยุดร่างเพื่อหอบหายใจ มองไปยังวัตถุที่เปล่งแสงม่วงในมือ

เป็นผลึกวารีสีม่วงโปร่งใส มีความงามแวววับจับตาเม็ดหนึ่ง

หัวใจสวี่ชิงเต้นเร็วขึ้น ตอนที่เขาเงยหน้ามองเห็นศพที่ล้มลงราวกับสูญเสียการคุ้มครองของแสงม่วงไป เพียงครู่เดียวเสื้อผ้าเปื่อยยุ่ยอย่างเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า ผิวหนังกลายเป็นสีดำคล้ำ

ภาพฉากนี้ ทำให้สวี่ชิงกำผลึกวารีสีม่วงในมือแน่นขึ้นมาตามสัญชาตญาณ หันตัววิ่งทะยานกลับไปยังถ้ำของตนเองอย่างรวดเร็ว

และตอนที่ออกวิ่งได้ไม่นาน เท้าของสวี่ชิงก็หยุดลงฉับพลัน สีหน้าสับสนเล็กน้อย

ก้มหน้าลงปลดเสื้อขนสัตว์ของตนเองออก มองมายังหน้าอกที่พันเอาไว้

บาดแผลไม่มีเลือดไหลออกมาอีกแล้ว แต่กลับมีความรู้สึกคันๆ ขึ้นมาแทน

สองตาของสวี่ชิงแข็งค้าง ฉีกผ้าขาดที่พันบาดแผลตนเองไว้ออก ตอนที่มองบาดแผลจิตใจของเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง

เขาจำได้ว่าเมื่อตอนเช้าตรู่ขณะที่ตรวจสอบบาดแผลยังไม่ปิดสนิทเลย กระทั่งยังดำคล้ำไปมาก ทว่าตอนนี้…

รอยแผลบนหน้าอกของเขาผสานปิดไปแล้วกว่าครึ่ง ปากแผลเหลืออยู่เพียงรอยบางๆ เส้นหนึ่งเท่านั้น!

“นี่มัน…” สวี่ชิงหายใจถี่รัว จากนั้นหันไปมองยังผลึกวารีสีม่วงในมือฉับพลัน