บทที่ 3 จง...หลับให้สบาย

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 3 จง…หลับให้สบาย

“สิ่งนี้…”

ในดวงตาสวี่ชิงเผยประกายร้อนแรงออกมา ในหัวมีแต่ภาพศพสภาพสมบูรณ์ศพนั้นตอนที่ยังไม่ถูกเขาชิงผลึกวารีออกมาก่อนหน้า

‘ทำให้ศพมีสภาพสมบูรณ์ ทำให้คนเป็นรักษาตัวได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้นหรือ’

สวี่ชิงกำผลึกวารีสีม่วงไว้แน่น ในใจเต้นระรัวมองไปทั่วทิศทาง

ถึงแม้เขาจะรู้ว่าสถานที่นี้น่าจะไม่มีคนเป็นคนอื่นเหลืออยู่อีกแล้ว แต่สัญชาตญาณยังคงระแวดระวังขึ้นมาเพราะได้รับของมีค่าอยู่ดี

เวลานี้จะหยุดพักไม่ได้ จึงพุ่งทะยานไปยังถ้ำที่ซ่อนตัวของตนเองด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี

ระหว่างทางเขาพบว่าผลึกสีม่วงนี้ไม่ใช่แค่รักษาอาการบาดเจ็บของตนเองอย่างรวดเร็ว แต่กระทั่งความเหนื่อยล้าของร่างกายก็เหมือนจะทุเลาลงไปมาก

แต่ก่อนถ้าเขาวิ่งเช่นนี้ ประมาณครึ่งชั่วยามก็จำเป็นต้องพักเสียรอบหนึ่ง แต่ปัจจุบันผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว เขารู้สึกว่าอุ่นขึ้นทั้งตัว พละกำลังราวกับยังมีอยู่เต็มเปี่ยม

กระทั่งระหว่างทางกลับ เขายังคว้าเอาสัตว์ปีกที่ร่วงลงพื้นมาได้ตัวหนึ่งอีกด้วย

ไม่ได้สังหารให้ตาย แต่ปล่อยให้มันสลบไสล เพราะของเป็นเก็บรักษาได้นานกว่า

ถึงแม้จะทำเช่นนี้ ระยะเวลาตอนกลับถ้ำของเขาก็สั้นลงมามาก เหลือเวลาอีกพอควรกว่าจะค่ำ เขาก็มองเห็นถ้ำของตนเองไกลๆ แล้ว

อารมณ์ของสวี่ชิงดีขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้ประมาทเลินเล่อ

เพราะเขารู้ บางทีสาเหตุคงเพราะเทพเจ้าลืมตาขึ้นจนพื้นที่ต้องห้ามก่อตัวระดับต้นขึ้นมา นอกจากการตื่นขึ้นของอสูรกลายพันธุ์ยามค่ำคืนของเขตพื้นที่แห่งนี้ ยังมีการปรากฏของตัวตนประหลาดบางอย่างอีกด้วย

เขาเคยได้ยินมาจากถ้ำยาจกว่า สถานที่ที่มีความตายอยู่มากมายจะก่อเกิดสิ่งประหลาดเช่นนี้ขึ้นระหว่างฟ้าดิน

ราวกับเสียงหัวเราะที่ดังมาจากด้านนอกยามค่ำคืนคืน ก็มาจากตัวตนประเภทนี้

และรับรู้โดยทั่วกันว่าสิ่งประหลาดพวกนี้ ห้ามมอง ห้ามสัมผัส ห้ามพบเจอ

ถึงแม้ประสบการณ์ก่อนหน้าของเขา ตัวตนเหล่านั้นล้วนปรากฏตัวยามค่ำคืน แต่สวี่ชิงก็ไม่แน่ใจว่าพวกมันจะออกมาหลอกหลอนยามกลางวันบ้างหรือไม่

ดังนั้นเขาจึงไม่ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย เข้าประชิดตัวถ้ำอย่างรวดเร็ว หลังจากมุดเข้าไปก็จัดการอุดช่องลอดถ้ำเอาไว้

จากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิ กางฝ่ามือที่กำแน่นของตนเอง

แสงสีม่วงแผ่ซ่านออกมาจากฝ่ามือส่องสว่างในถ้ำเล็กแห่งนี้ ใต้แสงจ้านั้นใบหน้าและดวงตาของสวี่ชิงก็ถูกย้อมจนกลายเป็นสีม่วงเช่นกัน

เขาไม่เบนสายตา จ้องมองผลึกวารีสีม่วงกลางฝ่ามือเขม็ง

ผลึกวารีนี้รูปร่างเป็นเส้นยาว ขนาดใหญ่ไล่เลี่ยกับนิ้วมือของเขา ด้านในเหมือนมีสิ่งหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายปุยฝ้ายอยู่ด้านใน และแสงสีม่วงก็เปล่งออกมาจากปุยฝ้ายเหล่านั้น

“สมานปากแผลหรือ…” สวี่ชิงตรวจสอบอยู่นาน เปิดเสื้อออกมามองรอยแผลที่หน้าอกตนเองและพบว่ารอยแผลสมานตัวไปแล้วกว่าเก้าส่วน

ส่วนที่เหลืออยู่ในตอนนี้ราวกับไม่ต้องใช้เวลานานนักก็สามารถสมานแผลได้สมบูรณ์ กระทั่งรอยแผลเป็นรอบๆ ก็ยังหายไปแล้ว

เมื่อนึกถึงตอนที่ตนเองวิ่งกลับมาตลอดทาง ความอ่อนล้าน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก สวี่ชิงวิเคราะห์ผลึกวารีสีม่วงนี้ขั้นแรกในใจคร่าวๆ ได้แล้ว

บทบาทของวัตถุชิ้นนี้ เห็นได้ชัดว่าคือฟื้นฟู

ฟื้นอาการบาดเจ็บ ฟื้นฟูพลังกาย ฟื้นฟูพลังชีวิต!

“ไม่รู้ยังมีสรรพคุณอะไรอยู่อีก” สวี่ชิงงึมงำ ในดวงตาเผยแววครุ่นคิด

เขาไม่รู้ว่าผลึกวารีสีม่วงชิ้นนี้จะเกี่ยวข้องกับการลืมตาของเทพเจ้าหรือไม่ แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเช่นนั้น

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นสมบัติชั้นยอดชิ้นหนึ่ง อย่างน้อยสวี่ชิงตั้งแต่เล็กจนโตก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีสิ่งของที่สามารถมีพลังฟื้นฟูที่น่าตื่นตะลึงแบบนี้อยู่

สิ่งของเช่นนี้วางไว้ข้างกาย คอยช่วยเหลือร่างกายเขานับว่าเป็นชีวิตที่สองเลยก็ว่าได้

แต่สวี่ชิงก็เข้าใจอย่างดี ว่าที่ตนเองสามารถมีสิ่งของนี้ไว้ในครอบครองได้ เป็นเพราะนอกจากตนเองแล้วไม่มีใครอื่นอยู่ในเมืองนี้อีก

และเมื่อฝนเลือดหยุดลง หลังจากที่ตนเองจากไป…สมบัติเช่นนี้ เขาก็เกรงว่าจะไม่มีกำลังปกป้องมัน

ดังนั้นวิธีการเดียว ก็คือจัดการซ่อนผลึกวารีสีม่วงนี้เสีย…

สวี่ชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มองดูสัตว์ปีกที่ตนเองจับกลับมาตัวนั้นก็จับมันหยิบออกมา

หลังจากบีบจะงอยปากไม่ให้มันส่งเสียงแล้ว เขาก็ล้วงชักกริชที่น่องออกมาแล้วกรีดลงบนตัวสัตว์ปีก

ขณะที่สัตว์ปีกดิ้นรน สวี่ชิงก็ยัดผลีกวารีสีม่วงเข้าไป จากนั้นก็จับจ้องสังเกตอย่างใกล้ชิดดวงตาไม่กระพริบ

ตอนแรกเห็นว่าสัตว์ปีกตัวนี้ยังคงดิ้นรนอยู่ แต่เพียงไม่นานรอบตัวก็มีกระแสมืดหลั่งทะลัก พลังวิญญาณราวกับถูกดึงดูดเข้ามา กระทั่งมีพลังวิญญาณยังมากกว่าสวี่ชิงตอนฝึกบำเพ็ญเสียอีก แล่นอย่างรวดเร็วเข้าไปในร่างกายสัตว์ปีกตัวนี้

และระดับพลังดีดดิ้นของสัตว์ตัวนี้ก็แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้าขึ้นมาในพริบตา พลังของสวี่ชิงเมื่อเทียบกับมันก็เหมือนจะจับไว้ไม่อยู่เสียแล้ว

ภาพฉากนี้ทำให้สายตาสวี่ชิงเปล่งประกาย

คอสัตว์ปีกที่เคยแค่บิดก็หักได้ในอดีต เวลานี้เขาออกต้องออกแรงบิดหลายครั้งถึงจะหักมันได้

รีบล้วงเอาผลึกวารีสีม่วงออกมาจากในร่างกายมัน สำรวจมันครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็หลับตาลงครุ่นคิด

‘สัตว์ปีกไม่ตาย แต่กลับมีพลังวิญญาณหลั่งทะลักเข้าไป ยิ่งไปกว่านั้นพลังของสัตว์ปีกก็แกร่งมหาศาลขึ้นกะทันหัน…น่าจะไม่ผิดแล้ว’

ครู่ต่อมา สวี่ชิงลืมตาขึ้น ในสายตามีแววเด็ดขาด จัดการนำผลึกวารีสีม่วงยัดเข้าไปในปากแผลบนหน้าอกที่กำลังจะสมานกันดี

ขณะที่ยัดเข้าไปเจ็บเล็กน้อย แต่สวี่ชิงก็กัดฟันทนไว้

ไม่มีสถานที่ไหนจะปลอดภัยกว่าซ่อนไว้ในร่างกายตนเองอีกแล้ว

และเขาก็พิสูจน์ง่ายๆ ไปแล้วว่าของสิ่งนี้ถ้าใส่ไว้ในร่างกาย เหมือนประสิทธิภาพจะดียิ่งกว่า

จากการผสานเข้ากับผลึกวารีสีม่วงและการสมานปิดกันดีของบาดแผลที่อกเขา ไม่ทันที่สวี่ชิงจะได้ตรวจสอบอย่างละเอียด ในร่างกายเขาก็ส่งเสียงครืนครันออกมา

พลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่กว่าพลังที่สัตว์ปีกสูดรับมาก่อนหน้านี้ พุ่งหวีดหวิวจากทั่วสารทิศทะลุดินโคลนออกมาเข้าสู่ตัวเขา

พลังวิญญาณนี้น่าตกตะลึงมาก ร่างกายของสวี่ชิงมีสีดำจางๆ ขึ้นในพริบตา ความเย็นเยียบที่ไม่อาจพรรณนาได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

นี่เกิดขึ้นจากไอพลังประหลาดในพลังวิญญาณเข้มข้นเกินไป

แต่สวี่ชิงก็เตรียมตัวไว้แล้ว จัดการกระตุ้นเคล็ดคีรีสมุทรอย่างไม่รอช้า

พลังวิญญาณที่ทะลักเข้าสู่ตัวเขาถูกแยกไอพลังประหลาดออกมามหาศาลในฉับพลันจากการกระตุ้น

พลังวิญญาณบริสุทธิ์ที่เหลืออยู่ไหลไปตามชีพจรทั้งร่างของเขา ไหวเวียนไปทั่วกาย จนทำให้ร่างกายของสวี่ชิงตอนนี้ ส่งเสียงปึงปังออกมา

ราวกับจุดอุดตันบางส่วนในร่างกายถูกเปิดออกในพริบตา เลือดเนื้อได้รับการชุบเลี้ยงและหล่อหลอมขึ้นในเวลานี้

ภาพเซียวที่จินตนาการอยู่ในหัวเขา ช่วงเวลานี้ก็ราวกับมีชีวิต ทำท่าทำทางต่างๆ ออกมา

แม้เคล็ดคีรีสมุทรจะเป็นวิชาฝึกบำเพ็ญ แต่มันก็ไม่ใช่วิชาฝึกฝน กลับเป็นประเภทฝึกกายาอย่างหนึ่ง

ทั้งหมดแบ่งเป็นสิบระดับ สิบระดับของขั้นรวมปราณ

บนตำราไม้ไผ่อธิบายถึงมันไว้แล้วอย่างละเอียด ทุกระดับสามารถเพิ่มพลังหนึ่งพยัคฆ์ให้กับผู้บำเพ็ญได้ และห้าพยัคฆ์เท่ากับหนึ่งเซียว สองเซียวจะเท่ากับหนึ่งขุย[1]

ว่ากันว่าเซียวสามารถเคลื่อนย้ายขุนคีรี ขุยสามารถเคลื่อนย้ายมหาสมุทร ดังนั้นจึงถูกตั้งชื่อว่าเคล็ดคีรีสมุทร

หน้าอกเขาตอนนี้ฝังผลึกวารีสีม่วงไว้ในร่างกาย ราวกับกระแสไหลวนกระแสหนึ่ง ดูดดึงและปล่อยออกอย่างต่อเนื่อง พลังวิญญาณราวกับได้รับการปัดเป่าอย่างไรอย่างนั้น

การฝึกบำเพ็ญของสวี่ชิงก็ระเบิดตามขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เสียงปึงปังในร่างกายเขาก็รุนแรงขึ้นฉับพลัน สิ่งเจือปนในร่างกายเขาส่วนใหญ่ ไหลออกมาตามรูขุมขุนทั้งร่างกายของเขา

กลิ่นเหม็นคาววูบหนึ่งก็แผ่ซ่านออกมาในถ้ำ

เพราะสิ่งปนเปื้อนไหลออกมา ร่างกายของสวี่ชิงก็ดูแวววาวขึ้นไม่น้อย ใบหน้าที่เคยถูกความสกปรกปิดบังเวลานี้หล่อเหลามากขึ้น

จนผ่านไปครู่หนึ่งเสียงปึงปังในร่างกายค่อยๆ หายไปของและพลังวิญญาณหลั่งทะลักเข้ามา สองตาของสวี่ชิงก็เบิกตากว้างฉับพลัน

ในดวงตาเขามีแสงสีม่วงเปล่งออกมาแล้วหายไป

หลังจากกลับเป็นปกติ สีหน้าสวี่ชิงก็นิ่งบื้อไปพักหนึ่ง

สายตาของเขาถ้ำดำมืดเวลานี้ กลับแจ่มกระจ่างขึ้นมาบางส่วน เขารีบก้มหน้าสังเกตร่างกายตนเอง แล้วค่อยๆ เผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมา

“ความรู้สึกนี้มัน…”

สีหน้าสวี่ชิงมีแววตื่นเต้น ยืนขึ้นซัดหมัดออกไปหนึ่งหมัดจนเกิดเสียงดังลมแหลมคม

เขาทดสอบความเร็วไม่ได้เพราะในถ้ำเล็กมาก แต่ความรู้สึกตอนยกขาและออกหมัด ทำให้เขารู้ว่าตนเองในด้านต่างๆ ได้รับการยกระดับที่น่าตกตะลึงกว่าแต่ก่อนแล้ว

จากนั้นเขาก็ม้วนแขนเสื้อซ้ายขึ้นมาทันที

เมื่อมองเห็นว่าบนท่อนแขนของเขามีจุดสีดำประมาณเล็บมือจุดหนึ่งเกิดขึ้น สวี่ชิงก็สูดลมหายใจลึก สะกดความตื่นเต้นในใจ

“ที่แท้ นี่ก็คือขั้นรวมปราณระดับหนึ่ง!”

จุดดำนี้ ที่ตำราไม้ไผ่บันทึกไว้ก็คือจุดกลายพันธุ์นั่นเอง จุดกลายพันธุ์ของเคล็ดคีรีสมุทรอยู่บนแขนซ้าย ทุกระดับจะเพิ่มขึ้นหนึ่งจุด

สวี่ชิงลูบๆ จุดกลายพันธุ์บนท่อนแขน ในใจเวลานี้ยังคงยินดีปรีดาที่ร่างกายตนเองแข็งแกร่งมากขึ้น เขาจึงเงยหน้ามองไปยังช่องลอดทางเข้า ในใจคิดไว้ว่ารอจนฟ้าสางจะออกไปทดสอบความเร็วเสียหน่อย

แต่เพียงไม่นานสวี่ชิงก็มีสีหน้าสงสัย เข้าประชิดช่องลอดทางเข้า ตั้งใจฟังอย่างละเอียด

เห็นๆ อยู่ว่าด้านนอกยังมืดสนิท แต่กลับไม่มีเสียงผิดปกติใดอยู่เลยแม้แต่น้อย

นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเจอมาก่อนตั้งแต่มาอยู่ที่นี่หลายต่อหลายวัน

ก่อนหน้านี้ต่อให้หลังจากที่ฟ้าสาง ไม่มีเสียงของอสูรกลายพันธุ์หรือสิ่งประหลาดแล้ว แต่เสียงฝนก็ยังคงมีอยู่ตลอด

ทว่าเวลานี้แม้แต่เสียงฝนก็ไม่มีแล้ว

“หรือว่า…”

ใจสวี่ชิงสั่นสะเทือน การคาดการณ์หนึ่งปรากฏขึ้นมาจากส่วนลึกจิตใจ

ระหว่างรอเงียบๆ จนกระทั่งมีแสงจ้าบาดตาวูบหนึ่งสาดส่องเข้ามาในดวงตาดำสนิทของสวี่ชิงผ่านช่องลอดทางเข้าถ้ำ ราวกับจุดแสงสว่างให้กับโลกของเขา

ตอนที่มองเห็นแสง ร่างกายสวี่ชิงก็สั่นขึ้นมาอย่างชัดเจน

เขายกมือขึ้น ค่อยๆ เข้าใกล้แสงตะวันนั้น เมื่อเข้าไปอยู่ด้านในก็กอบกุมแสงตะวันเอาไว้กลางฝ่ามือ ความอบอุ่นที่ห่างหายไปนาน ปลุกจิตวิญญาณหลับลึกของเขาให้ตื่นขึ้นมาช้าๆ

“แสงตะวัน…”

ผ่านไปพักหนึ่ง ดวงตาสวี่ชิงเผยประกายสว่างออกมา ยกเอาของที่อุดช่องลอดทางเข้าออก จากแสงตะวันที่โอบกอดเข้ามามากขึ้น เขาค่อยๆ มุดตัวออกมา

พริบตาที่ชะโงกหน้าออกมาจากทางเข้า เขาเงยหน้าขึ้น เห็นชั้นเมฆไม่ได้มืดทึมหนาแน่นอีกแล้ว แต่เป็นดวงตะวันที่สว่างเจิดจ้าแทน

ราวกับชายชราจุดพลังชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้งในแสงทอยามเช้าหลังจากป่วยหนักมาหลายคืนวัน ค่อยๆ เบิกม่านออก นำความสดชื่นจุติลงมาอีกครั้งบนโลกมนุษย์

“ฝนหยุดแล้ว”

สวี่ชิงสูดอากาศที่มีกลิ่นแสงแดดลึกๆ ทีหนึ่ง มองดูเมืองที่อาบแสงตะวันนี้อยู่เงียบๆ

ราวกับแสงสีที่แตกต่างกันเปล่งประกายออกมาทั่วทั้งเมืองภายใต้แสงตะวันแดงเจิดจ้านี้

แสงสีแดงสดยามเช้าที่ขอบฟ้าสาดส่องลงมาจากร่องเมฆ ราวกับวาฬนับไม่ถ้วนกำลังพ่นน้ำตกแสงสีทอง ขับไล่หมอกมืดทั้งเมืองออกไปทีละนิด จนเผยรอยแผลกระดำกระด่างออกมา

บ้านเรือนที่พังเสียหายแต่ละหลัง ศพดำคล้ำแต่ละศพ กองเลือดที่น่าสะพรึงแต่ละจุด ราวกับกำลังย้ำเตือนสวี่ชิงถึงภัยพิบัติที่เกิดขึ้นที่นี่

ดวงตาสวี่ชิงซับซ้อนขึ้น เขาใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำยาจกนอกเมืองมาหกปี เขาเองก็มองเห็นเมืองนี้มาแล้วหกปี

ถึงแม้จะเข้าไปเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ที่นี่ก็เคยเป็นสถานที่ที่เขาปรารถนาจะเข้ามาอยู่ถึงหกปีเต็ม

“ข้าได้รับวิชาฝึกบำเพ็ญจากที่นี่”

“ข้าได้รับผลึกวารีสีม่วงจากที่นี่”

“ข้าได้มีชีวิตรอด…จากที่นี่” สวี่ชิงงึมงำ เงียบงัน

ผ่านไปนานเขาจึงถอนหายใจเบา ก้าวเท้าเดินมาอยู่ข้างศพดำคล้ำศพหนึ่ง ก้มหน้าลงมองเพียงครู่ จากนั้นจึงแบกเขาขึ้นมาเดินตรงไปด้านหน้า

เขาเดินมาจนถึงบนลานกว้างใกล้ๆ แห่งหนึ่งแล้วจึงวางศพนั้นลง จากนั้นก็หมุนตัว แบกศพที่สอง ศพที่สาม ศพที่สี่…

ศพบางส่วนที่กระจัดกระจายอยู่ตามถนน และยังมีที่อยู่ใต้ซากปรักหักพัง

จนตอนที่เขาแบกเอาศพทั้งหมดในบริเวณใกล้เคียงมาที่ลานกว้าง กองศพก็สูงราวกับภูเขา มีทั้งที่สมบูรณ์ และที่ไม่สมบูรณ์

สวี่ชิงยืนอยู่ที่นั่น จุดไฟขึ้นมากองหนึ่ง บางทีอาจจะเพราะไอพลังประหลาด เปลวไฟจึงที่จุดก็ยิ่งร้อนแรงแผดเผาขึ้นเรื่อยๆ ควันขโมงหนาแน่น…

ในกลุ่มควันขโมงนั้น สวี่ชิงมองอยู่นานจากนั้นจึงเดินออกห่างมาเงียบๆ ไปยังพื้นที่ที่สอง และเพียงไม่นาน ก็มีควันหนาแน่นลอยขึ้นมาอีกแห่ง มากขึ้น…มากขึ้นเรื่อยๆ…

เป็นเช่นนี้ วันแรกที่แสงตะวันสาดส่องลงมายังซากเมือง ภายในเมืองนอกจากแสงแล้ว ยังมีควันดำจากไฟที่เผาศพอยู่ด้วย

ควันดำลอยขึ้นสู่ฟ้าทีละสายบดบังแสงตะวัน แสงอรุณเวลานี้จึงไร้ซึ่งเรี่ยวแรงกลายเป็นสีแดงทึม ราวกับกำลังซ่อนการถอนหายใจหนักๆ เอาไว้

ราวกับควันดำแต่ละสายนั้นกลายเป็นหยาดน้ำตา และเงาที่ทอดบนพื้นแต่ละเส้นก็ราวกับกลายเป็นคราบน้ำตาบนผืนแผ่นดิน

และคราบน้ำตาแห่งสุดท้ายคือสถานที่ที่สวี่ชิงพบแสงสีม่วง

สวี่ชิงวางศพของชายชราร้านยาลงที่นั่น จากเปลวไฟที่แผดเผากองศพ น้ำตาที่อาบแก้ม เขายืนนิ่งอยู่ข้างกองไฟ เปลวไฟที่แผดเผาสาดส่องอยู่ในดวงตาของเขานั้นสั่นไหวไม่หยุด

ผมยาวรุงรังหงิกงอด้วยไอร้อนที่แผ่ออกมา ผ่านไปครู่หนึ่ง ร่างกายของสวี่ชิงก็โค้งตามกัน ก้มหัวลงคารวะ

“จง…หลับให้สบาย”

เปลวไฟในตอนนี้ปะทุแผดเผาขึ้นอย่างรุนแรง แรงขึ้นเรื่อยๆ สะเก็ดไฟมากมายกระจายออกมาราวกับดอกฟันสิงโต ปลิวไสวไปตามลม

เพียงแต่ควันหนาที่ลอยขึ้นสู่ฟ้านั้น ยังคงนำพามาซึ่งความโศกเศร้าและไม่ยินยอมที่มิอาจเลือนหายของผู้ที่ตายไป แม้แต่สายลมก็มิอาจพัดพาให้หายไปได้

ลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเป็นบาดแผลแห่งฟากฟ้า

ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง ล้วนเป็นความจำใจทั้งสิ้น

ผ่านไปเนิ่นนาน เสียงแปลกๆ เสียงหนึ่ง มาพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่วุ่นวายดังขึ้นที่ด้านหลังของเด็กหนุ่มไกลๆ อย่างกะทันหัน

“ข้าก็ว่าทำไมตลอดทางนี้ถึงไม่มีศพอยู่เลย ที่แท้ก็มีเด็กโง่คนหนึ่งแบกศพมาเผาอย่างไม่เสียดายกำลังตนเองนี่เอง

“ก็ดี ในเมื่อเจ้าอาลัยอาวรณ์เสียขนาดนี้ เช่นนั้นข้าก็จะช่วยเจ้าเสียหน่อย โยนเจ้าเข้าไปอยู่กับพวกเขาเสียเลย”

สวี่ชิงหันตัวกลับฉับพลัน

[1] ขุย (魁) เป็นปีศาจที่มีลักษณะท่าทางคล้ายผู้นำของตำนานจีน