บทที่ 4 แขกไม่ได้รับเชิญ

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 4 แขกไม่ได้รับเชิญ

พริบตาที่หันตัวกลับ สวี่ชิงกวาดตามองด้านหลังอย่างรวดเร็ว

เขามองเห็นว่าห่างออกไปเจ็ดแปดจั้ง มีคนเจ็ดคนยืนอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกัน กระจายตัวบีบเข้ามาหาตนเอง

ทั้งเจ็ดคนล้วนเป็นผู้ใหญ่ มีทั้งชายและหญิง ส่วนใหญ่สวมเสื้อขนสัตว์ สีเทาเข้ม มีถุงหนังแขวนอยู่มากมาย

ทุกคนล้วนมีอาวุธ เดินแยกกระจัดกระจาย

สามคนในนี้ถือธนู และมีสองคนถือดาบ แต่ละคนล้วนไม่ยอมหันหลังให้ฝ่ายตรงข้ามคล้ายอยู่ในท่าทีป้องกัน

มีคนหนึ่งมือสวมถุงมือ ยืนอยู่ด้านหน้าตรงกลางสุดลำพัง

ส่วนคนที่มีน้ำเสียงประหลาดเมื่อครู่ กลับเป็นชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง

คนผู้นี้แบกขวานสงครามขนาดยักษ์ไว้เล่มหนึ่ง อยู่ใกล้กับสวี่ชิงมากที่สุด

ร่างกายเขาใหญ่โตมโหฬาร บนหน้ามีแผลเป็นบิดเบี้ยว ยิ่งไปกว่านั้นหนวดยังรกรุงรัง นัยน์ตาเวลานี้แฝงความโหดร้ายไว้ด้วย ระหว่างยิ้มก็สาวเท้าก้าวใหญ่บีบเข้ามาหาสวี่ชิง

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่สวี่ชิงมองเห็นหลังจากกวาดตาครั้งหนึ่ง

รูม่านตาเขาหดลง วิเคราะห์ในหัวทันทีว่าคนเหล่านี้คล้ายไม่ใช่กลุ่มก้อนเดียวกัน ดูคล้ายจะเป็นการรวมกลุ่มชั่วคราวมากกว่า

จุดนี้มองออกอย่างชัดเจนจากตำแหน่งยืน รวมถึงการป้องกันของพวกเขา

ยิ่งไปกว่านั้นสวี่ชิงเองก็ยังเดาตัวตนของคนเหล่านี้ได้ พวกเขา…เป็นพวกคนเก็บกวาด!

ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณไม่เคยขาดแคลนพวกคนเก็บกวาด พวกเขาส่วนใหญ่โหดร้ายและไม่ค่อยจะมีขีดความอดทนสูงนัก เป็นเรื่องปลาใหญ่กินปลาเล็กทั้งสิ้น

เห็นได้ชัดว่าเมื่อฝนเลือดในพื้นที่ต้องห้ามครั้งนี้หยุดลง ม่านพลังเปิดออก คนเก็บกวาดรอบด้านจึงถูกดึงดูดเข้ามาเหมือนผึ้ง

สำหรับพวกเขา แม้พื้นที่ต้องห้ามถึงจะอันตราย แต่เดิมก็ใช้ชีวิตอยู่บนปลายดาบอยู่แล้ว ทรัพยากรที่ซ่อนอยู่ในเมืองร้างเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาจ้องกันตาเป็นมัน

แม้ทรัพยากรส่วนใหญ่จะถูกปนเปื้อนไปแล้ว แต่ก็ยังมีสิ่งของที่มีมูลค่าอยู่

ขณะที่กำลังคิดในใจอย่างรวดเร็ว สวี่ชิงก็ร่างไหววูบ คิดจะกระโจนหนีไปข้างๆ

แต่ชายร่างใหญ่ที่บีบเข้ามาหาเขา เมื่อเห็นสวี่ชิงกำลังจะหนี เจตนาสังหารที่แฝงในดวงตาก็เข้มขึ้น ในรอยยิ้มบิดเบี้ยวมีความกระหายเลือดแฝงอยู่

“จะหนีหรือ ข้าชอบไล่สังหารพวกเจ้าหนูตัวน้อยอย่างเจ้ามากที่สุด ของในถุงหนังของเจ้าน่าจะมีของอยู่เยอะกระมัง หัวหน้าเหลย เจ้าเด็กคนนี้ข้าขอแล้วกัน”

ความโหดร้ายในตาชายร่างใหญ่ราวกับแผ่ซ่านออกมาจากในรูม่านตาเขาจนกลายเป็นแรงคุกคามได้ควบคู่กับร่างกายสูงใหญ่รวมไปถึงขวานสงครามของเขา มีแรงกดดันมหาศาลเลยทีเดียว

เวลานี้สาวเท้าก้าวใหญ่พุ่งเข้ามา ขวานสงครามในมือขวายกควงขึ้น ขว้างตรงมายังทิศทางที่สวี่ชิงคิดจะกระโดดหนี

ขวานสงครามที่มาพร้อมเสียงหวีดหวิว พุ่งวาดผ่าระยะห่างในอากาศของทั้งสองฝ่ายเข้ามาใกล้ในพริบตาท่ามกลางเสียงตะโกน

ชายร่างใหญ่แข็งแรงมาก การเคลื่อนไหวก็ไม่เชื่องช้า แต่ความเร็วของสวี่ชิงเร็วกว่า แทบจะพริบตาที่ขวานสงครามพุ่งเข้ามา ร่างของเขาก็เพิ่มความเร็วฉับพลันเบี่ยงตัวหลบแล้ว

ขวานสงครามแฉลบผ่านเบื้องหน้าเขาไป

ลมกระพือผ่านใบหน้าสวี่ชิง พัดผมที่รุงรังปลิวขึ้นมาเล็กน้อย เผยให้เห็นถึงดวงตาที่ดุดันประดุจหมาป่าใต้เส้นผม

พริบตาต่อมาสวี่ชิงกลิ้งตัวลงบนพื้น เขาไม่ได้หลบหนีแต่ประชิดเข้าใกล้ชายร่างใหญ่ มือขวายกขึ้น เหล็กแหลมสีดำเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาบนมือเขา

สวี่ชิงใช้ข้อดีจากร่างกายที่เล็กกว่าอีกฝ่าย กระโจนร่างขึ้นฉับพลัน เหล็กแหลมพุ่งแทงตรงไปที่ใต้คางของชายร่างใหญ่!

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นรวดเร็วมาก ร่างกายผอมเล็กของสวี่ชิง รวมไปถึงการเคลื่อนไหวที่คิดจะหนีก่อนหน้าทั้งหมดเป็นการสร้างเกราะป้องกันทางธรรมชาติให้กับการลงมือของเขา ทำให้ตอนนี้แม้แต่ชายร่างใหญ่ยังสัมผัสได้ถึงอันตราย

แต่ถึงอย่างไรประสบการณ์เขาก็เต็มเปี่ยม เวลานี้เขาเอนหลบไปด้านหลังด้วยสีหน้าตกตะลึง เหล็กแหลมแฉลบผ่านใบหน้าไปฉิวเฉียด แต่บนคางก็ยังถูกถากจนเป็นรอยแผล

และไม่รอให้เขาเดือดดาล สวี่ชิงสีหน้าเย็นชา พอโจมตีพลาดมือซ้ายก็ล้วงเอากริชที่น่องออกมาอย่างรวดเร็ว

ตอนที่ชายร่างใหญ่เอนหลบไปด้านหลังครึ่งตัวก็ก้มตัวลงต่ำแล้วใช้กริชแทงลงไปบนหลังเท้าขวาของชายร่างใหญ่อย่างแรง

กริชเล่มนี้แทงทะลุรองเท้าสาน เสียงพ่นพรวดดังขึ้น ทะลุเนื้อปักลงไปบนดินเลน!

ชายร่างใหญ่สีหน้าบิดเบี้ยว ความเจ็บปวดรุนแรงโถมร่างทั้งร่าง เสียงกรีดร้องแหลมดังขึ้นฉับพลัน เมื่อคิดจะโต้กลับ สวี่ชิงก็ปราดเปรียวเสียเหลือเกิน หลังจากลงมือร่างกายก็ถอยกรูดถอยออกไปอยู่หลังซากกำแพงหักทันที คุกเข่าลงตรงนั้นเพื่อเตรียมพร้อม

เปลวไฟที่สั่นไหวบดบังใบหน้าของเขาอยู่ ทำให้ตัวเขาเดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือนไม่หยุด แต่ดวงตาประดุจหมาป่าคู่นั้น เป็นสิ่งที่แสงไฟมิอาจปิดบังได้ มีความระแวดระวังและดุร้ายแฝงไว้มองไปยังคนเก็บกวาดเหล่านั้น

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นไวมาก อายุและรูปร่างของสวี่ชิงทำให้รู้สึกสับสนจนทำให้คนเก็บกวาดหลายคนตอบสนองไม่ทันภายใต้ความประมาทเช่นนี้

ขณะนี้ดวงตาหลายคู่ทยอยเผยความดุร้าย สายตาของคนง้างธนูทั้งสามดูคมกริบขึ้นมาทันที

สวี่ชิงที่หลบอยู่ด้านหลังที่กำบัง ไม่ได้มองไปยังชายร่างใหญ่ที่ดิ้นรนร้องเจ็บปวดกระชากกริชออกมาจากหลังเท้าที่อยู่ห่างๆ นั่น แต่หลังจากที่กวาดตามมองคนถือธนูทั้งสาม และก็มองไปยังคนสวมถุงมือที่ยืนอยู่ตรงกลางสุดคนนั้นเป็นคนสุดท้าย

คนผู้นี้เป็นชายชราคนหนึ่ง แม้ชุดจะเหมือนกับคนอื่นๆ แต่สายตากลับดุดันมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นบนตัวเขา สวี่ชิงสัมผัสถึงคลื่นพลังวิญญาณได้รางๆ อีกด้วย

และดูจากตำแหน่งของเขา รวมไปถึงบนสายตาที่ไปรวมกันตามสัญชาตญาณของคนอื่นรอบๆ ในใจสวี่ชิงก็ตัดสินได้แล้ว ว่าอีกฝ่าย…น่าจะเป็นหัวหน้าชั่วคราวของคนเก็บกวาดกลุ่มนี้

สวี่ชิงมองชายชรา วิเคราะห์ในใจ แต่ชายชราก็ยังคงมองเขา ในสายตาปรากฏความประหลาดใจอยู่เล็กน้อย

เพียงไม่นานชายชราก็เบนสายตา มองไปยังเปลวไฟเผาไหม้ที่กำลังลุกโหมห่างออกไปกลุ่มนั้นอย่างเงียบงัน

ตอนนี้เอง ชายร่างใหญ่ที่ดึงกริชออกมาได้แล้ว ในดวงตามีโทสะระเบิดอย่างบ้าคลั่ง คำรามออกมาเสียงหนึ่งแล้วพุ่งทะยานเข้าไปทางสวี่ชิง

“เจ้าหนูน้อย มาดูกันว่าข้าจะให้เจ้าตายอย่างไร!”

สวี่ชิงหรี่ตาลง เผยให้เห็นความคมกริบอันดุดัน และขณะที่เพิ่งคิดได้ว่าจะทำอะไร ตอนนี้เอง เสียงแหบพร่าเสียงหนึ่งก็ส่งออกมาเรียบๆ

“พอได้แล้ว!”

สองคำนี้ ราวกับมีพลานุภาพสั่นสะเทือน ถึงกับทำให้ชายร่างใหญ่ที่คำรามกราดเกรี้ยวจำใจต้องหยุดเท้าลง หันหน้ากลับมาทางผู้ที่พูด

คนที่พูด ก็คือชายชราสวมถุงมือที่สวี่ชิงเพิ่งมองไปเมื่อครู่นั่นเอง

“หัวหน้าเหลย…”

“เด็กคนนี้น่าจะเป็นผู้รอดชีวิตด้านนอกถ้ำยาจก เทพเจ้าให้เขารอดมาแล้ว เจ้าก็อย่าลงมือเลย พวกเราไปเถิด”

“แต่ว่า…” ในดวงตาชายร่างใหญ่มีความไม่ยินยอมอย่างแรงกล้า เขาเชื่อว่าก่อนหน้านี้ตนเองแค่ประมาทไป ถ้าหากลงมือกันจริงๆ เขามั่นใจว่าแค่ไม่กี่อึดใจก็หักคอของสวี่ชิงได้แล้ว

และตอนที่กำลังจะอ้าปากพูด ชายชราก็มองเขาเรียบนิ่งผาดหนึ่ง

“ต้องให้ข้าพูดรอบที่สองด้วยหรือ”

ชายร่างใหญ่สีหน้าเหมือนยังไม่ยินยอม แต่สุดท้ายก็ก้มหน้าลง

เพียงแต่จังหวะที่ก้มหน้าลง เขายังเหลือบมองไปทางสวี่ชิงที่ซ่อนตัวอยู่หลังที่กำบัง จิตสังหารเผยออกมาบนใบหน้าแล้วจางไป จากนั้นจึงหันหลังกลับอย่างเย็นชา เดินกะเผลกๆ ไปทางชายชรา

จิตสังหารนี้ สวี่ชิงสัมผัสได้ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย จ้องมองคนเก็บกวาดกลุ่มนี้ที่เดินห่างออกไปอย่างระแวดระวัง

แต่หลังจากที่พวกเขาเดินออกไปประมาณสิบจั้ง ชายชราตรงกลางก็หยุดเท้าลง หันหน้ากลับมา ไม่รู้ว่ามองสวี่ชิงหรือว่ากำลังมองเปลวไฟที่กำลังแผดเผากองศพกองนั้น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า

“เด็กน้อย อยากจะออกจากที่นี่ไปพร้อมข้าหรือไม่”

สวี่ชิงงงงัน เขาสังเกตได้จากคำพูดของอีกฝ่าย ที่ใช้คำว่าข้า ไม่ใช่พวกข้า

เขาเงียบ สายตากวาดมองไปที่คนกลุ่มนี้ และชายชราคนนั้นก็ดูมีน้ำอดน้ำทน ไม่ได้เร่งรัด ยืนอยู่ห่างๆ เพื่อรอคำตอบ

หลังผ่านไปกว่าสิบอึดใจ สวี่ชิงกวาดตามองคนเหล่านี้ไปหลายรอบ มองชายชรา จากนั้นก็มองไปยังชายร่างใหญ่หน้าเหี้ยมที่ถูกตนทำร้ายจนบาดเจ็บคนนั้น

ในดวงตาเด็กหนุ่มมีประกายประหลาดแล่นออกมาแล้วหายไป

เขาลุกขึ้นยืนช้าๆ ไม่พูดอะไร ค่อยๆ เข้าไปใกล้พวกเขา

พอเห็นสวี่ชิงเดินมา ชายชราก็ยิ้มๆ หันตัวกลับแล้วเดินต่อ คนอื่นเองก็มองจ้องสวี่ชิงผาดหนึ่ง จากนั้นจึงเดินตามไป

สวี่ชิงจึงตามพวกคนเก็บกวาดเช่นนี้ และเห็นพวกเขาออกค้นหาสิ่งของที่มีมูลค่าจากในเมือง

เขาในตอนนี้จึงรู้ฉายาของชายร่างใหญ่เหี้ยมเกรียมคนนั้น คนอื่นๆ เรียกเขาว่ากระทิงโฉด

คนผู้นี้กวาดมองมาทางสวี่ชิงหลายครั้ง สายตาล้วนแฝงความเย็นเยียบอยู่ตลอด แต่ระงับเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าเขาไม่รีบร้อน รอโอกาสให้ชายชราที่ยั้งเขาไว้ไม่อยู่เสียก่อน

และเขาเหมือนมั่นใจอย่างมาก ว่าในการเดินทางข้างหน้าจะต้องมีโอกาสเป็นแน่

สวี่ชิงพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง คิดไปถึงความละโมบของชายร่างใหญ่ จึงอาศัยความคุ้นเคยของตนในเมืองนี้ให้ความช่วยเหลือกลุ่มเก็บกวาดเหล่านี้เล็กน้อย

ท่าทีของสวี่ชิงไม่กระโตกกระตาก ทำให้คนเก็บกวาดเหล่านี้ทำการค้นหาของมีค่าได้เร็วขึ้นและค้นพบสิ่งของได้มากขึ้น

ส่วนกระทิงโฉดก็ละโมบอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จะเกินกว่าที่ร่างกายตนเองรับภาระไหว แต่ก็ยังคิดอยากจะหยิบไปให้ได้มากที่สุด

ดังนั้นจากเขาที่เดิมทีบาดเจ็บอยู่แล้ว ขอบเขตในการค้นหาก็ยังมากกว่าคนอื่น ของที่แบกจึงหนักตามขึ้นไปด้วย

ตอนแรกยังไม่เท่าไร แต่พอเวลาผ่านไปพลังของชายร่างใหญ่ก็ลดลงมากอย่างเห็นได้ชัด ความอ่อนล้าก็มีมากกว่าคนอื่นทั้งหมด

ส่วนพื้นที่จวนเจ้าเมือง สวี่ชิงพิจารณาแล้วว่าชายชราที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าเหลยคนนั้นช่วยเหลือตนเอง ดังนั้นจึงไม่ได้ให้พวกเขาเข้าไป

จนถึงช่วงที่ค่ำคืนกำลังจะมาเยือน ในที่สุดคนทั้งหมดก็ออกจากเมือง แล้วไปปักหลักกันอยู่ในที่ที่เคยเป็นถ้ำยาจกนอกเมือง

การเคลื่อนไหวของพวกเขาคล่องแคล่วมาก จัดการตั้งกระโจมหกหลัง

นอกจากกระโจมของคนถือดาบทั้งสองที่นอนหลังเดียวกันแล้ว คนอื่นล้วนพักกันหลังละคน จุดธูปไว้ที่ด้านนอกของกระโจม และยังมีคนนำผงแป้งบางอย่างออกมาสาดเอาไว้รอบๆ

เมื่อเห็นว่าสีท้องฟ้ามืดลง เสียงคำรามต่างๆ ในเมืองเริ่มสะท้อนก้อง คนเก็บกวาดเหล่านี้จึงเดินเข้าไปในกระโจม

มีเพียงหัวหน้าเหลยที่มองไปยังสวี่ชิงที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย จึงล้วงถุงนอนออกมาจากข้างตัวโยนส่งไปให้

“จุดธูปจะไล่พวกอสูรกลายพันธุ์ไปได้ ผงแป้งช่วยให้หลีกเลี่ยงสิ่งประหลาดได้ จากผลงานของเจ้าในวันนี้ มีข้าอยู่ด้วย กระทิงโฉดไม่กล้าคิดเล่นงานเจ้าหรอก ที่นี่ยังถือว่าปลอดภัย”

พูดจบ ชายชราก็ไม่สนใจอะไรอีก เดินกลับเข้าไปในกระโจม

สวี่ชิงไม่พูดจา เพียงแค่จ้องมองกระโจมของชายชราผาดหนึ่ง จากนั้นเปิดถุงนอนออกแล้วมุดตัวเข้าไป แต่ไม่ได้ปิดช่องจนสนิท กลับเปิดช่องไว้ช่องหนึ่งหันหน้าไปทางกระโจมของผู้เก็บกวาด

กลางดึก เสียงคำรามกับกรีดแหลมด้านนอกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงร้องไห้ของสิ่งประหลาดก็ล่องลอยไปมา บรรยากาศน่ากลัวราวมีอยู่ทุกหนแห่งในโลกภายนอก

เหมือนกลับไม่มีใครยอมมออกจากจุดคุ้มครองในเวลานี้เลย

มีเพียงสวี่ชิงคนเดียว…

เขาลืมตาโพลงในถุงนอน ไม่ขยับเขยื้อน เฝ้ารอเงียบๆ

กระทั่งเวลาผ่านไปจนถึงช่วงที่ผู้คนนอนหลับสนิทที่สุดกลางดึก สวี่ชิงค่อยๆ คลานออกมาจากถุงนอน

ท่าทางของเขาระมัดระวังอย่างมาก พยายามไม่ทำให้เกิดเสียงมากที่สุด

เสียงคำรามกับเสียงกรีดแหลมในเมือง ดังก้องอยู่ข้างหูเขา แต่กลับไม่ได้เบี่ยงเบนความคิดของเขาเลยแม้แต่น้อย

หลังจากปีนออกมาอย่างระมัดระวัง สวี่ชิงก็ย่องไปกระโจมของกระทิงโฉดเงียบๆ

เขาไม่ยอมให้ข้างกายมีอันตรายแฝงเร้นมาคุกคามชีวิตเขา ต่อให้เป็นแค่แฝงเร้นก็ตาม เขาต้องคิดวิธีการตัดมันทิ้งออกไปทันที

นี่เป็นหลักการที่ใช้เลือดเป็นบทเรียนจากการเอาชีวิตรอดในถ้ำยาจกของสวี่ชิง และเป็นสาเหตุที่เขายอมติดตามกลุ่มมาด้วยครั้งนี้

กระทั่งตอนกลางวันที่เขาบอกให้คนอื่นรู้ ให้พวกเขาได้รับผลประโยชน์มากหน่อย ก็ยังมองความละโมบของกระทิงโฉดออก ต้องการให้กระทิงโฉดที่อยู่ในสภาพบาดเจ็บเหน็ดเหนื่อยมากขึ้น จนเสียการระแวดระวังไป

และเขาจงใจใช้วิธีทำตัวไม่กระโตกกระตาก เพื่อให้อีกฝ่ายตายใจจนละเลยการป้องกัน

ทั้งหมดนี้ ล้วนทำเพื่อการลงมือในตอนนี้ สวี่ชิงสีหน้าเรียบสงบ ค่อยๆ เข้าประชิดตัวกระโจม ไม่บุ่มบ่าม และเลือกนั่งยองลงที่นั่นก่อน ตั้งใจฟังอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง

เสียงกรนสม่ำเสมอลอดเข้ามาในหู มั่นคงต่อเนื่อง ไม่เหมือนการแกล้งทำ หลังจากแน่ใจแล้ว สวี่ชิงจึงหรี่ตาลง ค่อยๆ ดึงเหล็กแหลมของตนเองออกมา กรีดที่สลักกระโจมเบาๆ แล้วค่อยๆ มุดเข้าไป

ในกระโจมมืดสลัว สวี่ชิงมองเห็นกระทิงโฉดนอนหลับลึกอยู่ในนั้นรางๆ การแบกของอย่างหนักเมื่อตอนกลางวัน บวกกับการได้รับบาดเจ็บ จึงทำให้เขาอ่อนเปลี้ยเพลียแรงมากอย่างเห็นได้ชัด

ยิ่งไปกว่านั้นด้วยท่าทีของผู้แข็งแกร่ง ทำให้กระทิงโฉดคาดไม่ถึงเลย ว่าเด็กหนุ่มที่ท่าทางเหมือนประจบเอาใจ ให้ความร่วมมือเมื่อตอนกลางวันจะกล้าเสี่ยงอันตรายกลางดึกในสถานการณ์ที่คนเก็บกวาดทั้งหมดอยู่กันครบ

ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าในกระโจมของตนเองเวลานี้มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญอยู่

สวี่ชิงมองกระทิงโฉดที่หลับสนิท นัยน์ตาเย็นเยียบเรียบนิ่งราวกับท้องทะเลลึก เข้าไปใกล้อย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งยืนอยู่ข้างกายเขาแล้ว สวี่ชิงไม่ได้ชักช้าอืดอาด กริชในมือขวาส่องประกายเย็นเยียบ ปาดเข้าไปบนคอของกระทิงโฉดจนหัวแทบจะหลุดออกจากตัวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วยแรงมหาศาล

เลือดสดสาดกระเซ็นฉับพลัน

ความเจ็บปวดทำให้กระทิงโฉดเบิกตาโพลง มองเห็นใบหน้าไร้อารมณ์ของสวี่ชิง สีหน้าก็เผยให้เห็นถึงความไม่อยากเชื่อและตกตะลึงหวาดกลัว เมื่อคิดจะขัดขืน มือซ้ายของสวี่ชิงก็ยกขึ้นอย่างรวดเร็ว กดปิดลงไปบนปากของเขา ทำให้เขาส่งเสียงออกมาไม่ได้

และการขัดขืนก็รุนแรงขึ้นในเวลานี้ กระทิงโฉดถลึงตาโต ดีดดิ้นไปทั้งร่างอย่างบ้าคลั่ง

แต่มือของสวี่ชิงก็ราวกับเหล็กกล้ามิปาน กดเอาไว้นิ่ง เท้าขวายกขึ้น เหยียบลงไปบนท้องของกระทิงโฉดจนร่างกายโค้งราวกับเป็นคันธนูหยิบยืมแรงที่มั่นคง ทำให้การขัดขืนของกระทิงโฉดไม่เป็นผล

กระทิงโฉดราวกับปลาตัวหนึ่งที่พ้นออกจากน้ำเพราะเลือดสดหลั่งทะลักต่อเนื่อง ในดวงตาเขาปรากฏประกายความสิ้นหวังขึ้นมาอย่างรุนแรง กระทั่งเผยความอ้อนวอนออกมาเสียด้วยซ้ำ

แต่สิ่งที่เขาเห็น ยังคงเป็นใบหน้าที่นิ่งสงบของสวี่ชิง ส่วนเสียงที่ดังขึ้นจากการขัดขืนของเขาก็ถูกกลบจนมิดอยู่ภายใต้เสียงคำรามและกรีดแหลมภายนอก ไม่มีเล็ดลอดเลยแม้แต่น้อย

หลังจากเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าไปสิบกว่าอึดใจ การขัดขืนของกระทิงโฉดก็อ่อนแรงลง จนสุดท้ายชักกระตุกอยู่ครู่หนึ่ง และร่างทั้งร่างก็ทิ้งตัวลงมา ไม่ขยับเขยื้อน มีเพียงดวงตาที่เบิกโพลงที่หลงเหลือความหวาดกลัวก่อนตายเอาไว้ ลมหายใจขาดห้วงไปเรียบร้อย

สวี่ชิงไม่ได้ยกมือออกทันทีแต่ยังรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายตายแล้วจึงปล่อยมือออก หลังจากเช็ดคราบเลือดแล้ว เขาก็เปิดถุงหนังของตนเองออก

ล้วงหยิบเอาหัวงูที่ห่อไว้ในผ้าออกมาอย่างรอบคอบ ใช้เขี้ยวพิษในหัวของมันอย่างระมัดระวัง แทงลงไปบนผิวหนังของกระทิงโฉด

พริบตาต่อมา ศพของกระทิงโฉดเกิดฟองอากาศสีเขียวขึ้นเป็นระยะจากการที่พิษแพร่กระจาย ละลายลงช้าๆ

ผ่านไปหนึ่งชั่วก้านธูป ศพก็กลายเป็นกองเลือดกองหนึ่ง ซึมลงไปในดินโคลน

สวี่ชิงมองทั้งหมดเงียบๆ เริ่มเก็บกวาดสถานที่ จัดการสิ่งของของกระทิงโฉด ทำเหมือนว่าอีกฝ่ายหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นจึงมุดออกมาจากกระโจม

ลมหนาวพัดปะทะหน้า นำเอากลิ่นคาวเลือดที่ติดอยู่บนตัวเขาออกไปด้วย สวี่ชิงเงยหน้ามองฟ้ายามค่ำคืน สูดลมหายใจลึกเอาอากาศเย็นเยียบนี้เฮือกหนึ่ง เดินกลับไปยังถุงนอนของตนเองช้าๆ

ตอนที่นอนเข้าไปในถุงนอน ใจของเขาจึงสงบลงมา ความรู้สึกปลอดภัยจากการที่ภัยแฝงเร้นถูกกำจัดทำให้เขาหลับตาทั้งคู่ลง หลับสนิทอย่างรวดเร็ว แต่เหล็กแหลมที่อยู่ในมือก็ยังคงกำไว้แน่น ไม่คลายออกแม้แต่น้อย

ไม่เอ่ยอะไรอีกเลยตลอดคืน

เช้าตรู่วันถัดมา แสงอรุณสาดส่องผืนแผ่นดิน สวี่ชิงลืมตาขึ้น คลานออกมาจากถุงนอนเงียบๆ สายตาเหมือนจะกวาดส่งๆ ไปที่กระโจมของกระทิงโฉด

พริบตาต่อมา ดวงตาของเขาก็หดลงเล็กน้อย

กระโจมของกระทิงโฉดหายไปแล้ว

ในใจสวี่ชิงแน่วแน่ ระมัดระวังมากขึ้น

เพียงไม่นานคนเก็บกวาดคนอื่นก็ทยอยเดินออกมาจากกระโจมในช่วงเช้า ตอนที่พบกับเรื่องนี้เข้า ทุกคนก็ทยอยกันประหลาดใจ ออกค้นหาแต่ก็ไร้วี่แวว

แต่กระทิงโฉดก็หายตัวไปแล้ว กระทั่งกระโจมก็ไม่อยู่ด้วย ดังนั้นคนจึงตัดสินว่า อีกฝ่ายน่าจะออกไปกลางดึกเพราะละโมบต่อสิ่งของในเมือง หรือบางทีอาจจะมีสาเหตุอื่น จึงหายไปไม่บอกลา

สรุปคือในพื้นที่ต้องห้ามนี้ มีเหตุผลอยู่มากมายที่จะทำให้คนคนหนึ่งหายตัวไป

เดิมทีก็เป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นชั่วคราวอยู่แล้ว กระทิงโฉดเองก็มาเพียงลำพัง ดังนั้นผ่านไปไม่นานคนเก็บกวาดเหล่านี้จึงไม่สนใจเรื่องนี้อีก และมีคนมองมาทางสวี่ชิงด้วย แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับสวี่ชิง ทั้งยังไม่ได้รับหน้าที่ให้ตรวจสอบ จึงเก็บเอาการคาดเดาลงไป

มีเพียงชายชราที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าเหลยเท่านั้น ขณะที่เก็บถุงนอนคืนจากสวี่ชิง ก็มองเขาอย่างครุ่นคิดผาดหนึ่ง เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“ตอนนี้ ยังจะไปกับข้าอีกหรือไม่”

ประโยคนี้ ความหมายลึกซึ้ง สวี่ชิงนิ่งงัน

ชายชราไม่พูดอะไรอีก ตะโกนเรียกคนอื่น รีบออกเดินทางกันในช่วงตะวันฉาย

สวี่ชิงยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง หันกลับไปมองซากเมืองด้วยสัญชาตญาณ ท้ายสุดจึงหันหน้ากลับไปมองแผ่นหลังของชายชรา หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ก้าวเท้าเดินตามไป และจังหวะเท้าก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้น

คนเก็บกวาดหกคน เด็กอีกหนึ่งคน เงาของพวกเขาถูกลากยาวภายใต้แสงตะวัน…

ห่างออกไปมีสายลมพัดเข้ามา พัดเป่าความสะอื้นไห้และความทอดถอนใจก่อนออกเดินทางให้จางไป

“นี่คือภัยพิบัติแห่งเทพเจ้า เมืองทั้งเมืองล่มสลาย”

“พื้นที่ต้องห้ามบนโลกนี้ เพิ่มขึ้นมาอีกแห่งหนึ่งแล้ว…”

“นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พวกเจ้าคงเคยได้ยินมากระมัง เจ็ดแปดปีก่อนมีเมืองใหญ่ทางแดนเหนือเมืองหนึ่ง พอเทพเจ้าลืมตามองไป เมืองแห่งนั้นก็สลายหายไปอย่างประหลาดราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน”

บทสนทนาอ่อนเสียงลงเรื่อยๆ ภายใต้แสงตะวันของวันใหม่ ในร่างเงาที่เดินออกไปไกล เด็กหนุ่มนิ่งงันฟังอย่างเงียบงัน และเดินอย่างเงียบงัน

ยิ่งเดิน ก็ยิ่งไกลขึ้นเรื่อยๆ