บทที่ 5 ฐานที่มั่นคนเก็บกวาด

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 5 ฐานที่มั่นคนเก็บกวาด

พื้นที่มุมหนึ่งของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณด้านตะวันออกที่กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก

และซากปรักหักพังที่กลุ่มของสวี่ชิงเดินออกมา ก็ตั้งอยู่ที่ชายขอบขอบพื้นที่ต้องห้าม

นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมคนเก็บกวาดจึงมาถึงเมืองในวันแรกที่แสงตะวันสาดส่อง

ดังนั้นขณะที่สีของท้องฟ้าค่อยๆ เข้าสู่พลบค่ำ พวกเขาก็เกือบจะออกจากเขตพื้นที่ต้องห้ามแล้ว

ถึงแม้ตลอดทางจะพบกับสัตว์ที่กลายพันธุ์แล้วบางส่วน ทว่าเพราะฝีมือของคนเก็บกวาดเหล่านี้ ก็จัดการแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

จากการสังเกตของสวี่ชิง ในใจก็วิเคราะห์ออกมาได้

เขารู้สึกว่าหากตนเองลงมือล่ะก็ ในกลุ่มคนเก็บกวาดหกคนนี้ นอกจากชายชราที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าเหลย คนอื่นสามารถต่อกรได้ทั้งสิ้น

‘พวกเขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญ แต่ความโหดเหี้ยมตอนลงมือและโอกาสในการจับจังหวะ แล้วยังมีท่าทีที่เหมือนจะไม่สนใจความตายในช่วงเวลาสำคัญนั่นอีก ทำให้พลังการสังหารของพวกเขาเพิ่มมากขึ้น’

สวี่ชิงวิเคราะห์ในใจ เขากำลังครุ่นคิดว่านอกจากหัวหน้าเหลยแล้ว ถ้าสู้คนอื่นตัวต่อตัว เขายังพอสู้ไหว

ถ้าหากสองคนล่ะก็ ตนเองก็พอรับมือไหว แต่ถ้าสามคนเกรงว่าคงจะไม่ไหว

เมื่อพิจารณาได้เช่นนี้ สวี่ชิงก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้น

ขณะเดียวกันก็ยังสังเกตได้อย่างเฉียบคม เมื่อเข้าใกล้โลกภายนอกมากขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าของคนเก็บกวาดเหล่านั้น ก็ผ่อนคลายลงมาไม่น้อย

กระทั่งระหว่างทางมีการคุยล้อต่อกระซิกกันอีกด้วย

มีเพียงชายชราที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าเหลยคนเดียวที่ตลอดทางไม่พูดอะไรเลย

แต่คนอื่นก็ยังให้ความเคารพเขาอย่างมาก เรื่องนี้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกอยากรู้อยากเห็นสถานะของชายชราขึ้นมา

แต่ว่าความอยากรู้อยากเห็นนี้ก็ไม่ได้ทำให้การระแวดระวังลดลง ถึงแม้ปัจจุบันใกล้จะเดินออกจากพื้นที่ต้องห้ามแล้ว แต่การระแวดระวังของสวี่ชิงยังคงมีอยู่ ตอนที่เดินตามคนเก็บกวาดเหล่านี้ก็ไม่ได้เข้าใกล้มากนัก

แต่อยู่ด้านหลังที่ไม่ห่างและไม่ใกล้นัก ฟังการพูดคุยของพวกเขาไปด้วย เดินตามอย่างระมัดระวังไปด้วย

จนถึงตอนที่ฟ้าใกล้จะมืดอย่างสมบูรณ์ คลื่นความอบอุ่นวูบหนึ่งโถมปะทะเข้ามา สวี่ชิงจึงหยุดเท้าลง หันหน้ากลับไปมองแดนรกร้างด้านหลัง จากนั้นก็มองไปยังโลกด้านหน้า

ระหว่างฟ้าดิน สถานที่ที่เขาอยู่ราวกับมีขอบเขตที่มองไม่เห็นออกมา

ในขอบเขต คือพื้นที่ต้องห้ามกำเนิดใหม่ หนาวเย็นทึบทึม

นอกขอบเขต เป็นโลกปกติ ผืนแผ่นดินแห่งวสันต์

พวกเขาเดินออกจากพื้นที่ต้องห้ามแล้ว

โลกภายนอกแม้จะเป็นค่ำคืน แต่แสงดาวบนท้องฟ้าก็พร่างพราว มองเห็นจันทร์กระจ่างลอยสูงเด่น

ถึงแม้แผ่นดินจะรกร้างว่างเปล่า แต่กลับไม่ได้หนาวเย็นทึบทึมเหมือนในพื้นที่ต้องห้าม ยังสามารถได้ยินเสียงนกเสียงสัตว์บางชนิดร้องออกมาบ่อยๆ อีกด้วย

สวี่ชิงมองเห็นกระทั่ง กระต่ายตัวหนึ่งในทุ่งหญ้าที่ห่างออกไป กำลังจ้องมองพวกเขาอย่างระมัดระวัง

ทั้งหมดนี้ทำให้สีหน้าของสวี่ชิงมึนงงไปบ้าง

คนเก็บกวาดเหล่านั้นก็เหมือนผ่อนคลายลงมาอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งหัวหน้าเหลยเองก็ยังคลายคิ้วลงมาเช่นกัน

“ในที่สุดก็เดินออกมาเสียที ครั้งนี้ถือว่าราบรื่น แต่ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็ไม่อยากจะเหยียบเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามอีกแล้ว”

“ไม่เข้าไปในพื้นที่ต้องห้าม? ถ้าอยากจะมีชีวิตรอดต่อไปในโลกวิปลาสนี้ อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นมาหน่อย ก็ต้องดิ้นรนอยู่ในพื้นที่ต้องห้าม จะช้าเร็วข้าต้องเอาสิทธิ์อยู่อาศัยในเมืองย่อยชีเซวี่ยถงให้ได้!”

ด้านนอกพื้นที่ต้องห้าม คนเก็บกวาดเหล่านี้อารมณ์ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด มีเสียงพูดคุยกันส่งออกมา

สวี่ชิงไม่ส่งเสียงแต่ฟังอย่างละเอียด ระหว่างทางเขาได้ยินการพูดคุยกันของคนเหล่านี้ก็รู้ถึงข้อมูลที่แต่ก่อนไม่เคยสัมผัสถึงมากมาย

อย่างเช่นชีเซวี่ยถงนี้ เขาก็ได้ยินคนเก็บกวาดพูดถึงอยู่หลายครั้ง เหมือนว่านั่นเป็นขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งมากแห่งหนึ่ง

และยังมีจื่อถู่อีกชื่อหนึ่ง ถูกพวกเขาเอ่ยถึงหลายรอบเช่นกัน

“เจ้าตั้งปณิธานไว้ขนาดนั้นเชียว ชีเซวี่ยถงแบ่งเมืองย่อยไว้มาก เมืองลู่เจี่ยวข้างๆ ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่คุณสมบัติของที่นั่นไม่ใช่ว่าเพียงเจ้ามีเหรียญวิญญาณเพียงพอก็จะซื้อได้ ยังต้องมีการแนะนำจากศิษย์ของชีเซวี่ยถงอีก สิทธิ์อยู่อาศัยที่นั่นมันจะไปมีค่าอะไร เป้าหมายของข้าคือได้รับคุณสมบัติการเข้าไปยังชีเซวี่ยถงต่างหาก กลายเป็นศิษย์ของชีเซวี่ยถง!”

“เจ้าไปชีเซวี่ยถง คงรอดได้ไม่ถึงสามวัน คุยโม้โอ้อวดเสียเหลือเกิน ทำไมเจ้าถึงไม่บอกว่าเป้าหมายของเจ้าคือไปที่แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์นอกทะเลเสียเลยล่ะ ที่นั่นมีต้นกำเนิดเผ่ามนุษย์อยู่ด้วยนะ”

สวี่ชิงฟังถึงจุดนี้ ในใจก็สั่นกึก เขาเคยเห็นชื่อแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ในตำราไม้ไผ่

“แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์? ถ้าข้ามีมีฝีมือมากพอจะมองข้ามเจ้าพวกสิ่งต้องห้ามเหล่านั้นในทะเลล่ะก็ เจ้าคิดว่าข้าจะไม่ไปหรือ”

สองคนในกลุ่มคนเก็บกวาดเหมือนจะโต้เถียงกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างยังเข้าไปงัดกันและกันอีกด้วย

สวี่ชิงเงี่ยหู คิดจะฟังบทสนทนาเพื่อรับข้อมูลต่อ ชายชราหัวหน้าเหลยที่อยู่ข้างๆ ก็กวาดตามองคนทั้งสองผาดหนึ่ง และเอ่ยคำพูดขึ้นมาเป็นครั้งแรกระหว่างเดินทาง

“อยากไปที่แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ มีอยู่สี่วิธี พวกเจ้าลองคิดดูว่าข้อไหนเหมาะกับตน

“หนึ่ง สร้างรากฐานได้ภายในอายุสิบห้าปี กลายเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานที่หาได้ยาก สอง จ่ายเหรียญวิญญาณสามแสนจวิน[1] ซื้อรายชื่ออพยพจากจื่อถู่ ชีเซวี่ยถง หรือจากลัทธินอกวิถีเอา

“สาม สร้างคุณงามความดีที่ยอดเยี่ยมในด้านการหลอมลูกกลอนให้เผ่ามนุษย์ สี่ ถูกตระกูลต่างๆ ในจื่อถู่ หรือระดับสูงหลายคนในชีเซวี่ยถง หรือเจ้าลัทธินอกวิถีรับไปเป็นศิษย์สายตรง”

“โอ้ แล้วก็ยังมีวิธีที่ห้า กลายไปเป็นคนเลี้ยงของวิเศษเสีย พวกเจ้าคิดดูว่าเหมาะสมกับข้อใด”

คนเก็บกวาดทยอยๆ นิ่งงัน โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินวิธีที่ห้า ต่างฝ่ายต่างมีสีหน้ากล้ำกลืน ในดวงตาปรากฏความหวาดกลัว

สวี่ชิงเองก็ตาแข็งขึ้นมา เขาเคยได้ยินคำเรียกคนเลี้ยงของวิเศษมาแล้ว

ตอนที่ยังอยู่ในถ้ำยาจก เขาเคยมีเพื่อนสนิทหลายคน ถูกคนในชุดหรูหราพาตัวไป

ว่ากันว่าจะชุบเลี้ยงให้กลายเป็นคนเลี้ยงของวิเศษ ตอนนั้นเด็กคนอื่นในถ้ำยาจกล้วนอิจฉากันอย่างมาก

เขาจึงสงสัยขึ้นมา มองไปทางชายชราหัวหน้าเหลยเอ่ยถามเสียงเบา

“ขอถามหน่อย…อะไรคือคนเลี้ยงของวิเศษหรือ”

ชายชราหัวหน้าเหลยเบนสายตาตกมาอยู่ทางสวี่ชิง เอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ

“ใช้ร่างกายของตนเองไปชุบเลี้ยงของวิเศษเวท ฝึกบำเพ็ญวิชาพิเศษ ใช้เลือดเนื้อเข้าไปทำให้การปนเปื้อนไอพลังประหลาดของของวิเศษเวทเจือจางลง ทำให้ไอพลังประหลาดที่เพิ่มขึ้นในขณะใช้ของวิเศษเวททุกครั้งคลี่คลายลง เพื่อสะดวกในการใช้งานต่อ ส่วนตัวเองก็ค่อยๆ กลายเป็นคนที่ห่อเหี่ยวใกล้ตาย”

ดวงตาสวี่ชิงหดลง พูดไม่ออกไปชั่วขณะ นิ่งงันไป

ผู้คนเหมือนเสียอรรถรสในการพูดคุยไปเพราะคนเลี้ยงของวิเศษสี่คำนี้เสียแล้ว จึงเดินต่อกันไปเงียบๆ ยามค่ำคืน

จนมาถึงจุดที่ห่างจากพื้นที่ต้องห้ามออกมาหน่อย หัวหน้าเหลยเลือกตั้งที่พักแรมบนที่ราบกว้างแห่งหนึ่ง

พักแรมในโลกภายนอกแตกต่างจากในพื้นที่ต้องห้าม นอกจากกระโจมของตนเองแล้ว ยังมีกองไฟที่ถูกจุดขึ้นมาอีกด้วย

เพราะการลุกโหมของเปลวไฟ อากาศรอบๆ ก็อบอุ่นขึ้น คนเก็บกวาดเหล่านี้ล้วนนั่งล้อมอยู่ข้างกองไฟ แต่ละคนล้วงเอาอาหารออกมาปิ้งย่าง กลิ่นหอมค่อยๆ ฟุ้งกระจายไปทั่ว

มองดูอาหารของพวกเขา สวี่ชิงกลืนน้ำลายเอื๊อก นั่งอยู่ห่างๆ ล้วงเอาเนื้อแห้งแข็งครึ่งก้อนออกมาจากถุงหนัง ยัดเข้าปากออกแรงเคี้ยว

หัวหน้าเหลยที่อยู่ข้างกองไฟ กวาดสายตามา ลุกขึ้นเดินไปที่สวี่ชิง

ขณะที่สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น หัวหน้าเหลยก็โยนถุงหนังมาให้ใบหนึ่งฉับพลัน ด้านในมีหมั่นโถวร้อนๆ อยู่หลายลูก

พริบตาที่เขามองเห็นหมั่นโถวนี้ ตาของสวี่ชิงก็จ้องไม่วางตา สะกดกลั้นความบุ่มบ่าม เอ่ยขึ้นเสียงต่ำ

“ขอบคุณ”

หัวหน้าเหลยไม่พูดอะไร กลับไปที่ข้างกองไฟ ข้างๆ มีคนเก็บกวาดหัวเราะส่งเสียงพูดคุยกัน

“หัวหน้าเหลย ทำไมถึงดีกับเจ้าเด็กนี่นัก”

“ก็เป็นคนน่าสงสารทั้งนั้น พบกันก็คือวาสนา ช่วยได้ก็ช่วยกันไป”

หมั่นโถวมีสามก้อน เมื่อหยิบมาไว้ในมือร้อนระอุมาก

สวี่ชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นว่าคนรอบๆ กองไฟก็กินหมั่นโถวแบบเดียวกัน จึงแกล้งทำเป็นกัดไปคำหนึ่ง สังเกตดูคนเก็บกวาดเหล่านั้น หลังจากพบว่าพวกเขายังคงดูปกติดี เขาที่ทนมานานแล้ว จึงเริ่มกัดคำเล็กจริงๆ ไปคำหนึ่ง อมไว้ในปากอยู่นาน

เมื่อยืนยันได้ว่าไม่เป็นไร จึงค่อยๆ เคี้ยวละเอียด กลืนลงช้าๆ

รอต่ออีกสักพัก หลังจากแน่ใจว่าไม่เป็นไร ในใจเขาจึงถอนใจโล่ง และไม่ทนอีกต่อ กัดกินคำใหญ่ลงไปทั้งชิ้น

จากนั้นเขาจึงผ่อนช้าลง เริ่มกัดชิ้นที่สองด้วยคำเล็กๆ ลงไป

แม้ว่าท้องจะยังหิว แต่เขาเลือกที่จะห่อหมั่นโถวชิ้นสุดท้ายเก็บลงไปในถุงหนังอย่างระมัดระวังราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า

ฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็ว คนเก็บกวาดเองก็ทยอยกันกลับเข้าไปในกระโจม หัวหน้าเหลยก็ทำเช่นเดียวกับเมื่อวาน หยิบถุงนอนยื่นส่งให้เขา ก่อนที่จะเดินไปก็พูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง

“ให้เจ้า”

สวี่ชิงเงยหน้า มองหัวหน้าเหลย เอ่ยขึ้นมากะทันหัน

“เพราะอะไร”

“อะไรคือเพราะอะไร หมั่นโถวสามลูก ถุงนอนใบหนึ่ง…ไม่มีเพราะอะไร ถ้าหากเจ้ามีน้ำใจอยู่บ้าง หลังจากนี้ก็ทำอะไรให้ข้ากินบ้างก็พอ” หัวหน้าเหลยหันตัวกลับ เดินเข้าไปในกระโจม

“ท่านชอบกินอะไร”

“ข้าหรือ” หัวหน้าเหลยยืนอยู่ข้างกระโจมครุ่นคิด

“งูกระมัง เจ้านั่นรสสัมผัสไม่เลว” พูดจบ เขาก็เดินเข้าไปในกระโจม

สวี่ชิงหยิบถุงนอน มองกระโจมของหัวหน้าเหลยอยู่นาน พยักหน้าหนักๆ จากนั้นมุดเข้าถุงนอนแล้วหลับตาลง

แต่ก็ไม่ได้นอนหลับในทันที หลับตาลงแล้วแอบกระตุ้นเคล็ดคีรีสมุทรซึ่งกลายเป็นความเคยชินของเขาไปแล้ว

ถึงแม้ตอนที่ฝึกบำเพ็ญจะหนาวเย็นเหลือประมาณ แต่เขาก็ไม่เคยละเลยแม้แต่น้อย เร่งทำเวลาหมั่นฝึกบำเพ็ญ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างรากฐานก่อนอายุสิบห้าที่หัวหน้าเหลยพูดถึงวันนี้ ถึงแม้เขาจะยังไม่สามารถไปเทียบกับอัจฉริยะฟ้าประทานนั่นในคำพูดของหัวหน้าเหลยได้ แต่ในใจก็ยังมีความคิดอยู่บ้าง

“ข้าปีนี้อายุสิบสี่…” สวี่ชิงงึมงำ ฝึกบำเพ็ญต่อ

เป็นเช่นนี้ เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็วถึงห้าวัน

สวี่ชิงเดินข้ามเขาข้ามที่ราบทุ่งหญ้าไปพร้อมคนเก็บกวาดกลุ่มนี้

ระหว่างทางมีคนแยกตัวออกไปสามคน นี่จึงเป็นข้อพิสูจน์ความคิดก่อนหน้าของสวี่ชิง พวกเขาเหล่านี้เป็นกลุ่มชั่วคราวที่ตั้งขึ้นมา

จนกระทั่งถึงวันที่เจ็ด หลังจากที่คนเก็บกวาดถือดาบสองคนแยกตัวไป ก็เหลือเพียงหัวหน้าเหลยกับสวี่ชิงสองคน

ค่ำคืนวันนี้ชายชราหัวหน้าเหลยมองสวี่ชิงที่กินหมั่นโถวคำเล็กทีละคำๆ ข้างกองไฟอยู่ที่ตีนเขาลูกหนึ่ง จากนั้นก็เก็บอีกครึ่งลงไป เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า

“เด็กน้อย พรุ่งนี้กลางวัน พวกเราก็จะถึงที่หมายแล้ว นั่นเป็นที่พักของข้า เป็นฐานที่มั่นชุมนุมของคนเก็บกวาด”

สวี่ชิงเงยหน้ามองไปยังชายชรา

ชายชรามองห่างออกไป เอ่ยต่อว่า

“ฐานที่มั่นคนเก็บกวาดมักจะสร้างอยู่ข้างๆ พื้นที่ต้องห้าม ดังนั้นด้านนอกฐานที่มั่นทางนั้นของภูเขาก็เป็นพื้นที่ต้องห้ามอีกแห่งหนึ่ง

“เทียบกับพื้นที่ต้องห้ามก่อตัวใหม่ที่เจ้าอยู่มาก่อนหน้า ที่นั่นก่อตั้งมานานกว่ามาก ด้านในไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังมีสถานที่อันตรายอยู่อีก ยิ่งไปกว่านั้นไอพลังประหลาดก็ยังเข้มข้นมากอีกด้วย คนธรรมดาเข้าไปวันหนึ่งถ้าไม่ออกมาก็คือตายแล้วแน่นอน ต่อให้เป็นข้า อยู่ได้ในอย่างมากก็ทนได้เจ็ดวัน

“แต่ในที่นั่นหญ้าเจ็ดใบงอกงามดียิ่ง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นชนิดหนึ่งในการหลอมยาลูกกลอนขาว

“ยาลูกกลอนขาว เป็นยาลูกกลอนพื้นฐานในการกำจัดไอพลังประหลาดในร่างกายของผู้บำเพ็ญ ดังนั้นคนภายนอกมากมายจึงที่มายังที่แห่งนี้ พวกเขารักชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่คุ้นเคยกับสถานที่ดี น้อยมากที่จะเข้าไปเก็บด้วยตนเอง ส่วนใหญ่จะจ่ายเหรียญวิญญาณให้คนเก็บกวาดเข้าไปเก็บมาให้”

ชายชราพูดถึงจุดนี้ มองสวี่ชิง

“เจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่”

“ความหมายของท่านคือ คนเก็บกวาดพื้นที่ในฐานที่มั่นแห่งนั้นล้วนเป็นพวกไม่กลัวตาย เพื่อเงินแล้วทำได้ทุกอย่าง”

หลังจากที่สวี่ชิงฟังถึงยาลูกกลอนขาวรวมถึงสรรพคุณของมันก็หรี่ตาลง ขบคิดแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบา

ในดวงตาชายชราหัวหน้าเหลยมีสีหน้าตกใจ หัวเราะออกมา

“ส่วนที่เจ้าตอบมาถูกต้อง แต่สิ่งที่ข้าจะบอกเจ้าก็คือ หลักการในฐานที่มั่นของคนเก็บกวาดนั้นคือปลาใหญ่กินปลาเล็ก พละกำลังถือเป็นเรื่องใหญ่

“แต่อย่างน้อยก็ยังเป็นสถานที่พักพิงแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่มีตลาด มีการค้าขายสิ่งของที่จำเป็นในการดำรงชีวิต กระทั่งยังมีขบวนพ่อค้าบางกลุ่มเข้ามาอีกด้วย ดังนั้นที่พักภายในทุกแห่งจึงมีมูลค่าไม่น้อย

“ไม่ใช่ว่าใครบอกว่าจะเข้าไปก็เข้าไปได้ หากทุกคนอยากจะได้รับสิทธิ์อยู่อาศัยล้วนจำเป็นต้องผ่านการหล่อหลอมระดับหนึ่งจึงจะได้ นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่หัวหน้าฐานกำหนด

“และเจ้า ถ้าหากผ่านได้สำเร็จ ข้าสามารถอนุญาตให้เจ้าพักกับข้าในนั้นได้” ชายชรามองสวี่ชิง เอ่ยขึ้นแช่มช้า

[1] 钧 จวิน หน่วยชั่งน้ำหนักโบราณ น้ำหนักประมาณสามสิบชั่ง