โหม่ง…

โหม่ง…

เสียงระฆังเสนาะโสตดังก้องกังวานขานรับยามอรุณรุ่งของวันใหม่ ท่ามกลางหมู่เมฆาเหนือห้าดินแดนบรรพกาลอันกว้างไกลซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางของตรีโลกธาตุ ในขณะที่ดวงสุริยาปรากฏขึ้นมาจากฟากฟ้าบูรพาแทนดวงดาราที่ลาลับขอบฟ้าไป

ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของดินแดนเทวะบูรพา ณ มุมหนึ่งซึ่งไม่โดดเด่นเป็นที่สังเกตใกล้กับดินแดนเทวะมัชฌิมา มีค่ายกลขนาดใหญ่ที่เนียนเรียบเปรียบปานไหมและดูคล้ายดั่งชามแก้วคว่ำ ครอบคลุมไปทั่วทั้งยอดเขาสีเขียวมรกตนับสิบที่อยู่ภายในนั้น

ภายใต้แสงตะวันเจิดจ้า กำแพงค่ายกลขนาดมหึมานั้นเปล่งแสงหลากสีออกมาพร้อมด้วยคลื่นพลังลมปราณซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่พุ่งอยู่ภายในค่ายกล

มีเหล่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และสัตว์วิญญาณกำลังเล่นกันอย่างเบิกบานสำราญใจอยู่บนภูเขา และบางคราวก็มีเงาปรากฏขึ้นชั่วขณะท่ามกลางหมู่เมฆานั้น

มีคลื่นควันลอยฟุ้งกระจายสูงขึ้นไปในขณะที่เครื่องสายดนตรีก็ดีดสีบรรเลง เสียงเพลงไพเราะดังพลิ้วพรายไปทั่วหล้า

เวลานี้มีผู้คนมากมายกำลังนั่งอยู่ในท่าดอกบัวและฝึกลมปราณในพื้นที่โล่งข้างหอสูงในป่า ขณะที่บางคนก็เหินลอยอยู่บนท้องนภาอย่างอิสระราวกับภาพภูเขาเซียนสวรรค์

และชั่วขณะที่แสงอุษาสาดส่องไปที่ค่ายกล ก็มีเมฆาขาวจากทะเลบูรพาลอยตรงเข้ามายังบริเวณค่ายกล

บนก้อนเมฆานั้น มีเงาร่างสองร่าง หนึ่งสูง และหนึ่งเตี้ยกว่า กำลังยืนอยู่บนก้อนเมฆานั้น ร่างที่สูงกว่าคือนักพรตเต๋าชราซึ่งมีเส้นผมสีดอกเลาส่วนร่างเตี้ยกว่าที่อยู่ข้างๆ เขาก็คือ เด็กหญิงตัวน้อยจิ้มลิ้มพริ้มเพราที่มีอายุราวแปดหรือเก้าขวบ

“หมู่เมฆาไร้ที่สิ้นสุดดุจดั่งความคิดของเรา แล้วเหตุใดยังต้องพะวงยามสายลมโชยแผ่วมา”

นักพรตเต๋าชราขับขานลำนำไปตามอารมณ์

“เมื่อกำเนิดโลกบรรพกาล เพียงไม่นานก็อุบัติสงครามมังกรหงส์ ครั้นเพียงดีดนิ้วเดียว เวลาก็เคลื่อนผ่านทะยานรวดเร็ว

ไม่อาจมองเห็นศาลาที่พาไปสู่แท่นเชิงเซียน แว่วเพียงเสียงเพลงไพเราะจากเก้าสวรรค์ชั้นฟ้า

ข้ามผ่านอุปสรรคของตน ช่วยผู้คนพ้นผ่านวิบาก ปัดเป่าปัญหาทั้งปวง สรวลให้หมู่มวลมนุษย์ สรวลให้เหล่าทวยเทพ ทำลายล้างพิบัติภัย

เหตุไฉนจึงคำนึงถึงบ้านเกิด บรรพชนชีพหลั่งฝังร่างบรรลุสู่สุขสงบ…

หลิงเอ๋อร์ ฟังข้านะ!

ตามตำนานว่ากันว่า หลังจากมหาสงครามจอมเวทและปีศาจ เผ่ามนุษย์คว้าชัยเหนือกว่าและฝ่าทะยานผ่านวิถีแห่งสวรรค์ จากนั้นผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ก็ค่อยๆ เข้ายึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ ยกเว้นดินแดนเทวะอุดร พวกเราแผ่ขยายเข้าครอบครองไปทั่วทั้งมหาตรีสหัสโลกธาตุและในปฐมสหัสโลกธาตุ อย่างไรก็ตาม ดินแดนเทวะทักษิณเป็นสถานที่แห่งโชคชะตามนุษย์ ดังนั้นพวกเราจึงไม่อาจเข้าไปที่นั่นได้

ที่แห่งนี้คือดินแดนเทวะบูรพา เป็นสถานที่ฝึกบำเพ็ญที่ดีที่สุดในสามดินแดน

หลิงเอ๋อร์ ดูภูเขาเซียนที่อยู่ข้างหน้าเหล่านี้สิ พวกมันดูวิจิตรตระการตามากหรือไม่”

เด็กหญิงน้อยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ดวงตาคู่งามของนางทอแสงเป็นประกายระยับเล็กน้อย ขณะที่บนใบหน้าอวบอิ่มแก้มยุ้ยของนางฉีกยิ้มกว้างออกมาอย่างกระตือรือร้น

จากนั้นนางจึงเปิดปากกล่าวตอบว่า “เจ้าค่ะ ช่างงดงามอลังการยิ่ง!” เสียงของนางราวกับเสียงร้องของลูกนกแรกเกิดที่เพราะพริ้งแต่แฝงความตื่นกลัว

“สามารถครอบครองเส้นชีพจรวิญญาณใกล้กับดินแดนเทวะมัชฌิมา นี่ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าสำนักของเราแข็งแกร่งมากจริงๆ!”

นักพรตเต๋าชราลูบเคราพลางแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจขณะที่โบกสะบัดแส้หางม้าอย่างภาคภูมิใจในสำนักของเขา

เด็กหญิงน้อยในชุดกระโปรงดอกบัวพลันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านอาจารย์ เหตุใดพวกเราถึงไม่เลือกไปยึดครองเส้นชีพจรวิญญาณในดินแดนเทวะมัชฌิมาแทนเล่าเจ้าคะ”

นักพรตเต๋าชราถูกถามจนชะงักกึก ฝืนยิ้มออกมาก่อนจะกล่าวว่า “ในดินแดนเทวะมัชฌิมามีผู้ทรงพลังล้นเหลือ หากครอบครองเส้นชีพจรวิญญาณในดินแดนนั้น พวกเราย่อมต้องเผชิญปัญหายุ่งยากมากมายทุกวัน ในขณะที่สถานที่แห่งนี้เงียบสงบและเป็นอิสระมากกว่า หลิงเอ๋อร์”

เด็กหญิงน้อยประสานมือพร้อมกับก้มหน้าโค้งคำนับให้อย่างสุภาพพลางกล่าวว่า “ศิษย์อยู่นี่แล้วเจ้าค่ะ!”

“วันนี้อาจารย์จะพาเจ้าเข้าสู่วิถีเซียนสวรรค์ นับจากนี้ไป เจ้าต้องตั้งใจฝึกบำเพ็ญอย่างหนัก อย่าได้ย่อท้อหย่อนยาน มุ่งมั่นฝึกบำเพ็ญให้สำเร็จโดยไว ก้าวไปสู่วิถีเซียนสวรรค์ แสวงหาความเป็นอมตะ และรับผลตอบแทนจากความพากเพียรในการฝึกบำเพ็ญเต๋าของเจ้า!”

เด็กหญิงน้อยเอียงศีรษะแล้วถามเสียงแผ่วเบาว่า “แต่ท่านอาจารย์…แล้วท่านเป็นเซียนหรือไม่เจ้าคะ”

“แค่ก!” นักพรตเต๋าชราปิดปากพลางกระแอมไอออกมาก่อนจะตอบว่า “ข้าฝึกบำเพ็ญผิดพลาดไปเมื่อหลายปีก่อน แต่จะบรรลุสู่เซียนได้ในอีกราวสิบถึงยี่สิบปี”

“ไป พวกเราเข้าไปในค่ายกลกันเถิด…

เจ้าต้องจำไว้ว่าชื่อสำนักของเราคือ ‘สำนักตู้เซียน’ บรรพชนผู้ก่อตั้งสำนักของเรานั้น เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในคุนหลุนตะวันตกซึ่งบัดนี้อยู่ในรายนามเทพเซียน…

พระสูตรธรรมสูงสุดที่เราได้สืบทอดมาคือ ‘หนึ่งปราณทะยานสู่วิถีสวรรค์’ นี่คือสัทธรรมที่ซับซ้อนแต่ลึกล้ำสุดยอดเพื่อบรรลุสู่อมตะ!…

เจ้าจำสิ่งที่ข้ากล่าวมาทั้งหมดได้หรือไม่ นี่คือรากฐานสำคัญที่จะนำเจ้าบรรลุการฝึกบำเพ็ญได้ในภายภาคหน้า จงจดจำให้มั่น”

“เจ้าค่ะ ศิษย์จดจำไว้หมดแล้ว!”

เด็กหญิงน้อยพยักหน้ารับจริงจัง ทันใดนั้นนักพรตเต๋าชราก็สะบัดแส้หางม้าของเขาแล้วขับเคลื่อนเมฆาขาวให้ค่อยๆ ตรงเข้าไปใกล้ค่ายกลที่อยู่เบื้องหน้า จากนั้นก็หยิบป้ายหยกขนาดเท่าฝ่ามือของเขาออกมาแล้วถือเอาไว้ในมือ

ขณะที่ป้ายหยกเปล่งแสงสีเขียวงดงาม ค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาก็ค่อยๆ เริ่มมีรอยแยกปรากฏเป็นช่องว่างออกมาช้าๆ จากนั้นนักพรตเฒ่าและเด็กหญิงตัวน้อยที่อยู่บนก้อนเมฆาขาวก็ลอยเข้าไปในค่ายกลนั้น

ทันทีที่อาจารย์และศิษย์ทั้งสองเข้าไปในค่ายกล กระเรียนขาวสองสามตัวก็เหินบินลงมาจากหมู่เมฆาด้านบนและร่อนเข้ามาใกล้พวกเขา มีเด็กสาวสองสามคนสวมชุดคลุมเต๋าหลากสีสันกำลังยืนอยู่บนนกกระเรียนพวกนั้น พวกนางคือศิษย์สายในของสำนักที่รับผิดชอบดูแลการลาดตระเวนบนภูเขาในเวลานี้

พวกนางออกมาต้อนรับและทักทายนักพรตเฒ่าโดยเรียกขานเขาว่า ‘อาจารย์อาฉีหยวน’ และเมื่อได้รู้ว่าเด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้เป็นศิษย์ใหม่ของนักพรตเฒ่า พวกนางจึงขี่กระเรียนขาวจากไปอย่างสง่างาม

นัยน์ตาโตของเด็กหญิงตัวน้อยเปล่งประกายแวววาว สะท้อนภาพเงาด้านหลังของศิษย์หญิงผู้งามสง่าเหล่านั้นยามพวกนางจากไป

“ท่านอาจารย์ หลิงเอ๋อร์จะเหยียบกระเรียนสวรรค์และทะยานไปอย่างอิสระได้เมื่อใดกันเจ้าคะ”

“เมื่อเจ้าฝึกบำเพ็ญและพัฒนาพลังปราณทั้งห้าในหน้าอกของเจ้าแล้ว เจ้าก็จะสามารถควบคุมวัตถุต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง” ผู้เฒ่าเต๋าฉีหยวนกล่าวแย้มยิ้มพลางลูบเครา “เจ้าอาจคิดว่าสิ่งที่เจ้าเห็นนั้นเป็นกระเรียนสวรรค์ แต่แท้จริงแล้วพวกมันล้วนแปลงมาจากเครื่องมือเวท ไม่ต้องรีบ การฝึกบำเพ็ญต้องค่อยเป็นค่อยไป”

“อาจารย์จะพาเจ้าไปที่ยอดเขาของเราก่อน ค่อยจัดการเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่สำนักของเจ้า

แม้สายสืบทอดตรงของพวกเรา ยามนี้มีเพียงพวกเจ้ากับข้า ศิษย์อาจารย์สามคนเท่านั้น แต่พวกเราก็ยังได้ครองยอดเขาเดี่ยวภายในสำนัก นับว่าเป็นเกียรติขั้นสุดแล้วจริงๆ”

เมื่อฉีหยวนกล่าวเช่นนี้ ใบหน้าชราที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานจนเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นก็เผยความภาคภูมิใจออกมาให้เห็นทันที

อย่างไรก็ตาม เด็กหญิงตัวน้อยหาได้สนใจว่าจะได้ ‘ครองยอดเขาเดี่ยว’ แต่อย่างใดไม่ ทว่ากลับนับนิ้วของนาง

สามคน?

“ท่านอาจารย์ แต่พวกเรามีเพียงสองคนเท่านั้นนี่เจ้าคะ”

“โอ้? นี่อาจารย์ยังไม่ได้บอกเจ้าในระหว่างทางที่มาที่นี่หรือ ดูความจำของอาจารย์สิ”

นักพรตเฒ่าฉีหยวนเงยหน้ามองขึ้นไปบนเมฆาขาวสองสามก้อนที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้าแล้วกล่าวออกมาเบาๆ อย่างเรียบเฉยเหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้นว่า

“เจ้ามีศิษย์พี่ผู้หนึ่งที่มาก่อนเจ้า เขาเป็นศิษย์ที่อาจารย์รับมาเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน บัดนี้ก็ถือได้ว่า เขาเป็น…อืม นับได้ว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่มีความสามารถและรับผิดชอบการฝึกบำเพ็ญของตนเองได้ดีทีเดียว…

ใช่ๆ มันก็เท่านั้นแหละ…ฮ่าๆๆ…”

เด็กหญิงตัวน้อยยืนเขย่งเท้าแล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ท่านหัวเราะแปลกยิ่ง”

“หลิงเอ๋อร์ เจ้าต้องจำเอาไว้ให้มั่น” ฉีหยวนมองลงมายังศิษย์น้อยล้ำค่าซึ่งเขาเพิ่งพาขึ้นมาจากมหาสหัสโลกธาตุ ดวงตาของเขาเปล่งประกาย ใบหน้าเคร่งขรึม รอยย่นที่เผยออกมาบนใบหน้าเหมือนจะประกอบขึ้นมาเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่สองคำ…จริงจัง

เด็กน้อยผู้นี้ฉลาดและมีพรสวรรค์ในการฝึกบำเพ็ญเหนือสามัญยิ่ง นางคุ้นเคยกับพิธีการต่างๆ และมีความรู้มากมายมาแต่ยังเยาว์ ครั้นเมื่อเด็กน้อยประจักษ์ว่าอาจารย์ของนางดูจริงจังยิ่งนัก นางจึงตั้งใจฟังคำสอนสั่งอย่างเต็มที่

ทันใดนั้นนักพรตเต๋าชราก็ถอนหายใจเบาๆ ออกมาทันทีอย่างท้อแท้ราวกับลูกโป่งที่หดตัวจนฟีบแฟบเมื่อสูญเสียอากาศ กล่าวด้วยเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าก็ประสบปัญหาบางอย่างในการฝึกบำเพ็ญของเขาเช่นกัน อืม…ดูเหมือนว่าเขาจะชอบพูดจาเหลวไหล เก็บงำความคิดขัดแย้งและนอกรีตบางอย่างเอาไว้อยู่ตลอดเวลา

เจ้าขอคำแนะนำให้เขาช่วยสอนและช่วยเหลือเจ้าฝึกบำเพ็ญในภายหน้าได้ แต่ห้ามฟังหลักการใช้ชีวิตของเขาเด็ดขาด!

ในฐานะอาจารย์ ข้าจะเอาใจใส่สั่งสอนให้เจ้ารู้ว่าควรประพฤติตัวและวางตนเยี่ยงไรเอง”

สตรีน้อยกะพริบตาปริบๆ แม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์ของนางกล่าวมากนัก แต่นางก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างเชื่อฟัง

“เจ้าค่ะ ศิษย์จะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านอาจารย์”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น นักพรตเฒ่าก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกได้ในที่สุด จากนั้นจึงสะบัดแส้หางม้าที่เขาถืออยู่ออกไปด้านหน้า

“เจ้าดูสิ นี่คือยอดเขาหยกน้อยของเรา”

เมื่อกวาดสายตามองไปตามทิศทางของปลายแส้หางม้าที่สะบัดไปในอากาศแล้ว พวกเขาก็เห็นยอดเขาเตี้ยๆ ที่ ‘แคระแกร็น’ ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางยอดเขาสูงตระหง่านที่กระจัดกระจายอยู่หลายยอดเขา

มันช่างแตกต่างจากสถานที่อื่นๆ ทั้งหมดในสำนักซึ่งล้วนดูประหนึ่งประติมากรรมและภาพวาดในป่าหรือเจดีย์ที่มียอดแหลมสูงเสียดฟ้าบนยอดเขา แต่ยอดเขานี้กลับดูเรียบง่ายและน่าเกลียดกว่ามากราวกับสถานที่รกร้างที่ปกติไร้ผู้ใดไปเยี่ยมเยือน

มีสิ่งมีชีวิตล้ำค่าหายากมากมายกำลังเดินอยู่ในป่าเขียวขจี มีสิ่งก่อสร้างเพียงไม่กี่หลัง เป็นกระท่อมสร้างด้วยหญ้าฟางสองหลังซึ่งอยู่ข้างๆ ทะเลสาบเล็กๆ ตรงเนินเขา และมีสวนสมุนไพรไม่กี่แห่งอยู่ข้างกระท่อมมุงจากเท่านั้น

แต่นักพรตเฒ่าก็ดูพอใจกับยอดเขาของเขามาก ขับเคลื่อนก้อนเมฆสีขาวไปพร้อมกับเด็กหญิงตัวน้อย ผ่านค่ายกลที่เรียบง่ายลงไปตามไหล่เขา

ค่ายกลนี้สามารถป้องกันไม่ให้ผู้คนภายนอกสอดส่องว่าเกิดอะไรขึ้นภายในได้เท่านั้น เนื่องจากภูเขาต่างๆ ในสำนักตู้เซียนได้รับการปกป้องอยู่ภายในค่ายกลพิทักษ์ขนาดมหึมาอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีเพียงค่ายกลของพื้นที่หวงห้ามในภูเขาทางด้านหลังเท่านั้นที่มีคุณสมบัติในการป้องกัน

และเมื่อพวกเขาร่อนเมฆามาหยุดลงที่หน้ากระท่อม ก้อนเมฆาขาวนั้นก็สลายหายไปเอง

รองเท้าผ้าหุ้มข้อของเด็กหญิงตัวน้อยเหยียบย่ำบนพื้นหญ้าเตี้ยๆ ที่ยังคงปกคลุมไปด้วยน้ำค้างยามรุ่งอรุณ พื้นหญ้านั้นอ่อนนุ่มละมุน มีกลิ่นหอมหวนของหญ้าและพฤกษาที่ตลบอบอวลกระจายไปตามสายลมโชยอ่อนๆ ทำให้นางดื่มด่ำหลงใหลไปกับทิวทัศน์งดงามตระการตาของทะเลสาบทันที พร้อมส่งเสียงชื่นชมออกมาจากริมฝีปากนุ่มสีชมพูของนาง

ผิวน้ำของทะเลสาบขนาดเล็กเป็นประกายยามต้องแสงอรุณรุ่งที่สาดส่องลงมาบนภูเขา

ปลาวิญญาณสองสามตัวในทะเลสาบกระโดดขึ้นมาเหนือผืนน้ำพร้อมกับหยาดน้ำใสดุจผลึกแก้วที่ติดตามลำตัวของพวกมัน ราวกับจะต้อนรับผู้บำเพ็ญเซียนน้อยที่เพิ่งมาถึงใหม่

นักพรตเต๋าชรายิ้มร่าขณะที่สังเกตปฏิกิริยาของลูกศิษย์ตัวน้อยแล้วเอ่ยเสียงดังขึ้นมาว่า “ฉางโซ่ว เจ้ายังไม่ออกมาพบกับศิษย์น้องหญิงของเจ้าอีกหรือ”

เด็กหญิงตัวน้อยหันไปดูกระท่อมที่ปิดประตูอยู่ทันทีตามจิตใต้สำนึก ความคาดหวังผุดขึ้นมาในใจของนาง

ศิษย์พี่ของนางที่ฝึกบำเพ็ญในสำนักเซียนมาจะต้องฉลาด อาจหาญ และมีรูปโฉมหล่อเหลา เขาจะต้องเป็นเหมือนวีรบุรุษผู้สังหารปีศาจในตำนานที่นางเคยได้ยินมาตั้งแต่ยังเยาว์มากอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามกระท่อมมุงจากยังคงเงียบสงบ ไร้เสียงเคลื่อนไหวใดๆ จากภายในนั้น

นักพรตเต๋าผู้เฒ่าจึงร้องตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง “ฉางโซ่ว? เหตุใดถึงยังหลบอยู่ในบ้านอีก เจ้าอายหรืออย่างไรกัน”

นักพรตเต๋าชราพึมพำกับตัวเองขณะจูงเด็กหญิงตัวน้อยตรงไปที่กระท่อม “แปลก ข้าสัมผัสกลิ่นอายลมปราณของเขาที่ยังคงอ้อยอิ่งอยู่ภายในนั้นได้อย่างชัดเจน” จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นผลักประตูไม้สองบานให้เปิดออก ทันใดนั้นก็มีกลิ่นโอสถแปลกๆ พวยพุ่งออกมาปะทะใบหน้าเขาอย่างกะทันหัน ดวงตาของนักพรตเต๋าชราเบิกกว้างฉับพลันเมื่อมองเห็นแหล่งที่มาของกลิ่นอายที่เขาสัมผัสได้ นั่นคือ ตุ๊กตากระดาษที่วางอยู่บนเตียงไม้!

“โอ๊ะ?”

จู่ๆ นักพรตเต๋าชราและเด็กหญิงก็เริ่มโอนเอนไปมา สีหน้าของนักพรตเฒ่าเปลี่ยนไปทันที เขารีบดึงเด็กหญิงตัวน้อยกลับมาแล้วถอยหนีออกไปอย่างรวดเร็ว และในระหว่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่นั้น เขาก็ตะโกนก่นด่าออกมาดังลั่นว่า “บัดซบ! นี่คือโอสถเซียน ‘กลิ่นเซียนระทวย’ ที่ฉางโซ่วปรุงขึ้นมา!”

เวลานั้นเด็กหญิงตัวน้อยก็พลันรู้สึกว่าโลกหมุนติ้วไปรอบๆ อย่างกะทันหัน แม้อาจารย์จะดึงนางไป แต่นางก็เริ่มเอนเอียงและล้มลงไปด้านหนึ่งทันที

ซ่า!

เสียงน้ำหรือ

และในขณะที่นางกำลังล้มลงไปกับพื้นนั้น เด็กหญิงน้อยก็อดหันไปมองในทิศทางที่มีเสียงน้ำกระเซ็นไม่ได้

บัดนี้บนทะเลสาบ จู่ๆ ก็มีเงาร่างสูงโปร่งปรากฏขึ้นมาและโผนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาสวมกางเกงสีดำเพียงตัวเดียว กล้ามเนื้อที่แข็งแรงและสมส่วนของเขาสาดประกายแสงวิบวับเบาบางภายใต้แสงแดด ขณะที่เขาเคลื่อนขยับก็ดูราวกับมีม่านน้ำทอประกายระยิบระยับสองสายตามการเคลื่อนไหวของเส้นผมยาวสยายที่เปียกโชกของเขา…

ช่วงเวลานั้นแสงแดดกำลังสาดส่องได้อย่างเหมาะเจาะพอดี ใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษหนุ่มผู้นี้จึงสะท้อนเข้าสู่สายตาของเด็กหญิงตัวน้อย ทำให้ใบหน้าของนางแดงก่ำขึ้นมาทันที

ทว่าด้วยเหตุที่ยังไม่ได้เริ่มฝึกบำเพ็ญเพียร นางจึงไม่อาจทนต่อฤทธิ์ของโอสถได้ ในพริบตานั้นนางก็หมดสติไปก่อนที่ร่างจะตกลงบนพื้น บนใบหน้าเล็กยังคงแดงระเรื่อ

แน่นอนว่ามันเป็นไปตามที่นางจินตนาการเอาไว้อย่างบรรเจิด…

นี่คือศิษย์พี่ใหญ่ผู้องอาจหาญกล้าในความฝันอันล้ำเลิศของนาง!

……………………………………