ตอนที่ 2 การตรวจสอบของศิษย์พี่

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

หลันหลิงเอ๋อร์ฝัน

ในความฝันของนางนั้น มีเซียนชราผู้หนึ่งรับนางเป็นศิษย์และพานางมาที่สำนักเซียน จากนั้นนางก็ได้เห็นศิษย์พี่รูปงามโผนทะยานขึ้นมาจากน้ำ…

เอ่อ…ดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน แต่เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น

ขณะที่นางยังอยู่ท่ามกลางความงุนงงนั้น หลันหลิงเอ๋อร์ก็ได้ยินเสียงอาจารย์ของนางดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าน่าแปลกที่ในเวลานี้อาจารย์ของนางดูดุร้ายเล็กน้อย ต่างจากเซียนชราผู้ใจดีที่นางประทับใจอย่างยิ่ง

“สารเลว! เจ้าไม่เชื่อฟังข้า ตอนนี้เจ้าปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่หรือไม่ กล้าดีอย่างไรถึงคิดมาต่อต้านข้า!”

หลังจากนั้นหลันหลิงเอ๋อร์ก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนและนิ่งสงบดังขึ้น

“ท่านอาจารย์โปรดระงับโทสะก่อนเถิด ศิษย์แค่เพียงป้องกันเอาไว้ก่อน เพราะศิษย์กำลังจะฝึกเวทหลีกลี้วารีเร้นกาย ศิษย์จึงวางกับดักนี้ไว้เพื่อป้องกันขโมยที่อาจเข้ามา ก่อนจะไปที่ทะเลสาบเพื่อฝึกฝน ศิษย์ไม่รู้ว่าจู่ๆ ท่านอาจารย์จะกลับมาวันนี้ จึงไม่ได้ทำลายกับดักเหล่านั้น ขอท่านอาจารย์โปรดอภัยให้ศิษย์ด้วยขอรับ”

ศิษย์พี่กล่าววาจาเนิบนาบจนทำให้คนอยากได้ยินมากขึ้นอีกสักสองสามคำโดยไม่รู้ตัว

ทว่าทันทีหลังจากนั้น หลันหลิงเอ๋อร์ก็ได้ยินเสียงอาจารย์ของนางถอนหายใจยาวออกมา

นักพรตเต๋าชรานั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่พลางบ่นกระปอดกระแปดอย่างไม่พอใจว่า “ฉางโซ่ว พวกเราอยู่ในภูเขาของสำนัก แล้วมันจำเป็นต้องมีกับดักเยี่ยงนี้ด้วย?

อีกอย่าง…ป้องกันขโมยงั้นหรือ ยอดเขาหยกน้อยของเราแทบจะต้องเปลี่ยนชื่อเป็นยอดเขาสุดแสนอัตคัดได้ด้วยซ้ำ! แล้วไอ้โจรบ้าที่ไหนมันจะมุ่งเป้ามาที่เราล่ะ!?”

ฉางโซ่ว? ศิษย์พี่ชื่อฉางโซ่ว[1]หรือ

มันเป็นนามเต๋าธรรมดาๆ ในขณะเดียวกันมันก็ยังเป็นความปรารถนาที่บริสุทธิ์และเรียบง่ายของเขาอีกด้วย

ทันใดนั้นหลันหลิงเอ๋อร์ก็ตระหนักได้ว่า ถึงแม้นางจะได้ยินการเคลื่อนไหวภายนอก แต่ก็ยังไม่อาจลืมตาขึ้นได้ เปลือกตาของนางหนักอึ้ง อีกทั้งยังไร้เรี่ยวแรงใดๆ

แล้วศิษย์พี่ของนางก็กล่าวขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอบอุ่นมากจนทำให้นางนึกถึงมารดาของตน…

“ท่านอาจารย์ ที่ท่านกล่าวมาก็ไม่ถูกนักขอรับ มันยังคงมีอันตรายอยู่ภายในสำนัก…

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ การแข่งขันระหว่างยอดเขาต่างๆ ได้ทวีความดุเดือดรุนแรงยิ่งขึ้น แต่เหล่าผู้อาวุโสในสำนักล้วนไม่ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก และศิษย์ก็เป็นเพียงคนเดียวในสายการสืบทอดของเรา อ้อ…ไม่ใช่สิ… ต้องเป็นหนึ่งในสองของศิษย์ที่อยู่ในสายการสืบทอดของเรา การเฝ้าระวังจึงยังมีความจำเป็นอยู่ขอรับ…

เดิมทียอดเขาหยกน้อยของเราก็ไม่มีตัวตนในสำนักมากนัก และพวกเราก็ไม่มีที่พึ่งใดๆ เช่นกัน ไม่แน่ว่าอาจมีคนคิดจะขโมยที่ดินของเราก็ได้”

เมื่อศิษย์พี่ของนางกล่าวจบ หลันหลิงเอ๋อร์ก็ได้ยินท่านอาจารย์เฒ่าบ่นออกมาว่า

“สำนักตู้เซียนของเรามีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด แล้วเรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน

ช่างเถิด! ข้าพูดสู้เจ้าไม่ได้! วันๆ มีแต่เหตุผลบิดเบี้ยวมากมาย! แต่ไม่เห็นฐานพลังของเจ้าจะเพิ่มพูนขึ้นเลย!

ฮึ! เจ้าจงรออยู่ที่นี่จนกว่าหลิงเอ๋อร์จะตื่น นี่คือป้ายสัญลักษณ์ของข้า จงพานางไปที่ยอดเขาหลักเพื่อลงทะเบียนในบัญชีรายชื่อ และรับป้ายสัญลักษณ์ประจำตัวพร้อมกับเงินสนับสนุนรายเดือนของนางในฐานะศิษย์อย่างเป็นทางการมาด้วย!

ชิ! ช่างกวนประสาทข้านัก!” นักพรตเฒ่ายังคงก่นด่าศิษย์อย่างหงุดหงิดใจ

จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ไผ่ ก่อนจะเดินโซเซเล็กน้อยเพราะฤทธิ์โอสถที่ทำให้ใบหน้าของเขาแดงก่ำเช่นกัน

“น่าโมโหจริงๆ!” อาจารย์เฒ่ายังคงก่นด่าไม่เลิก

“ท่านอาจารย์ ค่อยๆ เดินขอรับ”

“เหอะ! ข้าจะปิดด่านฝึกบำเพ็ญเพื่อหยั่งรู้วิถีแห่งเต๋าสูงสุดแล้ว!”

จากนั้นนักพรตเต๋าฉีหยวนก็กระทืบเท้าอย่างแรงก่อนที่ร่างของเขาจะกลายเป็นควันสีฟ้าจางๆ และหายวับไปจากกระท่อมมุงจาก

ทว่าในชั่วพริบตานั้นก็มีเสียงกริ่งดังก้องกังวานมาจากกระท่อมมุงจากฝั่งตรงกันข้าม เห็นได้ชัดว่านักพรตเต๋าเฒ่าพลันเสียการทรงตัวอีกครั้งหลังจากที่เขาร่ายเวท

“เฮ้อ…”

บุรุษหนุ่มที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูถอนหายใจเล็กน้อย

และพร้อมกับการถอนหายใจนี้ เด็กหญิงตัวน้อยที่นอนอยู่บนเตียงไม้ไผ่ก็ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย นางเห็นเงาศีรษะของเขากำลังก้มมองลงมาด้วยท่าทีครุ่นคิดบางอย่าง

ศิษย์พี่ตัวสูงยิ่ง

“รากฐานการฝึกบำเพ็ญของท่านอาจารย์ยังอ่อนแอเกินไป พลังวิญญาณยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ ข้าเกรงว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ในช่วงทะยานขึ้นสู่เซียน”

ถ้อยคำเหล่านี้หมายความอันใดกัน…

จากนั้นความเหนื่อยล้าพลันถาโถมอีกครั้ง หลันหลิงเอ๋อร์จึงหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว และในไม่ช้าก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ชัดเจนดังเข้ามาใกล้อีกครั้ง

อย่าเห็นว่าในเวลานี้นางมีอายุเพียงเก้าขวบเท่านั้น เพราะแม้จะเพียงเก้าขวบแต่หลันหลิงเอ๋อร์ก็สติปัญญาเฉียบแหลม ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเกิดในตระกูลชนชั้นสูงที่เปี่ยมด้วยอำนาจในโลกที่มนุษย์ธรรมดาอาศัยอยู่ ตั้งแต่ยังเยาว์นางได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับมารยาทพิธีการและกฎต่างๆ จึงพอมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ อยู่บ้าง

สถานการณ์ที่ชายหนุ่มหญิงสาวอยู่กันตามลำพังเช่นนี้ อีกทั้งชายหนุ่มแปลกหน้ายังขยับเข้ามาใกล้ตนไม่หยุด สิ่งนี้ในสายตาหลันหลิงเอ๋อร์ดูจะไม่ค่อยถูกธรรมเนียมอยู่บ้าง

ทว่าหากบุรุษหนุ่มผู้นั้นเป็นศิษย์พี่ของนาง ในอนาคตก็คือคนที่เหมือนกับเป็นพี่ชายแท้ๆ เหมือนว่า…จะพอยอมรับได้…

“ศิษย์น้องหลัน ข้าเป็นศิษย์พี่ของเจ้า หลี่ฉางโซ่ว ตอนนี้ข้าจะช่วยแก้ฤทธิ์กลิ่นเซียนระทวยให้เจ้า หากเจ้าได้ยินข้า ก็อย่าคิดว่าข้าเป็นพวกจิตวิปริต ข้าเป็นผู้ชายที่มีค่านิยมถูกต้องมากคนหนึ่ง…

เอ่อ…นี่ข้ากำลังกล่าววาจาเหลวไหลอันใด นางเพิ่งเริ่มฝึก แล้วจะต้านทานฤทธิ์โอสถนี้ได้อย่างไรเล่า”

จิตวิปริตหรือ ค่านิยมถูกต้องหรือ คำเฉพาะเกี่ยวกับการฝึกบำเพ็ญเซียนเหล่านี้ยากยิ่งนักที่จะเข้าใจได้…

ศิษย์พี่คู่ควรเป็นผู้บำเพ็ญเซียนชั้นยอดจริงๆ!

หลันหลิงเอ๋อร์พยายามจะตอบสนองเพื่อหลีกเลี่ยงการกระทำเสมือนไร้มารยาทต่อหน้าศิษย์พี่ของนาง ทว่านางไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย มีเพียงความคิดจิตใจที่นางควบคุมได้เท่านั้น

ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่ามีมือใหญ่วางลงบนหน้าผากของนางเบาๆ อย่างอ่อนโยน และมีกระแสลมเย็นสดชื่นปะทะแผ่วผ่านมาบนหน้าผาก เข้าไหลเวียนไปทั่วร่างกายของนางทันที จนทำให้นางรู้สึกสบายมากเป็นพิเศษ

ศิษย์พี่กำลังรักษาข้า…

ฉับพลันนั้นความคิดของหลันหลิงเอ๋อร์พลันปั่นป่วนเล็กน้อยอย่างไม่รู้สาเหตุ ความคิดเลื่อนลอย สับสนมึนงง ทั้งรู้สึกกึ่งฝันกึ่งจริงในเวลาเดียวกัน

หลี่ฉางโซ่วพลันขมวดคิ้วครุ่นคิด พลางมองเด็กหญิงตัวน้อยที่นอนทอดร่างอยู่บนเตียง

แม้อาจารย์จะบอกว่าต้องการรับศิษย์อีกคนมานานแล้ว และเขาก็ได้เตรียมใจมากพอที่จะต้อนรับศิษย์น้องหญิงหรือศิษย์น้องชายไว้แล้ว แต่หลี่ฉางโซ่วก็ยังคงกังวลในบางเรื่อง

ข้าน่าจะใช้โอกาสนี้ตรวจสอบจิตวิญญาณของนาง

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็แผ่กระแสลมปราณเย็นสดชื่นออกไป และสัมผัสต้นกำเนิดของหลันหลิงเอ๋อร์เบาๆ

อืม วิญญาณและร่างกายเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ร่างกายของนางไร้สิ่งผิดปกติใดๆ เป็นไปได้ยากที่จะถูกสิ่งใดครอบงำได้

พรสวรรค์เหมือนว่าจะไม่เลว มีธาตุน้ำกับธาตุไม้ ก็ไม่รู้ว่านางจะมีลักษณะนิสัยเยี่ยงไรกัน

ศิษย์น้องหญิงอายุเท่านี้แล้ว นิสัยน่าจะพัฒนาเป็นรูปเป็นร่างแล้ว หวังว่านางจะไม่ใช่คนที่ชอบสร้างปัญหาไปทั่วหรอกนะ

แต่ว่าดูจากรูปลักษณ์ของนางแล้ว นางย่อมจะเป็นสาวงามยามเจริญวัย ตั้งแต่สมัยโบราณมา สตรีโฉมงามมักเป็นเหตุให้เกิดสงคราม นี่อาจเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งได้ ดังนั้นเขาต้องพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงมัน

ตรวจสอบอีกหน่อยดีกว่าว่านางมีเมล็ดพันธุ์มารหรืออะไรทำนองนั้นซ่อนอยู่หรือไม่

ใช่แล้ว นี่เป็นการตรวจสอบที่จำเป็นมากเช่นกัน แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก แต่ความเป็นไปได้แม้เพียงเล็กน้อยเช่นนี้ก็ไม่อาจตัดออกไปได้ การป้องกันปัญหาไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายแต่อย่างใด

และในเวลาเดียวกันนั้น…

เอ๋?

ด้วยรู้สึกว่ามือใหญ่นั้นขยับออกจากหน้าผาก และเริ่มเลื่อนไล้ไปช้าๆ ทุกที่ทั่วเรือนร่างของนาง จนหลันหลิงเอ๋อร์ที่กำลังสะลึมสะลืออยู่พลันมีใบหน้าแดงก่ำขึ้นเล็กน้อย

ศะ… ศิษย์พี่…

ทะ ทางนี้ด้วยหรือ!…

นี่มันไม่เหมาะสมเกินไปแล้ว…

และในไม่ช้าหลังจากที่ตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็พยักหน้า ดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีปัญหาใดกับศิษย์น้องหญิงตัวน้อย นางไม่ได้ถูกครอบงำ ไม่มีเมล็ดพันธุ์มารฝังอยู่ในกายนาง และไม่ได้อยู่ภายใต้อิทธิพลของพิษกู่หรือคำสาปใดๆ และยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นต้นกล้าชั้นดีที่มีพรสวรรค์ในการฝึกฝนจริงๆ

การตรวจสอบแรกเข้าสำนัก ผ่านอย่างเป็นทางการแล้ว!

ต่อไปก็เป็นการจัดหลักสูตรการฝึกฝนให้ศิษย์น้องหญิง เรื่องนี้ก็ต้องเตรียมให้ดี

คงจะดีที่สุดหากศิษย์น้องหญิงของเขาไม่ใช่คนที่ชอบก่อปัญหา ดังนั้นโอกาสที่เขาจะได้รับผลกรรมในภายหลัง ก็น่าจะพอๆ กับตอนนี้

หลี่ฉางโซ่วยังคงนั่งใจลอยอยู่บนขอบเตียง จากนั้นเขาก็หัวเราะแห้งๆ และพึมพำกับตัวเองว่า “บัดนี้ข้าเข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดในชาติที่แล้วของข้า จึงมีพวกโลลิคอนมากมายขนาดนั้น น่ารักขนาดนี้ แล้วจะมีผู้ใดทนได้ไหวเล่า”

โลลิคอน? น่ารัก? ชาติที่แล้ว?

แม้หลันหลิงเอ๋อร์จะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แต่นางก็รู้สึกว่าอาจารย์ของนางพูดถูก ศิษย์พี่ของนางค่อนข้างแปลกจริงๆ

อาจเป็นเพราะผลกระทบจากไอเย็นพวกนั้น หลันหลิงเอ๋อร์จึงรู้สึกว่าได้ฟื้นคืนพลังงานบางส่วนขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว นางจึงลืมตาขึ้นและเผยอริมฝีปากของนางออกนิดๆ ก่อนจะส่งเสียงครางเบาๆ ออกมาจากลำคอ

สายตาของนางเปลี่ยนจากพร่ามัวมาเป็นชัดเจน และในที่สุดหลันหลิงเอ๋อร์ก็ได้เห็นศิษย์พี่ของนางอย่างใกล้ชิด เขามีใบหน้าที่เฉียบคมหล่อเหลาดังคาด ยิ่งเพ่งพิศก็ยิ่งดูหล่อและมีเสน่ห์มากกว่าบรรดาผู้คุ้มกันที่อยู่โดยรอบมารดาของนางเสียอีก

ทว่าสีหน้าของศิษย์พี่ของนางในยามนี้ ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย…

สายตาของศิษย์พี่ช่างน่ากลัวยิ่ง!

อึ้ก!

หลันหลิงเอ๋อร์กลืนน้ำลาย ทั้งดูอ่อนแอไร้หนทางและน่าสงสาร

แล้วจู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ที่ขอบเตียงเอ่ยถามแผ่วเบาว่า “เจ้าได้ยินทุกอย่างที่ข้าพูดเมื่อครู่ใช่หรือไม่”

หลันหลิงเอ๋อร์รู้สึกตื่นกลัวเล็กน้อยขณะที่ตอบเสียงสั่นกลับไปว่า “มะ…ไม่…เจ้าค่ะ…”

มีอะไรผิดปกติกับศิษย์พี่หรือไม่ ข้าทำอันใดให้เขาไม่พอใจหรือ ดูจากสีหน้าของศิษย์พี่แล้ว ดูเหมือนเขาไม่พอใจข้า

“ศิษย์พี่…”

บุรุษหนุ่มที่ขอบเตียงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วมองลงไปที่เด็กหญิงตัวน้อยผู้งดงามปานหยกสลัก ดวงตาของเขาฉายแววลังเลเล็กน้อยอยู่ภายในนั้นขณะกล่าวเสียงต่ำออกมาอย่างรวดเร็วว่า

“จงมองข้า คำพูดที่ข้าเอ่ยเมื่อครู่ ห้ามพูดกับผู้ใด”

“อ้อ เจ้าค่ะ” หลันหลิงเอ๋อร์กล่าวตอบเสียงเบา ใบหน้าของนางแดงก่ำเล็กน้อย รู้สึกตื่นกลัว ทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง

หลังจากนั้นนางก็เห็นศิษย์พี่ของนางส่ายหน้าก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่หน้าต่าง เขามองออกไปนอกหน้าต่างและดูเหมือนจะอยู่ในภวังค์ความคิดไปชั่วขณะ

นามของเขาคือหลี่ฉางโซ่ว ยามกราบอาจารย์ เขายืนกรานจะรักษาคำว่า ‘ฉางโซ่ว’ เป็นนามเต๋าของเขา

มันไม่ต่างจากที่หลันหลิงเอ๋อร์คาดเดามากนัก หลี่ฉางโซ่วอยากให้อายุขัยของเขายืนยาวสักหน่อย ให้เทียบเท่าสวรรค์และปฐพีได้ก็ย่อมจะเป็นการดีที่สุด

ในขณะนี้หลี่ฉางโซ่วกำลังนึกถึงข้อมูลที่เขาเปิดเผยขณะที่พึมพำกับตัวเองเมื่อครู่

ข้อบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดในนั้น น่าจะเป็นสามคำที่ว่า ‘ชาติที่แล้ว’ ให้ตายสิ!

ในช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้หลี่ฉางโซ่วระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก แต่ไม่คิดว่าจะมาพลาดเปิดเผยความลับต่อหน้าศิษย์น้องหญิงคนใหม่ของเขา! เขาเก็บซ่อนความลับเอาไว้ในใจมานานเกินไปจนอดที่จะเผลอพูดกับตัวเองออกมาไม่ได้!

หลี่ฉางโซ่วยกมือลูบคางพลางหันศีรษะไปกวาดมองเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังพยายามจะลุกขึ้นนั่งบนเตียง

คงต้องฆ่านางเพื่อปิดปากอย่างที่คิดจริงๆ ต้องฆ่าคนปิดปาก!

หลันหลิงเอ๋อร์พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะลุกขึ้นนั่งตัวตรงบนเตียงไม้ไผ่ ทว่าเพียงได้สบสายตาเย็นชาของศิษย์พี่ของนางโดยบังเอิญ ทันใดนั้นนางก็ตัวสั่นเทาขึ้นมาทันที…

“ศิษย์พี่?”

“ที่ข้าพูดไปเมื่อครู่ ห้ามเจ้าเอ่ยกับผู้ใดเด็ดขาด!”

“เจ้าค่ะ! หลิงเอ๋อร์จดจำเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ!”

“ห้ามเจ้าบอกผู้ใด รวมทั้งอาจารย์ด้วย!”

“เจ้าค่ะ ศิษย์พี่…”

“ดี เช่นนั้นก็จงให้สัตย์สาบานมาก่อนในนามแห่งเต๋าสูงสุด!”

“เอ๋? เอ่อ…”

และแล้วกลางวันแสกๆ ภายใต้แสงแดดแห่งดวงสุริยัน บนหน้าผากของเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังนั่งอยู่บนเตียง ก็ค่อยๆ ปรากฏเส้นแนวตั้งสีดำขึ้น และภายใต้การกำกับควบคุมอย่างใกล้ชิด นางยกมือน้อยๆ ของนางขึ้น เริ่มกล่าวให้สัตย์สาบานแห่งเต๋าที่ยาวนับพันคำ ซึ่งได้พิจารณาถึงสถานการณ์และเงื่อนไขที่เป็นไปได้สารพัดแบบต่างๆ …

ทำการปฏิญญาต้าเต๋า

…………………………………………

[1] ฉางโซ่ว แปลว่า อายุยืน