บทที่ 1: เสียงเรียกของดันเจี้ยน
ในโลกที่ความเป็นจริงและแฟนตาซีผสมผสานกันอย่างลงตัว การเกิดขึ้นของดันเจี้ยนใหม่ได้ส่งกระแสความตื่นเต้นเข้าสู่หัวใจของนักผจญภัยที่อยู่ห่างไกลออกไป อามะ เด็กชายวัย 16 ปีที่มีจิตวิญญาณอันแน่วแน่และหัวใจที่เต็มไปด้วยความฝัน ยืนอยู่ที่ธรณีประตูของดันเจี้ยนลึกลับแห่งนี้ ขณะที่แสงแรกของรุ่งอรุณสาดส่องท้องฟ้าเป็นสีส้มและสีชมพู
ผมสีดำของเอมะปลิวไปตามสายลมยามเช้า พร้อมที่คาดผมสีแดงประดับหน้าผากของเขา ซึ่งเป็นของขวัญอันล้ำค่าจากแม่ซึ่งตอนนี้ได้จากไปแล้ว
ณทางเดินสุดลูกหูลูกตา
ปรากฎอักษรรูนที่แกะสลักไว้ในซุ้มประตูหินเปล่งแสงริบหรี่ ปล่อยรัศมีจากโลกอื่นเหนือทางเดินที่อยู่ไกลออกไป
ขณะที่ เอมะ ก้าวเข้าไปในดันเจี้ยนที่มีแสงสลัว ความรู้สึกของเขาก็เพิ่มขึ้น อากาศหนาแน่นไปด้วยความคาดหวัง ส่งเสียงกระซิบแผ่วเบาของเวทมนตร์โบราณและสมบัติล้ำค่านับไม่ถ้วน พื้นใต้ฝ่าเท้าของเขาให้ความรู้สึกเย็นและมั่นคง ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับโลกที่มีชีวิตชีวานอกกำแพงดันเจี้ยน
หลังจากการเดินตามหาของมีค่า อย่างระมัดระวังมาพักใหญ่
เอมะ ก็ได้รู้ว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่จะหาของมีค่า ภายในดันเจี้ยนชั้นนี้
แน่นอนนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาสำรวจ เพราะความจริงเอมะเป็นนักผจญภัยที่ติดอยู่ที่ชั้นที่ 1 มากว่า 2 ปีแล้ว
เหตุผลไม่ใช่เพราะหาทางไปต่อไม่ได้ แต่เป็นเพราะ *ระดับพลัง* ของเขามันหยุดไปนานแล้ว
ในโลกแห่งนี้ *ระดับพลัง* คือค่าชี้วัดความแข็งแกร่งของบุคคลและมอนสเตอร์
: พละกำลัง
: ความเร็ว
: ความทนทาน
: พลังเวทย์
ทั้งหมดล้วนสัมพันธ์กัน และด้วยระดับพลังที่มีเพียง //5 หน่วย// นี่ถือว่า น้อยมาก เมื่อเทียบกับมอนเตอร์ภายในชั้นที่ 1
ที่มีมากสุดถึง 10 หน่วย
หลายคนอาจจะคิดว่ามันก็แค่ตัวเลขที่ห่างกันแค่ เท่าเดียว
แต่โลกนี้ไม่ได้ทำงานเหมือนเกม เพราะ ” ความห่าง” แม้เพียงเล็กน้อย ศัตรูก็เหนือกว่าเราในทุกด้านได้เลยทีเดียว
พอเข้าใจอย่างนี้แล้ว นั่นจึงทำให้ไม่มีทางเลยหากเขาจะลงไปชั้นถัดไปได้ ในขณะที่ตัวเองมีระดับพลังต่ำขนาดนี้
แล้วจะทำยังไงดีล่ะหากมันจะอันตรายขนาดนี้ ทำไมเอมะไม่ไปทำงานเป็นพนักงานอยู่ข้างนอกให้ปลอดภัยเเทนล่ะ
แน่นอน มันเป็นสิ่งที่เอมะเคยทำในอดีตมันเป็นงานที่ปลอดภัย มาพร้อมค่าจ้างที่สมน้ำสมเนื้อ ไม่ต้องเสี่ยงอันตราย
แต่!! โลกนั้นเปลี่ยนไปแล้วหลังจากที่โลกได้หลอมรวมกับอีกมิติหนึ่งมันก็ทำให้เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างถึงที่สุด บ้านรถอุปกรณ์บริการต่างๆราคาขึ้นทั้งหมด
ธุรกิจที่เกี่ยวกับดันเจี้ยนได้รับความนิยม ธุรกิจอื่นอยู่ได้แต่ก็ต้องปรับตัวอย่างหนัก
เทคโนโลยีมันเริ่มทำให้คนตกงานผู้คนเริ่มผันตัวมาเป็นนักผจญภัย เเละ คนมากมายก็ตายไปในดันเจี้ยน
1 วันกี่พันคนที่ต้องตายเพื่อดิ้นรน ขับเคลื่อนโลกใบใหม่
ทุกคนรู้ความอันตรายมันมาพร้อมกับราคาที่สมน้ำสมเนื้อ สมกับความสามารถของตัวเองที่จะไขว่คว้ามาได้
เรื่องนี้มันเป็นความจริงของโลกก่อนจะมีเรื่องราวแบบนี้ซะอีก
ดังนั้นขอแค่ชิ้นเดียว….!! ชิ้นเดียวที่จะเปลี่ยนชีวิตเขา แล้วเขาจะไม่กลับมาอีกเลย
…..
เอมะปรารถนาที่จะได้เจอกับของมีค่า เขาหลีกเลี่ยงอย่างสุดความสามารถที่จะปะทะกับมอนสเตอร์ตรงๆ
แต่ไม่ทันระวังตัว..!!
เอมะก็ต้องชะงักเมื่อเขาได้พบสิ่งมีชีวิต ตัวแรก ซึ่งปรากฏต่อหน้าเขา
มันคือ “สไลม์” สิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายวุ้นกลมสีเขียวฟ้า ที่สั่นไหวด้วยความมุ่งร้าย จดจ่อมาที่ เอมะ ที่ตอนนี้ทั้งตื่นเต้นและกังวลใจ เเม้จะเจอมันมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วก็ตาม
ในมุมมองของใครหลายๆคนสไลม์—เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกประเมินไว้ต่ำสุด พวกมันตัวเล็กมีค่าพลังที่น้อยและเป็นศัตรูทั่วไปอยู่ในชั้นที่ 1
เหตุนั้นทำให้ผู้คนประมาท ที่จะป้องกันการโจมตีของมัน
โดยหารู้ไม่ว่ารูปลักษณ์ที่ดูไม่เป็นอันตราย
จะมีของเหลวภายในตัวซึ่งสามารถปล่อยกรดที่รุนแรงพอจะละลายไปถึงผิวหนังจนถึงยันกระดูกของคนธรรมดาได้ง่ายๆ
เอมะที่รู้ข้อมูลเหล่านี้เป็นอย่างดี เขาอยู่ที่นี่สองปี และไม่คิดจะลองดี ไปสู้กับมันเป็นอันขาด
ทำไมถึงคิดอย่างนั้น? ในโลกนี้ มีระดับความยากที่แตกต่างกันออกไป
และเมื่อใช้คริสตัลสแกนค่า สไลม์ตัวนี้เเล้ว ก็พบว่า
มันมีระดับพลังที่ 10 หน่วย และมีระดับความยากที่
( D rank)
ระดับความยากตาม rank คืออะไร ??
ระดับความยากตาม Rank คือ ระดับความยากที่แตกต่างกันออกไปของศัตรูตัวเดียวกันพลังเท่ากัน แต่ความยากต่างกัน โดยจัดเป็น
ซึ่งระดับเหล่านี้ก็ยังมีแยกย่อยไปเป็น + ตามหลักเมื่อพวกมันมีความพิเศษกว่า rank เดียวกัน เเต่ยังไม่ถึงระดับถัดไป
สไลม์ตัวนี้มีระดับที่ (A+) ซึ่งถือว่าเกินตัวไปมากถ้าจะสู้กับมัน
เพราะตามปกติแล้ว เอมะจะสู้แค่เฉพาะ หากว่ามันยังอยู่ในระดับ ( E ) ซึ่งแค่นั้นก็ทำเขาเหนื่อยเเล้ว
เพราะสิ่งที่เอมะต้องแบกรับคือระดับพลังที่มากกว่าเขา เท่าตัว กับระดับความยากที่ทำให้ศัตรูใช้ทุกอย่างที่มันมีเพื่อจะฆ่าอีกฝั่งให้ได้
” วันนี้ไม่ใช่วันที่ดีเลย” เอมะคิดในใจและค่อยๆถอยออกไปอย่างช้าที่สุด
แต่สไลม์มันไม่ได้โง่ เมื่อเห็นศัตรูกำลังถอยห่างออกไป
ตัวมันก็เริ่มโจมตีในทันที
!!
” … “
ความคิดแว้บหนึ่งของเอมะปรากฏขึ้น พร้อมใบหน้าที่สิ้นหวัง
หลบ 1 !! หลบ 2!!
สไลม์เลื้อยร่างหยืดหยุ่น พ่นกรดพิษ เข้าหา เอมะ ด้วยความเร็วที่น่าสะพรึง จนเกือบหลอมเข้ากับเสื้อผ้าของเอมะ!!
สัญชาตญาณของ เอมะ เเตะเข้ามาเฉียบพลัน เขาใช้ความสามารถสุดขีดหลบหลีกกรดนั้น และโต้กลับด้วย ดาบไม้ข้างตัว ที่ถูกนำออกมาฉับพลันเมื่อการต่อสู้ได้บังเกิดขึ้น
ดาบของเขาแกว่งไปมาอย่างแม่นยำ การโจมตีแต่ละครั้งได้รับแรงกระตุ้นจากความมุ่งมั่น และความกระหายในการเอาชีวิตรอด คงใช้ทุกอย่างแล้วเขาใส่เต็มที่ในทุกครั้งที่โจมตี
แต่ว่า…
มันก็แค่ความคิดของคนคนหนึ่งที่กำลังจะตาย
จากสไลม์ที่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆเลย
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด ความเข้มข้น ผลักดันเอมะให้เกินขีดจำกัด ของระดับพลัง
และในที่สุด!!
การโจมตีของเอมะก็เข้าผิวหนังของ สไลม์เข้าเป็นครั้งแรก
เอมะดีใจละเลอในความสำเร็จเขา
ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย
เอมะ ใช้โอกาสนี้ ใส่สุดแรง
มือสองข้างของเขา กำดาบไม้แน่น หวังตัดขั้วพลังในตัวสไลม์ให้ดับภายในฉับเดียว
!! เเต่
เจ้าสไลม์นั้นรู้ทัน
กรดของสไลม์ไม่หยุดหย่อน มันปล่อยเมือกสีเขียว ที่เปรียบเสมือนเลือดของมัน ใส่เข้ากระเด็นกัดกินชุดเกราะของ เอมะ ลามจน ทิ้งรอยร้อนไหม้บนผิวหนังของเขา
คล้ายแผลเป็น
หลังจากนั้นสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป
แม้ว่าจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่ เอมะ ก็โดนโจมตีเข้าหลายครั้ง จนทำให้เสื้อผ้าของเขาขาดหลุดลุ่ย พร้อมกับผิวหนังที่ถูกแผดเผาเป็นรอยไหม้ที่ปรากฏทั่วร่าง
ใน ขณะที่การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป เอมะก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่สะสม
เขาปวดร้าวตามร่างกาย หายใจหอบถี่ พร้อมกับเหงื่อที่ไหลท่วมร่างผสมกับเลือดของตัวเขาเอง พี่ก็กระเด็นกระดอนติดอยู่ตามผนังพื้น ไม่ต่างจากฉากฆาตกรรม
ตอนนี้เอมะเหนื่อยมาก จากการต่อสู้ที่กินเวลายืดยาวจนจำเวลาแทบไม่ได้
ในขณะที่การต่อสู้ยังคงมีต่อไปจิตใจของเขาก็เริ่มอ่อนแอจากอีกด้านที่เริ่มท้อถอย
สิ่งเดียวที่ยังคงขับเคลื่อนให้สมองของเขายังใช้ดาบกวัดแกว่งโต้กับในทุกการโจมตีของสไลม์…
มันคือความมุ่งมั่นของตัวเขาเองที่ตอนนี้เริ่มจะริบหรี่ลงไปเรื่อยๆแล้ว
” หนีดีไหมนะ ” เอมะคิดในใจแบบเหม่อลอย เพราะความจริงมันควรจะเป็นอย่างนั้น
เเต่มาถึงขั้นนี้แล้ว อีโก้ของเขาก็บดบังเกินกว่าจะยอมรับความจริงที่ว่าตนกำลังจะแพ้ ในการต่อสู้ที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีเป็นเดิมพัน
และด้วยเหตุผลนั่นเอง เหตุการณ์พลิกผันที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น…
ในการปะทะกันครั้งถัดไปเอมะที่เหนื่อยล้า จู่ๆก็ใช้มือซ้ายจับดาบเพียงข้างเดียวจากที่เคยจับ 2 ข้าง
และนั่นเองก็เปิดช่องว่างให้ สไลม์ที่เข้ามาในวิถีเช่นเดียวกัน ตัดสินใจเข้าปะทะกับดาบสุดแรง
แรงดาบจากมือข้างเดียวของเอมะไม่พอที่จะต้าน
นั่นทำให้ดาบไม้ของเอมะ
ถูกทำลาย ไปพร้อมกับ เเขนซ้าย ที่ถูกชนด้วยผ่าน แรงกระแทกอัน มหาศาล จนทำให้กระดูกเเขนซ้ายของ เอมะ หักผิดรูป
ชิ้นส่วนกระดูกของเอมะโผล่ออกมาจากแขนซ้าย
สิ่งนี้ สร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เอมะส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว ขณะที่เขาเดินโซเซก้าวถอยหลัง ทิ้งดาบไม้ หักไว้กับพื้น และคว้าแขนซ้ายที่บาดเจ็บไว้ประคบหวังลดความเจ็บปวด
ในขณะที่สไลม์ก็ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาหา เอมะที่พยายามควานหา น้ำยารักษาอย่างลุกลี้ลุกลน เขาตื่นตระหนกมือไม้สั่น มือขวาคว้านหาของในกระเป๋า
แต่มันไม่มีเลย ….
ความจริงนั้นทำให้เขา ยิ่งเจ็บปวด เหมือนไฟที่แผดเผาและกำลังกลืนกินเขาอยู่ในทุกเสี้ยววินาที
ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมานนั้น จิตใจของ เอมะ ก็วิ่งพล่านไปไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ภายในใจของเขา เขาเริ่มโทษทุกอย่างที่มีเข้ามาในชีวิต
: โทษความโชคร้ายในวันนี้
: โทษระบบที่ทำให้เขา อ่อนแอเเบบนี้
เพราะไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ เขาก็ไม่สามารถไปไกลได้มากกว่านี้เลย
ไม่ว่าจะฝึกเพียงใดจะทุ่มเทขนาดไหนมันก็ช่างไร้ความหมายเหลือเกิน
เขาตระหนักอีกครั้งถึงความชัดเจนอันโหดร้าย ในข้อจำกัดของตัวเอง การตระหนักรู้นั้นกระทบเขาราวกับสายฟ้า—เขาอ่อนแอ อ่อนแอ และห่างไกลจากนักผจญภัยที่ทรงพลังที่เขาใฝ่ฝันจะเป็น
ขณะที่ความกลัวและความสงสัยครอบงำจิตใจของเขา
” ไม่ใช่เพราะจะซื้อบ้านหรอกเหรอ ”
จู่ๆคำพูดที่สาบสูญไปนานก็ดังขึ้นภายในหัวของเขาที่กำลังขุ่นมัว
” ตกลงแล้วเหตุผลที่เป็นนักผจญภัย มันเพื่อเกียรติยศเหรอ”
คำพูดนั้นจุดประกายความทรงจำในอดีตของเอมะขึ้นมา เป็นภาพที่เขาไม่มีวันลืมเลือนไป
เมื่อหลายปีก่อน หลังจากที่โลกได้หลอมรวมกับอีกมิติหนึ่งมาสักพัก ทุกอย่างในโลกก็เริ่มเปลี่ยนไป ผู้คนทั่วโลก เริ่มให้ความสนใจที่ในดันเจี้ยนเนื่องจากเป็นแหล่งเงินตราที่หาได้ง่าย
เอมะในตอนนั้นยังเด็ก เเละเขาอาศัยอยู่กับแม่สองคนในห้องเช่าเล็กๆ เท่ารูหนู ที่ก็มาพร้อมกับ
หนี้ก้อนใหญ่ จากพ่อที่ก็จากไปเเละทิ้งภาระเอาไว้ ให้ทั้งคู่แบกรับ
นั่นทำให้ชีวิตของทั้งคู่นั้นไม่ราบรื่นมากนัก
ไหนจะค่าใช้จ่ายส่วนตัวค่าเช่าค่าเรียน ซ้ำยังมีค่ารักษา ของแม่เอมะ ที่ก็ป่วยเป็นโรคที่ใช้ค่ารักษาสูงลิ่ว สารพัดปัญหา ถาโถมมาที่เธอจนบางทีก็คิดท้อถอย
แต่เธอก็ยังกัดฟัน ทำงานหาเลี้ยงเอมะ พร้อมกับค่อยๆทยอยจ่ายหนี้และค่ารักษาไปอย่างละนิด เพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งจะหลุดพ้นจากกรรมนี้และได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขเสียที
เรียกได้ว่า ชีวิตในช่วงนั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก แม่ของเอมะทำงานอย่างหนักในทุกๆวัน
และหากจะมีอะไรที่ เอมะสามารถทำได้แล้วละก็ มันก็คงเป็นการช่วยแม่ทำงานบางส่วน แบ่งเบาภาระบางอย่างที่จะไม่ทำให้เธอเหนื่อยไปมากกว่านี้
จากวันนั้น เอมะเริ่มทำอาหารล้างจานทำความสะอาดห้อง ทำอะไรก็ได้ที่เมื่อแม่กลับมาจากบ้าน จะทำให้เธอเหนื่อยน้อยลง
แล้วมันก็ใช่จริงๆ จากวันที่เคยต้องทำหลายๆอย่างพร้อมกันเป็นทุกอย่างให้ลูก
ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว เพราะเอมะ สามารถทำทุกอย่างได้เองโดยไม่ต้องมีแม่มาคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา
มันคงเป็นไปได้ด้วยดีหากมันดำเนินแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
แต่โรคภัยนั้น ช่างไม่รู้เวลา อยู่ๆมันอยากมามันก็มา
เริ่มจากเล็กน้อย จน ติดขัด และลามกลายเป็นปัญหาในการทำงาน สุดท้ายเธอก็โดนไล่ออก
และแล้วชีวิตก็กลับมาย่ำแย่อีกครั้ง
ในเมื่อหนี้ยังเหลือค้างเเละค่าเช่าห้องยังต้องจ่าย
ืิ ในแต่ละวันเอมะรู้… แม่นั้นโศกเศร้าเพียงใด กับโรคที่ต้องสู้เเละหนี้ที่ต้องจ่าย
ตอนนี้แม่ของเขาไม่มีความสุขเลย ไม่มีรอยยิ้มมีแต่ความเฉยเมยเป็นตัวตนที่ไร้ซึ่งความรู้สึกแห่งชีวิตชีวา
เอมะ ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เอมะก็พูด กับแม่ของเขาอย่างจริงจัง
เขาจะกำจัดทุกอย่างที่เหนี่ยวรั้งความสุขของแม่ออกไป .พวกเราจะมีบ้านที่เป็นของตัวเอง เป็น สถานที่ซึ่งมีเฉพาะ ผมกับเเม่สองคน
ผมหวังว่ามันจะทำให้ความวุ่นวายรอบตัวแม่นี้จบลงได้นะ….
เขาพูดจบ เเละเข้าไปโอบกอดแม่ของเขาที่ตอนนี้ดวงตามีแต่ความมืดมน
เธอรู้ดีมันเป็นคำพูดของเด็ก
เพราะเสียงของเอมะเด็กมาก…เด็กมากเกินกว่าจะเชื่อได้ว่าเขาจะทำจริงๆ หรือเป็นเพียงคำพูดปลอบใจ
แต่แล้วเอมะ ก็ลงมือทำจริงๆ… เอมะไม่ได้นิ่งดูดาย หรือปล่อยให้คำพูดเป็นเพียงน้ำไหลผ่าน แม้จะยังเด็ก แต่เอมะก็ลงมือทำงานแทนแม่ของเขาทุกอย่าง งานไหนที่ได้เงินเขารับทำหมด เพื่อให้พอกับค่าใช้จ่ายเเละค่ารักษาที่มีแต่จะมากขึ้นเรื่อย
แล้วเมื่อชีวิตกำลังฟื้นตัวเอมะก็เริ่มแผนถัดไป
ในตอนนั้นเองเอมะก็ได้รู้ว่า ราคาบ้าน 1 หลังมันแพงเพียงใด
เมื่อเทียบกันแล้ว งานที่ทำอยู่รายได้ยังไม่พอ แม้แต่จะผ่อน ด้วยซ้ำ
เขาจะทำยังไงกับสัญญาที่ให้แม่เขาไปแล้ว…เอมะร้อนใจ
เเต่แล้วเขาก็ได้พบหนทางที่เร็วที่สุด สิ่งนั้นคือ “การลงเป็นนักผจญภัย เพื่อหาสมบัติภายในดันเจี้ยน”
นักผจญภัยในดันเจี้ยนคืออะไร
นักผจญภัยมักจะผจญภัยเข้าไปในดันเจี้ยนโดยมีเป้าหมายหลักในการสะสมความมั่งคั่ง พวกเขามองว่าดันเจี้ยนเป็นโอกาสในการได้รับสมบัติล้ำค่า สิ่งของหายาก และทรัพยากรล้ำค่าที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินก้อนใหญ่ได้ เสน่ห์แห่งผลประโยชน์ทางการเงินผลักดันพวกเขาให้พบกับสัตว์ประหลาดอันตรายกลายเป็นผู้กล้าหาญ ไขปริศนาที่ซับซ้อน และเอาชนะอุปสรรคอันอันตรายเพื่อค้นหาความมั่งคั่ง
มันอาจเป็นสถานที่อันตราย แต่มันก็เป็นหนทางสู่ความเจริญรุ่งเรืองทางการเงินและความมั่นคงในโลกที่เงินสามารถเปิดประตูสู่ชีวิตที่ดีขึ้นได้เช่นกัน
และด้วยกระเเส การออกสำรวจดันเจี้ยนที่มาในตอนนั้นมันมันเป็นที่น่าสนใจมาก เพราะที่ว่ากันว่า เเค่ลงครั้งเดียวก็อาจกลายเป็นเศรษฐีมีพอจะซื้อได้ทุกอย่าง มันเป็นคำโฆษณาชวนเชื่อให้ผู้คนที่มีความหวังลงไปในที่อันตรายแห่งนั้นอย่างมหาศาล
เอมะเองก็เห็นควรที่จะไปในหนทางนี้เช่นกัน มันคือทางลัดของเขาที่จะได้ทำตามความฝันให้เร็วที่สุด เเต่ด้วยอายุที่ยังไม่ถึงเกณฑ์ เอมะจึงอุทิศตนให้กับการฝึกฝนอย่างเข้มงวด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันที่เขาจะโตพอที่จะเข้าไปในดันเจี้ยน วันเวลาของเขาเต็มไปด้วยการออกกำลังกายอันทรหด ฝึกฝนความแข็งแกร่งทางร่างกาย ความคล่องตัว และทักษะการต่อสู้ ผลักดันตัวเองให้ถึงขีดจำกัดเพื่อสร้างความอดทนและความแข็งแกร่ง
ไม่ใช่แค่ร่างกาย รูปแบบการฝึกฝนของเขาขยายออกไปมากกว่าความสามารถทางกายภาพ เอมะศึกษาจริงจัง เกี่ยวกับตำราโบราณและเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตและอันตรายที่แฝงตัวอยู่ในดันเจี้ยน เขาฝึกฝนกลยุทธ์และยุทธวิธี จินตนาการว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม และวางแผนการเคลื่อนไหวอย่างแม่นยำ
แม้ว่าเขาจะฝึกฝนอย่างหนัก แต่เอมะก็ยังไม่ละทิ้งการทำงานเพื่อเลี้ยงดูแม่ของเขา เขารับงานหลากหลาย ตั้งแต่งานแปลก ๆ ในหมู่บ้านไปจนถึงงานที่มีความต้องการมากขึ้นในเมืองใกล้เคียง ทุกเหรียญที่เขาได้รับจะนำไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลของแม่ เพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะได้รับการดูแลตามที่เธอต้องการ
เเละเเล้ว…วันที่เขาได้กลายเป็นนักผจญภัยก็มาถึง….
เอมะ ที่เตรียมพร้อมฝึกฝนทุกอย่างเป็นอย่างดี เขาเชื่อมั่นและรู้สึกถึงความมั่นใจที่หลั่งไหลเข้ามาในตัวเขาอย่างมหาศาล
ทักษะและความรู้ที่มี จะต้องเป็นตัวนำพาเขาไปสู่ความสำเร็จได้อย่างเเน่นอน…. ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความหวังและความฝันถึงชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับตัวเขาเองและแม่ของเขา
วันนี้เขาจะก้าวเข้าสู่ส่วนลึกของดันเจี้ยนที่ไม่มีใครรู้จัก
เเละ นำพาสมบัติล้ำค่า พร้อม ความยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์ มาให้แม่เขาชื่นชม
มันควรจะเป็นอย่างนั้น…
แต่ภายในความเป็นจริงเเล้ว….มันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน
เมื่อได้สัมผัสกับดันเจี้ยนครั้งแรก เอมะก็ได้รู้ว่า ภายในดันเจี้ยนนั้นไร้ซึ่งความปราณี
มันไม่รอให้อะไรมาเตรียมการเพื่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ มันมีแต่จะ
โยนบททดสอบที่ยากขึ้น ในทุกครั้ง ที่เอมะเจาะลึกลงไป.. ลึกไปเรื่อยๆ จนถึงแก่นแท้ที่มันจะไม่สามารถหาได้ที่ไหน นอกเสียจาก ประสบการณ์และ สภาพความเป็นจริงตรงหน้า
สิ่งเหล่านี้มีแต่จะ เพิ่มคูณไปเรื่อยๆจนกว่าขีดจำกัดความอดทนจะ เปลี่ยนกลายเป็นความสะพรึงกลัว ในทุกย่างก้าว ที่ออกสำรวจ
ณ บางสิ่งที่ซุ่มซ่อนอยู่ในเงามืด…ที่เราก็มองไม่เห็น
สัมผัสถึงความเป็นจริงในความแข็งแกร่งของพวกมัน
ที่เกินความคาดหมายทุกอย่างที่เขาวางไว้ เทียบได้ ราวฟ้ากับเหว
ความมั่นใจที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเชื้อเพลิงในการเดินทางของเขาเปลี่ยนไป ถูกแทนที่ด้วยความไม่แน่นอนและความกลัว เขาตระหนักด้วยหัวใจที่จมดิ่งว่าเขาไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่เขาเชื่อ ความเป็นจริงของข้อจำกัดของเขากระทบเขาอย่างหนัก ทำลายภาพลวงตาของความมั่งคั่งและความสำเร็จที่วาดไว้
แม้ว่าจะผิดหวังอย่างหนัก แต่เอมะก็ไม่สามารถพาตัวเองไปยอมรับจุดอ่อนของตนได้
โดยเฉพาะกับแม่ของเขา เขาทนไม่ได้ที่จะเห็นเธอกังวลหรือสิ้นหวัง ดังนั้นเขาจึงวาดภาพการผจญภัยของเขาซึ่งแต่งขึ้นด้วยคำลวงโลก
เขาเล่าถึงความฝันที่ใกล้เข้ามา แต่งเรื่องโกหกถึงความร่ำรวย ในสมบัติที่เขาค้นพบ และอีกไม่นาน มันจะสามารถพาบ้านในฝันที่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมมาสู่อ้อมกอดของแม่ได้แล้ว
กี่วันต่อกี่วันเขาเล่ามันให้แม่เขาฟัง ในขณะที่ตอนนี้ อาการป่วยของแม่ก็หนักมากขึ้นทุกที จนต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
ถึงกันนั้น เธอก็ยังคอยฟังเรื่องราวของเขาอย่างกระตือรือร้น ตลอดเวลาที่เอมะเข้ามาหา ดวงตาของเธอก็จะเปล่งประกายด้วยความสุข ในช่วงเวลานี้ ขณะท่ามกลางความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาน ที่เธอต้องเผชิญ
ไม่ว่าจะมาด้วยเหตุผลใดก็ตาม เธอจะคอยแสดงความ ยินดี ในความสำเร็จของตัวลูกชายเธอ เเละเธอจะภาคภูมิใจในตัวเขาอยู่เสมอ
รวมถึงความตื่นเต้น เกี่ยวกับอนาคตที่กำลังใกล้เข้ามา ถึงการที่เธอ จะมีบ้านเป็นของตัวเองและลูกชาย
สิ่งนี้มันทำให้เอมมะยิ่งลำบากใจ เขาอาจจะยิ้มใหญ่ ที่แม่เองกำลังตั้งตารอสิ่งนี้ อย่างมีความหวังเต็มเปี่ยม
แต่ลึกๆ แล้ว เอมะรู้ว่าเขากำลังโกหก เเต่เขาก็ทนไม่ได้กับความคิดที่จะทำให้แม่ของเขาผิดหวัง มันคงเป็นการทำลายความหวังและความฝันของเธอด้วยความจริงที่ควรเปิดเผย
แต่แล้ว วันหนึ่งเมื่อไม่สามารถแบกรับมันต่อไปได้ เอมะก็ร้องไห้ไม่ต่างจากเด็กอยู่ข้างเตียงแม่… เขาสารภาพทุกอย่าง ทั้งการต่อสู้ดิ้นรน ความล้มเหลว และการโกหกที่ทำมาตลอด
เขาวิงวอนขอโทษเเม่ ร้องไห้ไม่หยุดกับคำสัญญาที่ทำไม่ได้
เอมะปลดปล่อยทุกอย่างที่ติดขัดภายในใจถึงอุปสรรคที่เขากำลังพบเจอ ระบายความในใจให้เธอได้รับรู้มันทั้งหมด
แล้วเมื่อได้พูดมันออกไปหมดแล้ว
เขาก็ต้องประหลาดใจที่แม่เขากับยิ้มขาดจากโรคร้ายของเธอ
เธอค่อยๆยื่นมือไปเช็ดน้ำตาของเขา เหมือนที่เคยทำในวัยเด็กให้กับเด็กขี้แงคนนั้นที่เอาแต่ร้องไห้ขออภัยกับสิ่งที่ทำไม่ได้
” ไม่เป็นไร “
ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแอลงจากความเจ็บป่วยแต่กับเต็มไปด้วยความรักและความเห็นอกเห็นใจ ” เอมะ ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรให้เธอเห็นอีกแล้ว “
ณเวลานี้….
แค่อยู่กับแม่ก็พอ…
ในช่วงเวลาแห่งความซื่อสัตย์และความเปราะบางนั้น
เอมะ และแม่ของเขามีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ยิ่งกว่าสมบัติหรือบ้านในฝันจะประเมินค่าได้ พวกเขาพบคำปลอบใจในให้ความรักและการยอมรับซึ่งกันและกัน ยอมรับช่วงเวลาปัจจุบันและพบความสงบสุขในการเดินทางร่วมกัน ไม่ว่ามันจะยากลำบากก็ตาม
…..
เขาจะตระหนักรู้ถึงจุดอ่อนของตัวเองแล้ว
ด้วยความมุ่งมั่นครั้งใหม่และความรู้สึกแน่วแน่ที่เกิดจากความยากลำบาก อามะจึงต่อสู้ต่อไป การฟาดฟันสไลม์แต่ละครั้งถือเป็นคำสัญญาของเขาที่หนักหนา—คำสัญญาว่าจะซื้อบ้านและใช้ชีวิตอย่างสงบสุข เป็นคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ของเขาก่อนที่เธอจะจากไป ความฝันดูห่างไกลท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของการต่อสู้ แต่มันกระตุ้นให้เกิดความมุ่งมั่นของเขาที่จะคว้าชัยชนะ ไม่ใช่แค่กับสไลม์เท่านั้น แต่ยังสู้กับอุปสรรคที่ขวางทางความฝันของเขาด้วย
ในที่สุด ด้วยการระเบิดพลังครั้งสุดท้าย Ama ก็โจมตีอย่างเด็ดขาดและเอาชนะสไลม์ได้ เขาทรุดตัวลงคุกเข่าอย่างเหนื่อยล้าและทรุดโทรม เขามองดูคริสตัลที่กระจัดกระจายอยู่รอบตัวเขา แต่ละคนเป็นสิ่งเตือนใจถึงอันตรายที่เขาเผชิญ ความท้าทายที่เขาเอาชนะ และความฝันที่เขารัก
ขณะที่อามะหายใจเข้า ความรู้สึกมุ่งมั่นก็เติมเต็มหัวใจของเขา การต่อสู้ครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางของเขา และเขาพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายใด ๆ ที่ Dungeon World เตรียมไว้ให้เขา ด้วยคริสตัลในมือและเป้าหมายของเขาชัดเจนในใจ Ama จิตวิญญาณของเขาไม่แตกสลาย และความมุ่งมั่นของเขาไม่มีวันเปลี่ยนแปลง