ตอนที่ 2 คนอะไรช่างละโมบเสียจริง

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 2 คนอะไรช่างละโมบเสียจริง

หลังจากกล่าวจบ ก็ปาดน้ำตาพร้อมกับเดินเข้ามาจับไหล่ของมั่วเชียนเสวี่ยหวังปลอบประโลม “แม้รู้จักกันได้เพียงไม่นาน กลับรู้ได้ทันทีว่าเจ้าเป็นเด็กดี จากนี้ขอให้ข้าได้เรียกเจ้าว่าน้องสาวเถิด ไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีก คิดเสียว่าพี่สาวคนนี้คือคนในครอบครัวอีกคนของเจ้าก็แล้วกัน”

ที่ผ่านมามั่วเชียนเสวี่ยเฝ้าตัดพ้อไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับเรื่องราวบ้าบอที่เกิดขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ทันคาดคิด…คือการได้พบเจออาซ้อที่แสนดีเช่นนี้ ถ้อยคำปลอบโยนของคนตรงหน้าทำให้เธออดรู้สึกผิดอย่างเสียไม่ได้

ทันใดนั้น ท่าทางและสีหน้าของอาซ้อฟางพลันผิดแปลกไป สายตาสอดส่องอย่างระแวดระวังยามมองออกไปข้างนอก จากนั้นอาซ้อฟางจึงขยับเข้ามาใกล้พลางกระซิบที่ข้างหู “ถึงอย่างไร น้องก็ต้องระวังตัวไว้! ยามนี้อาจดูเหมือนไม่มีอะไรให้ต้องกังวล แต่จากที่พี่ได้ยินหัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสได้กล่าวไว้ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความเป็นความตายของท่านผู้นั้น หากวันหนึ่งเขาไม่ฟื้นคืนมา ท้ายที่สุดพวกเขาจะส่งน้องขายเป็นทาส”

“ส่ง…ขาย…เพื่อ…เป็นทาส! อะไรกัน!” มั่วเชียนเสวี่ยตกใจกับคำพูดเมื่อสักครู่

“มันเป็นกฎมณเฑียรบาลของราชวงศ์เทียนฉี น้องไม่รู้ได้อย่างไร ข้อความถูกบัญญัติเอาไว้ชัดเจนว่าหากหญิงผู้ใดมีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนและไร้ซึ่งสถานที่อาศัยยึดมั่น ตามกฎหมายแล้วพวกนางจะถูกทางการขายให้เป็นทาสอย่างไรเล่า!”

“แต่อย่าเพิ่งกลัวไปเลย นี่เป็นเพียงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด หากสามีของน้องเป็นคนดี เชื่อสิว่าน้องจะต้องไม่เป็นอะไร”

เมื่อเห็นสีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยเริ่มดูไม่ดี อาซ้อฟางจึงต่อความเพื่อปลอบใจ “พี่เพียงอยากเตือนน้องเท่านั้น ท่านอาจารย์หนิงเป็นคนดี ตราบใดที่น้องเฝ้าเอาใจใส่และดูแลเขาไม่ขาดตกบกพร่อง ในภายภาคหน้าหากได้รับตำแหน่งขุนนางใหญ่เมื่อใด นั่นหมายความว่าน้องอาจมีศักดิ์เป็นถึงฮูหยินของขุนนางเชียวนะ”

มั่วเชียนเสวี่ยไม่เคยได้ยินเรื่องเหล่านี้มาก่อน

หลังจากที่ส่งลาอาซ้อฟาง มีคำถามมากมายถาโถมในใจ เธอหันกลับมาที่ห้องพลางมองดูชายหนุ่มที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง

ขนลุกซู่ไปทั้งตัว!

บนโลกใบนี้ สิ่งน่าขันเท่าที่เธอเคยพบเจอมาก็คงเป็น…

การโดนจับคู่ แฟนคือรักแรกพบหรืออะไรเทือกนั้น

แต่ช่างน่าแปลก เพียงเพราะอาการสำลักน้ำชาในตอนนั้น ทำให้เธอดันหายใจไม่ออกจนหมดสติ

เมื่อตื่นขึ้นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวกลับเปลี่ยนไป ทั้งม่านสีแดงใหญ่โต คานสีดำทะมึนและบ้านที่ซอมซ่อ

เรื่องราวมากมายของคนรักที่นอนป่วยอยู่บนเตียงอย่างไม่ยินดียินร้าย ทั้งเรื่องที่เธอต้องตกเป็นเครื่องมือเพื่อทำพิธีบางอย่างของคนพวกนั้น

แล้วไหนตอนนี้ยังต้องถูกขายเป็นทาสอีก!

หลังจากได้สติ นี่ก็ล่วงเลยมาสามวันแล้วที่เธอได้นอนร่วมเตียงเดียวกับเขา นับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้มองหน้าในระยะประชิดเช่นนี้

จากที่ดู ชายตรงหน้าคงอายุอานามราวยี่สิบต้นๆ เท่านั้น

แต่ด้วยพิษไข้ ทำให้ใบหน้าของเขาดูคล้ำลงเล็กน้อยแต่ก็ไม่สามารถซ่อนสีผิวขาวได้เลย ทรงคิ้วได้รูป จมูกโด่งคมสัน ริมฝีปากกระจับและมุมตาเรียวบาง ช่างสมบูรณ์แบบไปเสียทุกส่วน

เขาเป็นผู้ชายที่หล่อมาก!

จากที่ได้ฟังเรื่องเล่าของอาซ้อฟางแล้ว ดูเหมือนเขาจะอยู่ที่นี่เนื่องด้วยอาการป่วยตั้งแต่เมื่อสองสามเดือนก่อน

คิดเสียว่ามันคงเป็นชะตาฟ้าลิขิตของพวกเรา

อย่างไรเสีย เพื่อไม่ให้ต้องถูกขายเป็นทาส จงทำดีกับเขาเข้าไว้

อีกอย่าง ชายผู้นี้ก็ดูดีเลยทีเดียว

อย่างน้อยพระเจ้าก็ไม่ใจร้ายจับคู่เธอกับคนอัปลักษณ์หรือพิการให้เจ็บช้ำ

อันที่จริงในภพปัจจุบัน ครอบครัวมักบังคับให้เธอนัดดูตัวอยู่เป็นประจำ ซึ่งเธอเองก็เบื่อหน่ายกับมันมากเต็มที แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป คงต้องตามน้ำไปก่อนเพราะหากทำสำเร็จก็อาจหลุดพ้นจากวังวนแห่งการจับคู่นี้ไปก็เป็นได้

เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอยกยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี หันหน้าพลางเอ่ยกับชายที่นอนอยู่บนเตียง “ฉันสัญญาว่าจะดูแลคุณอย่างดี คุณต้องรีบตื่นขึ้นมาและหายดีในเร็ววันนะ”

เพื่อวางแผนเอาชีวิตรอด จึงจำเป็นต้องสำรวจสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่โดยรอบให้แน่ใจเสียก่อน

มั่วเชียนเสวี่ยมองไปรอบๆ ทั้งด้านหน้าและหลัง ภาพตรงหน้ากลับยิ่งทำให้เหน็บหนาวหัวใจ

บ้านหลังนี้สามารถให้คำนิยามได้เพียงสองคำเท่านั้น…

ยากจน!

บ้านทรงเตี้ย พร้อมด้วยห้องนอนที่มีเพียงเบาะแข็งๆ ปูอยู่กับพื้น

เครื่องเรือนในห้องก็ทรุดโทรมเสียหายอย่างหนัก แม้แต่โถข้าวที่ควรจะมีไว้ในครัวยังกลับไม่มี

แปลงผักหลังบ้านก็เต็มไปด้วยวัชพืชรกร้าง

โชคดีที่มีบ่อน้ำอยู่ที่ลานบ้าน เธอจึงยังพอมีน้ำสะอาดไว้ใช้

ใครจะไปอยู่ได้กัน! ไม่มีข้าวสารหยูกยาอะไรช่วยบำรุงร่างกาย สิ่งที่มีอยู่ก็มีเพียงน้ำที่ใช้นำมาต้มเพื่อเช็ดหน้าล้างตาให้เขาได้รู้สึกสบายตัวขึ้นเท่านั้น

มั่วเชียนเสวี่ยคิดในใจพลางหยิบผ้าขึ้นบรรจงไล่เช็ดตั้งแต่ช่วงตัว ศีรษะและใบหน้าตลอดจนฝ่ามือ

มือคู่นั้นดูขาวสะอาด ความอบอุ่นเล็กน้อยที่แผ่ออกมาจากมือของเขาทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากเสร็จสิ้น มั่วเชียนเสวี่ยที่เบื่อหน่ายจึงหยิบมือเรียวยาวของคนตรงหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

เธอเคยได้ยินคนพูดถึงทักษะวิชาการดูเส้นลายมือ เห็นทีในวันนี้จะขอลองใช้มันกับมือคู่นี้สักหน่อย

“ลายมือค่อนข้างซับซ้อน ดูเหมือนว่าคนคนนี้จะมีความรู้สึกที่ซับซ้อน!”

“เส้นกลางจากฝ่ามือพุ่งตรงไปที่ปลายนิ้วกลาง ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่เฉลียวฉลาดมากด้วย”

มั่วเชียนเสวี่ยพึมพำ ขณะลูบไล้ไปบนฝ่ามือเรียว

ทันใดนั้น จู่ๆ เกิดความรู้สึกราวกับกำลังถูกใครจ้องมองอยู่ ครั้นเมื่อเหลือบหันไปมองก็พบว่าดวงตาเรียวยาวคู่นั้นดันเปิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ดวงตาลึกล้ำราวกับก้นบึ้งของอุโมงค์ นัยน์ตาเย็นชาหยิ่งยโสและใบหน้าเคร่งขรึม

มั่วเชียนเสวี่ยยืดตัวสะดุ้งขึ้น ทันทีที่เห็นว่ามือของเธอยังคงจับมือของเขาอยู่จึงรีบปล่อยด้วยความเขินอาย

สายตานั่นทำให้ใบหน้าของเธอขึ้นสีเหมือนกับคนที่ทำอะไรไม่ดีแล้วถูกจับได้ ช่างเป็นบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนเสียเหลือเกิน

น่าขายหน้าจริง! ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรนี่ แค่จับมือผู้ชายคนนั้นเองไม่ใช่เหรอ ไม่ได้ล่วงเกินเลยอะไรเสียหน่อย

หลังจากแก้ต่างทางความคิดในหัว เธอกระแอมเล็กน้อยพลางเอ่ยทักอย่างเป็นกันเอง “ข้าชื่อมั่วเชียนเสวี่ย เมื่อไม่กี่วันก่อนเกิดไข้ขึ้นสูงที่ข้างลำธารบนภูเขาจึงถูกชาวบ้านพาตัวมาที่นี่ ส่วนท่านก็ป่วยหนัก ท่านผู้ใหญ่และเหล่าผู้อาวุโสจึงเห็นพ้องต้องกันว่าควรทำพิธีแต่งงานแก้เคล็ดเพื่อช่วยชีวิตท่าน”

ถ้อยคำแสนสั้นกระทัดรัด แต่กลับอธิบายสาเหตุและที่ไปที่มาได้อย่างครบถ้วนจนคนฟังจำต้องยินยอมเข้าใจ

แววตาสงสัยของชายผู้นั้นดูจางลงเล็กน้อย เขามองม่านสีแดงขนาดใหญ่ข้างเตียงพลางขมวดคิ้ว จากนั้นดวงตาของเขาก็พลันฉายแววรำคาญออกมา

มั่วเชียนเสวี่ยมองเขาอย่างไม่ชอบใจ ดูเหมือนจะมีร่องรอยของการดูถูกบนใบหน้าที่เย็นชานั่น “ข้าเป็นผู้หญิงที่ได้รับการสุ่มเลือกและหากจะมีใครที่ผิดก็คงเป็นท่าน! หากไม่พอใจกับการแต่งงานครั้งนี้ เชิญท่านไปหาพวกเขาเพื่อขอคำอธิบายได้เลย เรื่องทุกอย่างขึ้นอยู่กับท่าน”

หลังจากฟังเสียงบ่นของมั่วเชียนเสวี่ย ชายผู้นั้นเหลือบมองนางเล็กน้อยพลางขมวดคิ้วอีกครั้ง ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยสิ่งใด จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าครึกโครมมาจากข้างนอก

นอกลานบ้าน เสียงของอาซ้อฟางพลันดังขึ้น

“หนิงเหนียงจื่อ[1] หัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสเดินทางมาหาท่านอาจารย์หนิง ท่านอาจารย์ฟื้นหรือยัง”

มั่วเชียนเสวี่ยเหลือบตามองชายที่อยู่บนเตียง จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับกล่าวต้อนรับแขกผู้มาเยือน

“ยินดีที่ได้พบท่านหัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าท่านผู้อาวุโส เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พวกท่านมาเยือน ท่านอาจารย์หนิงเพิ่งฟื้นเจ้าค่ะ” มั่วเชียนเสวี่ยเปิดประตูพลางเอ่ยตอบรับด้วยความเคารพนอบน้อม

คำพูดเหล่านั้นถูกส่งไปถึงคนที่อยู่ข้างหลังนาง ในยามนี้นางยังไม่รู้สถานการณ์ตื้นลึกหนาบางอะไร ดังนั้นหากทำใจให้สบายก่อนคงจะเป็นผลดี

ชายวัยกลางคนและชายชราอีกสี่ห้าคนต่างรู้สึกปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ยินว่าเขาตื่นอยู่

ทุกคนพยักหน้าไปทางมั่วเชียนเสวี่ยเชิงตอบรับพลางเดินเข้าไปข้างใน

จากนั้นมั่งเชียนเสวี่ยจึงรีบตามเข้าไป คอยจัดแจงที่นั่งและยืนรออยู่ข้างๆ อย่างรู้งาน

ครั้นผู้มาเยือนเห็นท่าทีคล่องแคล่วและรู้จักสัมมาคารวะของนาง ใบหน้าของพวกเขาก็ยกยิ้มอย่างพึงพอใจ

ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มที่อยู่บนเตียงก็ยิ้มรับและกล่าวขอบคุณในน้ำใจแก่พวกเขา

เสียงของเขาหนักแน่นและอ่อนโยน ทั้งยังสุภาพเช่นเดียวกับอารมณ์และรูปลักษณ์ของเขา ทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวดูงดงามจนเผลอละสายตาไม่ได้

[1] เหนียงจื่อ คำเรียกหญิงที่เพิ่งแต่งงาน ส่วนใหญ่จะเรียกคนที่อายุยังน้อย มักจะเรียกแซ่ของสามีก่อนตามด้วยคำว่าเหนียงจื่อ