ตอนที่ 3 พิชิตกระเพาะก่อนพิชิตใจ
เอ่ยทักทายกันอีกสองสามคำ จากนั้นก็พูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับหมู่บ้าน
เมื่อเห็นว่าชายที่นอนอยู่ดูยังไม่แข็งแรงนัก ท่านหัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสจึงกลับเข้าเรื่องแล้วเอ่ยต่อ “หนิงเหนียงจื่อ ตอนนี้พวกเจ้าทั้งคู่ก็ถือว่าเป็นครอบครัวร่วมเรือนเดียวกันแล้ว จากนี้ไปขอให้จงช่วยกันดูแลครอบครัว พวกข้าได้พูดคุยและหารือกันว่าคงเป็นการดีหากจะให้บ้านของเด็กนักเรียนแต่ละคนส่งมอบเนื้อเค็มตากแห้งเพื่อเป็นค่าเล่าเรียนทางการศึกษา”
ด้วยความประสงค์ของหนิงเซ่าชิงที่ไม่เคยต้องการค่าตอบแทนใดๆ จากหมู่บ้านนี้ เพียงเพราะต้องการตอบแทนพระคุณที่เคยช่วยชีวิตเขาไว้
หากแต่คำพูดนั้นกะทันหันเกินไป เขานิ่งไปครู่หนึ่งพลางขบคิดหาทางปฏิเสธด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ไม่ทันได้เอ่ยปาก มั่วเชียนเสวี่ยพลันก้าวรุดไปข้างหน้า “จากนี้ไปข้าจะปฏิบัติหน้าที่แทนท่านอาจารย์หนิงของพวกเราและต้องขอขอบคุณสำหรับความเมตตาของพวกท่าน ที่ท่านพูดมาถูกต้องทุกประการ แต่ข้าคิดว่าเราควรคำนึงถึงเรื่องปากท้องร่วมด้วยเจ้าค่ะ”
หนิงเซ่าชิงที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ครั้นได้ยินสิ่งที่นางพูด อกของเขาก็แทบจะระเบิด
สตรีผู้นี้ พวกเขาไปพานางมาจากที่ใดกัน เห็นแก่เงินได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ แล้วเหตุใดนางจึงต้องเป็นตัวแทนของเขาด้วยเล่า!
ไร้ซึ่งคำโต้แย้งจากหนิงเซ่าชิง ท่านหัวหน้าหมู่บ้านยามเห็นท่าทีนิ่งเงียบ จึงคิดไปว่านั่นคงเป็นความประสงค์ของเขาโดยแท้จริง
“ตกลง รวบรวมเงินจากทุกบ้านแล้วได้สองร้อยอีแปะ รวมถึงการมอบเนื้อเค็มตากแห้งเพื่อเป็นค่าเล่าเรียนทางการศึกษาในปีนี้เพื่อมอบให้แก่ท่านอาจารย์หนิงทั้งหมด”
มั่วเชียนเสวี่ยไม่รู้ว่าเงินจำนวนสองร้อยอีแปะนี้จะสามารถนำมาซื้ออะไรได้บ้าง แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย นางกล่าวขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้าอาจทำให้พวกท่านต้องลำบากใจไปบ้าง ในฐานะภรรยา ข้าต้องขอขอบคุณทุกท่านที่คอยดูแลท่านอาจารย์หนิงเป็นอย่างดีเสมอมา”
เมื่อหนิงเซ่าชิงฟื้นตัวขึ้นได้เมื่อใด เรื่องนี้ก็จะคลี่คลายลงและเขาจะต้องขอบคุณนาง!
ทันทีที่ทุกคนจากไป หนิงเซ่าชิงตบโต๊ะฉาดใหญ่พร้อมกับตะโกนเสียงเย็น “เจ้ากล้าดีอย่างไร ใครสั่งให้เจ้าทำหน้าที่นั้นกัน!”
เดิมที มั่วเชียนเสวี่ยต้องการคุยเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นของพวกเขา ครั้นเมื่อเห็นท่าทีไม่สู้ดีนักของอีกฝ่ายที่อาเจียนออกมาเป็นเลือด นางก็หยุดความคิดนั้นลง
จากนั้นจึงทรุดตัวนั่งลงบนที่นั่งของท่านหัวหน้าหมู่บ้านเมื่อสักครู่พลางตอบกลับ “ตราบใดที่ท่านยังไม่หย่ากับข้า ข้ามีฐานะภรรยาในนามเหตุใดจึงจะทำเช่นนั้นไม่ได้ บ้านหลังนี้แทบไม่เหลืออะไรแล้ว หากไม่น้อมรับไว้มีหวังท่านกับข้าได้อดตายแน่”
สิ้นคำพูดของนาง ใบหน้าหนิงเซ่าชิงพลันตะลึงงันจนแทบสำลัก
สตรีที่เขาเคยพบเจอมา ล้วนแล้วแต่มีกิริยาอ่อนโยน มากด้วยน้ำใจและสำรวมทั้งสิ้น
ขอเพียงแค่สีหน้าเขาเปลี่ยน ใครต่อใครก็ต้องเกรงกลัวจนแทบไม่กล้าขยับแม้แต่ปลายนิ้ว
ผิดกับคนตรงหน้า ทั้งกิริยาหยาบคาย มิหนำซ้ำยังต่อต้านวางท่ากับเขาผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสตรีเช่นนี้
แน่นอนว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่อาจเพิกเฉยต่อความโกรธและใบหน้าไม่พอใจของเขาได้ “หากท่านต้องการจะหย่าหรือล้มเลิกเรื่องทั้งหมด ก็ลืมไปได้เลย ตราบใดที่ในวันนี้ข้ายังขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของท่าน ฉะนั้นข้าก็ถือว่ามีสิทธิ์ในบ้านหลังนี้เช่นกัน”
“เจ้า! เจ้ากล้ามาก กล้าย้อนข้าที่เป็นสามีได้อย่างไร นี่เจ้า เจ้า…”
สามี? ต้องให้นางรับว่าเขาเป็นสามีก่อน เขาจึงจะเป็นได้ หากนางไม่รับล่ะก็ เขาไม่มีทางได้เป็นแม้แต่ฝาชี!
เพียงแต่ในตอนนี้มั่วเชียนเสวี่ยยังคงต้องอาศัยพึ่งพิงใบบุญของเขาในฐานะสามีชั่วคราว ทั้งอยากให้ตัวเองได้มีโอกาสแต่งงานในแบบยุคสมัยอื่นๆ ดูบ้าง
ดังนั้น ต้องพยายามญาติดีกับเขาเข้าไว้
หนิงเซ่าชิงนึกอยากบีบคอตนเองให้ตายเสียตรงนั้น ไม่อาจอดกลั้นโทสะได้อีกต่อไป
ในตอนแรก เขาคิดมาตลอดว่าการได้เป็นลูกชาย ภายภาคหน้าหากได้ขึ้นเป็นหัวหน้าของตระกูลคงเป็นภาพที่สวยงามยิ่งนัก!
ไฉนในเวลาไม่ถึงปี เขากลับต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
อีกทั้งคนทรยศกลับกลายเป็นมารดาและน้องชายที่แสนดีของเขาอีก ราวกับความไว้ใจที่เคยมอบให้ บัดนี้ได้ถูกย่ำยีจนหมดสิ้นแล้ว
ทำไม เพราะเหตุใดกัน…
เกลียด! เกลียดที่สุด!
“ใครย้อนท่านกัน คงไม่มีผู้ใดกล้าขัดหากท่านต้องการเพียงเนื้อพวกนั้นเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการสอนสั่ง ลองคิดดูว่าความหน้าใหญ่จะทำให้ท่านอิ่มท้องได้จริงหรือ”
มั่วเชียนเสวี่ยเตรียมคำพูดมากมายเพื่อรอการโต้แย้งจากเขา แต่เมื่อหันมองกลับพบใบหน้าขาวซีดกำลังจ้องถมึงอยู่
ดวงตาคมกริบราวกับดาบที่พร้อมทิ่มแทง นัยน์ตาคู่นั้น…ความเกลียดชังอย่างนั้นหรือ ไม่สิ มันคือความเศร้าโศกต่างหาก
มั่วเชียนเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะหดตัวพลางรู้สึกผิดในใจ
ในยุคสมัยนี้ สามีถือเป็นใหญ่เสมอ
ทั้งนี้ ปัญญาชนผู้นั้นยังคงวางมาดอวดรู้จนน่าหมั่นไส้ ถึงแม้จะเห็นด้วยแต่เขายังไม่อาจทนยอมรับความคิดที่ตีกันในหัวของตนเองได้ชั่วครู่ จนหลงลืมไปว่าอุดมการณ์ที่ยึดมั่นอย่างแรงกล้าก็สามารถถูกทำให้สั่นคลอนได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ขืนปล่อยให้เขาโมโหต่อไปเช่นนี้คงไม่ดีแน่ จู่ๆ เกิดคิดขายภรรยาไปเป็นทาสจะทำอย่างไร!
มั่วเชียนเสวี่ยในยุคปัจจุบันเคยทำงานที่ห้างสรรพสินค้ามาหลายปี คุ้นชินกับสถานการณเช่นนี้ดีนัก การตามน้ำไปเพื่อให้เรื่องมันจบคงเป็นหนทางที่ดีกว่า
คิดได้เช่นนั้น แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่มั่วเชียนเสวี่ยก็ตัดสินใจยืนขึ้นพลางเอ่ยยอมรับผิดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าขอโทษ เมื่อสักครู่ข้าใจร้อนไปหน่อย อย่างไรข้าก็เป็นสตรี การมีคนคอยเอาอาหารมาให้ทุกวันอาจกลายเป็นที่ครหาได้ว่าเอาแต่สบายไปวันๆ โดยไม่ได้ทำประโยชน์อันใดเลย ดังนั้นจึงเกรงว่าจะทำให้ชื่อเสียงของท่านพลอยเสื่อมเสียไปด้วย ความผิดในครั้งนี้เป็นเพราะข้าเองที่ประมาท ครั้งต่อไปข้าจะหารือกับท่านก่อนจะทำการอันใดก็แล้วกัน”
คำขอโทษของมั่วเชียนเสวี่ยส่งไปถึงหนิงเซ่าชิงที่นิ่งเงียบได้สำเร็จ
เมื่อเขาฟังคำอธิบายของนาง พลันคิดไตร่ตรอง สิ่งที่มั่วเชียนเสวี่ยพูดนั้นถูกต้องทุกประการ ยามนี้เขาแต่งงานและมีภรรยาแล้ว หากยังคงปล่อยให้อาซ้อที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงคอยรับส่งอาหารให้ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่สมควร
การแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป เขาจึงไม่ได้เตรียมตัวอย่างเหมาะสม
แม้ว่าสตรีผู้นี้จะอารมณ์ฉุนเฉียวและไร้มารยาทไปเสียหน่อย แต่กลับมีไหวพริบดี รู้วิธีหลบหลีกและรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าได้เป็นอย่างดี
หลังจากความเงียบที่น่าอึดอัดใจ หนิงเซ่าชิงจึงถอนหายใจพลางพูดขึ้นอย่างใจเย็น “ช่างเถอะ คิดเสียว่าเป็นบทเรียนก็แล้วกัน”
เสียงอ่อนโยนราวกับเสียงเครื่องสายที่ถูกบรรเลงอย่างไพเราะ
“ข้าแซ่หนิง มีนามว่าเซ่าชิง คราวหลังเจ้าเรียกข้าแบบธรรมดาเถิด ไม่จำเป็นต้องทางการเหมือนหัวหน้าหมู่บ้านหรือชาวบ้านที่นี่หรอก”
เขาเริ่มแนะนำเรื่องส่วนตัวให้นางฟังเช่นนี้ ชี้ให้เห็นอย่างแน่ชัดว่าเขาไม่ได้โกรธเคืองหรือคิดติดใจกับเรื่องเมื่อสักครู่แล้ว เพียงเท่านั้นหัวใจที่หนักอึ้งของมั่วเชียนเสวี่ยพลันเหมือนถูกยกภูเขาออกจากอก
ใครให้เกียรติเธอ เธอก็จะให้เกียรติคนคนนั้นตอบ!
มั่วเชียนเสวี่ยทอดถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ถอยหนึ่งก้าวพลางพูดกับเขา “ก็ได้ ท่านพักผ่อนเสียเถอะ ข้าจะออกไปทำความสะอาดบ้าน หากต้องการสิ่งใดขอให้เรียกข้าได้เลย”
ทันทีที่เข้ามายังห้องครัว เสียงคนเดินเข้ามาในบ้านดังมาแต่ไกล นางจึงเอ่ยทักทายเจ้าของเสียงนั้นในทันที
อาซ้อฟางและบรรดาแม่ๆ สองสามคนเดินเข้ามาหา เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยที่เพิ่งจะหายดีจากอาการป่วยจึงพูดขึ้นอย่างลำบากใจ “เจ้าไม่สบายอยู่ เหตุใดจึงลุกขึ้นมาทำความสะอาดเช่นนี้”
นางคนหนึ่งตอบเห็นด้วย “จริงด้วย หากหนิงเหนียงจื่อมีสิ่งใดที่พวกเราสามารถพอจะช่วยได้ ขอให้บอกมาได้เลย คนกันเองพวกเรายินดีช่วย”
แต่อีกคนกลับดูแสบไม่ใช่น้อย “ดูมือเล็กๆ ราวกับหยกขาวของเจ้าคู่นี้สิ มองแวบแรกก็รู้ได้ทันทีเลยว่าคงไม่เคยได้จับงานหนัก ระวังอย่าให้มีแม้แต่รอยขีดข่วนเชียวล่ะ หากในวันข้างหน้าท่านอาจารย์หนิงได้ขึ้นเป็นขุนนางใหญ่เมื่อใด เจ้าเองก็คงไม่ต้องมาทนลำบากเช่นนี้แล้ว ฮิฮิ”
“นี่เจ้า! ช่างปากพล่อยเสียจริง ไม่รู้จักกาลเทศะ” อาซ้อฟางเป็นคนโอบอ้อมอารี กล่าวเตือนนางเสียงเบา พลางชี้ไปที่สิ่งของที่นางเพิ่งวางลง
“พวกเรามาที่นี่เพื่อนำเนื้อเค็มตากแห้งมามอบให้ท่านอาจารย์หนิง ส่วนนี่คือซวนจื่อ ลูกชายของพี่”
“แล้วนี่คือ…”
บรรดาอาซ้อจากบ้านอื่นๆ ก็ได้แจ้งชื่อลูกๆ ของพวกนางทีละคน จากนั้นเริ่มจัดข้าวของที่นำมาวางไว้บนกระดานไม้ในห้องครัวอย่างเป็นระเบียบ