ตอนที่ 1 – หมู่บ้านสกุลม่อ

แสงอรุณรุ่งปรากฎขึ้นมาทางทิศตะวันออก เสียงไก่ขันเป็นสัญญาณถึงการเริ่มต้นของชีวิตในชนบท

ทุก ๆ ครัวเรือนตื่นขึ้นมาจากห้วงฝัน เหล่าหญิงสาวเริ่มต้มน้ำทำอาหาร เหล่าชายหนุ่มไม่หาบน้ำก็จัดเตรียมอุปกรณ์ทำนา เตรียมว่ากินข้าวแล้วจะเริ่มต้นงานในหนึ่งวันนี้

นี่คือหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตเหลียนเฉิงแคว้นจิ้น ทั้งหมู่บ้านมีสามสี่ร้อยคน แต่มีเพียงหนึ่งสกุล ร่วมสายตระกูลเดียวกัน ดังนั้นหมู่บ้านแห่งนี้จึงได้ชื่อตามชื่อสกุลของพวกเขา เรียกว่าหมู่บ้านสกุลม่อ

ด้านปลายฝั่งตะวันออกของหมู่บ้านมีบ้านเรือนกระจัดกระจายอยู่หลายหลัง ท่ามกลางเหล่าบ้านดินพวกนี้มีบ้านอิฐหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเด่นเป็นที่สุด ที่บอกว่าโดดเด่นก็เพราะว่าวัสดุของมันดีกว่าบ้านหลังอื่นมาก ๆ อย่างเห็นได้ชัด กระเบื้องมุงหลังคาหนาทึบ อิฐกำแพงเป็นระเบียบเรียบร้อย มองแวบเดียวก็ทราบว่ามิใช่อิฐที่ชาวบ้านทั่วไปผลิตกันเอง รั้วบ้านก็ไม่คล้ายกับของบ้านดินอื่นซึ่งทำมาจากกิ่งไม้เถาวัลย์มัดรวมกันอย่างส่ง ๆ แต่ว่าเป็นกิ่งไผ่ที่จัดเรียงอย่างละเอียดลออ แต่ว่ามันกลับยังผุพังมากกว่าบ้านหลังอื่น กระเบื้องหลังคาที่แตกหักไม่มีผู้ใดซ่อมแซม รั้วบ้านแตกเป็นชิ้น แปลงผักในลานบ้านก็รกเรื้อ

ตอนนั้นเอง ประตูบ้านก็เปิดออก กูเหนียงน้อย (หญิงสาวยังไม่แต่งงาน) ผิวเหลืองซีดถักเปียผู้หนึ่งก้าวออกมา นางอายุประมาณหกเจ็ดขวบ ร่างกายเล็กแกร็นอย่างยิ่ง ใบหน้าซูบเรียว สวมใส่เสื้อเก่า แต่ตลอดทั้งร่างกลับเรียบร้อยอย่างยิ่ง ผมถูกหวีจนเรียบไม่กระดิก เสื้อผ้าก็สะอาดอย่างยิ่ง

เพียงเห็นนางดึงสุ่มไก่ออกมาก่อน ปล่อยไก่ออกไป จากนั้นเดินไปที่ครัวซึ่งตั้งพิงอยู่ข้างบ้าน เปิดประตู เอาน้ำเย็นล้างหน้า หลังจากล้างหน้าบ้วนปากแล้วนางก็ม้วนแขนเสื้อขึ้นซาวข้าว จากนั้นนางก็ลากม้านั่งเล็ก ๆ ออกมาวางข้างเตาไฟ ยืนบนม้านั่งและวางข้าวลงไปในหม้อนึ่งใหญ่ เริ่มจุดไฟ

เหลียนเฉิงตั้งอยู่ตอนใต้ของแคว้นจิ้น สภาพอากาศกลาง ๆ เหมาะสมกับการปลูกข้าวเป็นที่สุด ดังนั้นไฟนี้จึงจุดขึ้นด้วยฟางข้าว ซึ่งโชคดีที่เป็นเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นเด็กหญิงอายุเพียงเท่านี้ไหนเลยจะสามารถผ่าฟืนได้เล่า

ผ่านไปไม่นานมากนักก็มีเสียงดังออกมาจากทางประตูของบ้านหลัก ฟู่เหริน (หญิงที่แต่งงานแล้ว)หน้าซีดเซียวนางหนึ่งเข้ามาในครัว

กูเหนียงน้อยที่กำลังจุดไฟผุดลุกขึ้นมาทันที “มารดา ท่านลุกขึ้นมาได้อย่างไร? ไปพักผ่อนอีกหน่อยเถอะ ข้าวกำลังจะเสร็จแล้ว”

ฟู่เหรินยิ้มแย้มออกมา ลูบศีรษะของนาง “เทียนเกอ เรื่องพวกนี้ให้มารดาทำ เจ้าไปเล่นเถอะ”

“ไม่เอา” กูเหนียงน้อยดึงดัน ดึงนางเข้าไปในบ้าน “มารดา ท่านห้ามโดนลม เรื่องพวกนี้ข้าทำได้”

“แต่มันก็แค่เรื่องเล็ก ๆ …”

“เรื่องเล็ก ๆ ข้าทำก็ได้แล้ว มารดา ท่านอยากจะเป็นลมแล้วทำให้ข้ากังวลหรือ?”

ฟู่เหรินถูกประโยคนี้สกัดเอาไว้แล้ว

กูเหนียงน้อยพูดอีก “มารดา ท่านพักผ่อนให้ดี ๆ เถอะ รอท่านหายดี ข้าก็ไม่อยากทำเรื่องพวกนี้แล้ว”

ความไร้เดียงสาในคำพูดทำให้ฟู่เหรินยิ้มออกมา แต่กลับเจือเอาไว้ด้วยความขมขื่น น้ำเสียงอ่อนลง “ดี มารดาจะรีบหายไว ๆ อนาคตจะไม่ทำให้เทียนเกอต้องลำบากแล้ว”

ทิศตะวันออกปรากฎแสงสีแดง โจ๊กก็ส่งกลิ่นหอมของข้าวออกมา กูเหนียงน้อยยืนอยู่บนม้านั่งเล็กค่อย ๆ ตักออกมาสองชามอย่างระมัดระวัง แล้วไปที่โถมุมห้องหยิบผักดองออกมานิดหน่อย ถือไปที่ห้องหลักทีละอย่าง

โจ๊กใสผักดองจืดชืด ไม่มีเครื่องเคียงเพิ่มเติม คนหนึ่งเป็นผู้ป่วย คนหนึ่งเป็นเด็กน้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดใบหน้าของสองคนนี้ถือไม่มีสีเลือดสักนิดเดียว ฟู่เหรินมองดูบุตรสาว แสดงความทุกข์ใจออกมา กูเหนียงน้อยมิได้มองเห็น เพียงก้มหน้ารับประทานโจ๊กไป

รับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ฟู่เหรินก็หวีผมให้บุตรสาวอีกครั้ง แล้วหยิบถุงผ้าที่แขวนอยู่บนผนังลงมาเอาไปสวมไว้ที่ไหล่ของนาง สั่งว่า “ไปสถานศึกษาแล้วต้องฟังคำพูดของเซียนเซิง (อาจารย์) นะ ตั้งใจเล่าเรียน”

“อืม ข้าไปสถานศึกษานะ”

ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ โผล่ออกมา กูเหนียงน้อยเหยียบย่ำเกล็ดน้ำค้างไปตลอดทางเพื่อไปยังหอบรรพบุรุษทิศตะวันตกของหมู่บ้าน บางครั้งบนถนนก็จะมีเด็กชายวิ่งหัวเราะส่งเสียงหนวกหู

เมื่อเห็นนางเดินอยู่บนถนนก็มีเด็กชายเจ็ดแปดขวบแอบตามหลังไปอย่างลับ ๆ แล้วจู่ ๆ ก็โผเข้าไปดึงหางเปียของนาง หัวเราะดังลั่น “ม่อเทียนเกอ เปียของเจ้ามันน่าเกลียดจริง ๆ เจ้าโกนหัวซะเถอะ” พูดจบแล้วก็หนีไปดั่งหมอกควัน

ม่อเทียนเกอที่ถูกดึงเปียถลึงตาใส่เขาอย่างดุดัน พูดว่า “เอาผ้าผูกผมคืนข้ามานะ!”

เด็กคนนั้นกลับยักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียน “คืนเจ้า? ทำไมต้องคืนเจ้าด้วยล่ะ มีความสามารถเจ้าก็มาเอาไปสิ มาเอาสิ!”

เด็กน้อยไหนเลยจะรับการท้าทายได้ ม่อเทียนเกอไล่ตามเด็กคนนั้นจนเปียปลิว

“ฮา ๆ โง่จริง ข้าอยู่นี่!” เด็กชายผู้นั้นร่างคล่องแคล่วเป็นที่สุด อีกทั้งแข็งแรงเป็นที่สุด ไหนเลยที่นางผู้ผอมแห้งจะเทียบได้ ทุก ๆ ครั้งแค่หมุนร่างหนึ่งทีก็สลัดนางหลุดแล้ว ทำเอานางโกรธจนควันพวยพุ่งไปทั้งร่าง

ไม่ทันไรม่อเทียนเกอก็ไล่ตามจนหอบแฮ่ก ๆ ในเวลานั้นเอง ข้างหลังไกล ๆ ก็มีเสียงของเด็กผู้หญิงดังขึ้นมา “พี่ชาย ท่านทำอะไร?”

พอได้ยินเสียงนี้ ทั้งสองคนล้วนหยุดลง

เด็กหญิงเจ็ดแปดขวบเหมือนกันผู้หนึ่งวิ่งใกล้เข้ามา มองเห็นผมเปียที่ยุ่งเหยิงของม่อเทียนเกอแล้วก็ถลึงตาใส่อีกฝ่ายทันที “พี่ชาย ห้ามท่านรังแกเทียนเกอนะ ของก็คืนไป!”

เด็กชายที่เมื่อครู่ยังร้ายกาจใบหน้าขมขื่นขึ้นมาทันที “ข้าก็แค่ล้อนางเล่น”

เด็กหญิงนางนั้นเลิกคิ้วขึ้น ถลึงใส่พี่ชาย “ท่านยังจะพูด! ไม่คืนข้าจะกลับบ้านไปฟ้องบิดา บอกว่าท่านรังแกน้องสาว”

สีหน้าเด็กชายยิ่งขมขื่น “นางถือเป็นน้องสาวอะไรกัน? ไม่ได้อยู่กับพวกเราสักหน่อย”

“ปู่พวกเราเทียนเกอก็เรียกว่าปู่ ทำไมจะไม่ใช่น้องสาว ท่านพูดอีกข้าจะกลับไปฟ้องบิดาตอนนี้เลย!”

“เอาเหอะ ๆ ให้เจ้าแล้วกัน” เด็กชายโยนผ้าผูกผมในมือแล้วรีบเดินจากไปก่อน

เห็นเขาไปแล้ว เทียนเกอก็ร้องเบา ๆ ว่า “เทียนเฉี่ยว ขอบใจนะ”

ม่อเทียนเฉี่ยวยกยิ้มขึ้นมา “ไม่ต้องขอบใจข้า เป็นเขาไม่ถูกต้อง อ้อ อันนี้คืนเจ้า”

ม่อเทียนเกอรับผ้าผูกผม ผูกหางเปียมั่ว ๆ

“ให้ข้าเถอะ” ม่อเทียนเฉี่ยวเห็นนางผูกชุ่ยมากก็เลยแก้เปียของนางถักใหม่เสียเลย นางสูงกว่าม่อเทียนเกอครึ่งศีรษะ ไม่ต้องให้นางย่อตัวลงก็สามารถถักเปียให้ได้สำเร็จ

แก้ไขเปียเสร็จแล้ว ม่อเทียนเฉี่ยวก็ค่อย ๆ หยิบถุงกระดาษใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าอย่างระวัง เปิดออก “เทียนเกอ มากินแผ่นแป้ง”

ม่อเทียนเกอรับของที่นางมอบให้ เป็นแผ่นแป้งมันหวานหนึ่งชิ้น นางกล่าวเสียงค่อยว่า “ขอบคุณ”

ปกติแล้วนางไม่มีขนมของหวานให้กิน มารดาป่วยมาตั้งแต่เกิด ถึงจะยังไม่ถึงขั้นอดอยากแต่ก็ไม่ได้มีเหลือกินเหลือใช้ มีเพียงแค่ตอนเทศกาลประจำปี บ้านท่านปู่ซื้อขนม จึงจะได้ปันส่วนมาสักหน่อย

เทียนเฉี่ยวและพี่ชายของนางเทียนจุ้นเป็นบุตรของท่านลุงใหญ่ เทียนเฉี่ยวดีกับนางมาก เก็บของว่างของตนเองมาแบ่งให้นางรับประทานเสมอ

“กินด้วยกันเถอะ”

“อืม”

ทั้งสองคนกินไปตลอดทาง เดินไปที่หอบรรพบุรุษด้วยกัน

สถานศึกษาสกุลม่อตั้งอยู่ที่หอบรรพบุรุษทิศตะวันตกของหมู่บ้าน ชิ่วไฉชรา (ผู้ที่ผ่านการสอบระดับประเทศ) ผู้หนึ่งเป็นฟูจื่อ (อาจารย์) ของสถานศึกษา สอนหนังสือให้เด็ก ๆ ในชุมชนอยู่ที่นี่ ในเมื่อเป็นสถานศึกษาชุมชน เด็กจากหมู่บ้านสกุลอื่นไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าเล่าเรียนก็สามารถเข้าเรียนได้ แต่ว่าชาวบ้านที่ทำนาหากินมาหลายชั่วคน ส่วนมากก็เพียงหวังให้บุตรหลานในอนาคตจดจำตัวหนังสือได้หลายตัว สามารถอ่านตัวเลขสามารถคำนวณได้ก็ถือว่าดีแล้ว บรรดาเด็ก ๆ ช่วงเช้ามาเล่าเรียนหนังสือ ช่วงบ่ายก็ไปช่วยที่บ้านทำงาน มีเพียงเด็กที่ถูกส่งมาพร้อมความคาดหวังอย่างสูงจึงจะอยู่ถึงช่วงบ่าย

พวกม่อเทียนเกอทั้งสองคนเข้าหอบรรพบุรุษ ในห้องมีเด็กนั่งกันอยู่เต็มไปหมดแล้ว ที่เล็กหกเจ็ดขวบ ที่โตสิบสามสิบสี่ปี ล้วนเป็นเด็กผู้ชาย มีเพียงพวกนางสองคนที่เป็นเด็กผู้หญิง

ชนชาวโลกเชื่อว่าสตรีที่ไร้สามารถจึงจะดีงาม การศึกษาของสกุลม่อก็เป็นเช่นนี้ บุตรสาวของหมู่บ้านสกุลม่อน้อยนักที่จะได้ไปสถานศึกษา ล้วนเป็นตื่นแต่เช้าตรู่ก็ช่วยเหลือที่บ้านจัดการงานบ้านทั้งสิ้น มีเพียงครอบครัวที่หัวก้าวหน้าจึงจะส่งบุตรสาวมาเรียนหนังสือสักหลายตัว

ม่อเทียนเฉี่ยวก็เป็นเช่นนี้ นางเป็นหลานสายตรงของผู้นำสกุลม่อ เนื่องจากเป็นหลานสาวผู้นำ อีกทั้งถือกำเนิดจากมารดาคนเดียวกับหลานชายสายตรง ด้วยเหตุนี้ครอบครัวจึงได้ให้ความสำคัญกับนางถึงขั้นสูงสุด ไม่เพียงตั้งชื่อแบบพี่น้องผู้ชาย แต่ยังถูกส่งมาสถานศึกษาไปด้วย

นางกับเทียนเกอสองคนคือเพียงสองคนในรุ่นนี้ที่ได้รับการตั้งชื่อบ่งบอกลำดับรุ่น

แต่สถานการณ์ของม่อเทียนเกอไม่เหมือนกัน

มารดาของม่อเทียนเกอเดิมเป็นกูเหนียงสี่ของบ้านผู้นำสกุล ปัจจุบันนี้ผู้คนเรียกว่าเหนียงจื่อสี่ ทว่านางไม่ใช่สายเลือดของฟูเหรินผู้นำสกุล หากแต่ถือกำเนิดอยู่ข้างนอกในตอนที่ผู้นำสกุลยังวัยเยาว์ เพราะเหตุนี้ทั้งครอบครัวจึงได้เย็นชากับนางเป็นที่สุด อีกทั้งนางก็เจ็บป่วยตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ตลอดทั้งปีเจ็บเล็กเจ็บน้อยไม่เคยหยุด ยิ่งทำให้ได้รับความเย็นชาจากผู้คนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

จนกระทั่งสิบปีที่แล้ว ในหมู่บ้านมีบัณฑิตผู้หนึ่งมาพักอาศัย พบเห็นนางอยู่หลายครั้ง ไม่รู้ทำไมจู่ ๆ ก็ไปสู่ขอจากผู้นำสกุล ผู้นำสกุลถึงจะไม่ได้รักใคร่บุตรสาวผู้นี้แต่ก็ยังกลัวว่าผู้อื่นจะมีเจตนาชั่วร้าย เรียกร้องให้เขามาตั้งรกรากอยู่ในหมู่บ้าน ใครก็คาดไม่ถึงว่าบัณฑิตผู้นี้จะไม่ต่อต้าน ไม่นานทั้งสองก็กลายเป็นญาติ ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้

โชคร้าย พอถึงปีที่สาม บัณฑิตผู้นี้ก็ต้องไปยังที่ห่างไกล แต่มิได้กลับคืนมา

เนื่องจากบิดาไปแล้วไม่กลับ นางจึงเป็นผู้สืบสายเลือดเพียงคนเดียว เทียนเกอไม่เพียงแซ่ม่อ ชื่อก็ยังตั้งตามลำดับรุ่น ไปเล่าเรียนกับเด็กผู้ชายมาโดยตลอด

ตอนที่ในสถานศึกษามีเสียงดังจอแจ กลางห้องก็มีเสียงกระแอมไอดังออกมาคำหนึ่ง เด็ก ๆ เต็มห้องสงบลงทันใด เหล่าฟูจื่ออายุครึ่งร้อยท่าทางเคร่งขรึมผู้หนึ่งเดินออกมาจากกลางห้อง

พอเห็นเหล่านักเรียนล้วนนั่งลงอย่างเรียบ ๆ ร้อย ๆ ไม่มีใครเสียงดัง เหล่าฟู่จื่อก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ หยิบหนังสือหนึ่งเล่มจากบนโต๊ะ เปิดปากเอ่ยว่า “<<กฎของผู้เยาว์>> ของเมื่อวาน ย่อหน้าแรกล้วนจดจำได้แล้วหรือไม่?”

ภายในสถานศึกษายิ่งเงียบสงบกว่าเดิม เด็กพวกนี้เพียงแค่มาให้รู้ตัวหนังสือเท่านั้น ไหนเลยจะตั้งใจเล่าเรียน สอนตัวหนังสือสิบตัวได้ครึ่งหนึ่งก็ไม่เลวแล้ว

เหล่าฟูจื่อขมวดคิ้ว ระบุชื่อออกมา “ม่อเทียนจุ้น เจ้ามาท่อง”

ม่อเทียนจุ้นรีบลุกขึ้นยืน ใบหน้ากลับขมวดเป็นปม ไม่เหลือความยโสเกเรอย่างตอนที่รังแกม่อเทียนเกอเมื่อครู่นี้

เพียงได้ยินเสียงอึก ๆ อัก ๆ เริ่มต้นท่องว่า “บิดามารดาเรียก ตอบอย่าได้ช้า บิดามารดาสั่ง ปฏิบัติอย่าได้คร้าน บิดามารดาสอน ต้อง…ต้องฟังอย่างเคารพ บิดามารดาดุด่า ต้องเชื่อฟังอย่างอดทน”

เหล่าฟูจื่อพยักหน้า “ไม่เลว ต่อ”

“เหมันต์ให้ความอบอุ่น คิมหันต์ให้ความสดชื่น เช้าไปทักทาย ย่ำค่ำนอนทีหลัง ออก…ออกไปต้องบอก กลับต้อง ต้อง…” ท่องมาถึงตรงนี้ เขาก็เกาหูเกาคางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่จะอย่างไรก็นึกไม่ออกแล้ว

แอบเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของฟูจื่อ กลับเห็นฟูจื่อสีหน้าเคร่งขรึม รีบก้มศีรษะกลับลงไป

“เฮอะ!” ฟูจื่อพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา กล่าวว่า “เมื่อคืนนี้ไปทำอะไรมา? ทำไมท่องได้แค่นี้?”

ม่อเทียนจุนอึกอักอยู่สองคำ ไม่กล้าตอบ

“มือ”

ได้ยินแล้วสีหน้าของม่อเทียนจุ้นก็ขมขื่นขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่กล้าขัดแย้งกับฟูจื่อ เพียงก้าวไปข้างหน้า ยื่นมือซ้ายออกไปอย่างระมัดระวัง

มือผอมแห้งของฟูจื่อกำไม้บรรทัดเคาะไปบนฝ่ามือเขาหนึ่งที ม่อเทียนจุ้นกลัวแล้ว เพียงแค่ยืดมือออกไปตรง ๆ แล้วหันหน้าหนีไปไม่ดู

ไม้บรรทัดยกขึ้นสูง “เพี๊ยะ” ตีลงไปที่ฝ่ามือของเขาหนัก ๆ เด็กทั้งสถานศึกษาล้วนไม่กล้าส่งเสียง เกรงว่าคนต่อไปจะเป็นตนเอง

หลังจากตีไปห้าที ฝ่ามือของม่อเทียนจุ้นก็แดงเถือกแล้ว ฟูจื่อเก็บไม้บรรทัด “คนต่อไป ม่อเทียนเวย”

“ครับ” เด็กอีกคนหนึ่งลุกขึ้นมา เริ่มต้นท่อง “บิดามารดาเรียก ตอบอย่าได้ช้า บิดามารดาสั่ง ปฏิบัติอย่าได้คร้าน บิดามารดาสอน ต้องฟังอย่างเคารพ บิดามารดาดุด่า ต้องเชื่อฟังอย่างอดทน…”

เด็กคนนี้ตะกุกตะกัก แต่สุดท้ายก็ท่องจนจบ ฟูจื่อคลายหัวคิ้วได้ในที่สุด “กลับไปแล้วท่องอีก คนต่อไป”

เมื่อรู้สึกได้ว่าเทียนเฉี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ ขยับตัวขยุกขยิก ม่อเทียนเกอก็กระซิบถามว่า “เทียนเฉี่ยว ทำไมหรือ?”

ม่อเทียนเฉี่ยวใบหน้าขมขื่น แล้วก็กระซิบตอบไปว่า “ข้าก็ท่องยังไม่คล่องเลย ไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวจะท่องได้จบรึเปล่า”

“รีบเอามาท่องตอนนี้เลย ยังมีเวลา”

“พูดได้ถูก” ม่อเทียนเฉี่ยวพลิกเปิดหน้าหนังสืออย่างว่องไว ท่องจำอยู่ในใจเงียบ ๆ

“ม่อเทียนเกอ”

ม่อเทียนเกอรีบลุกขึ้นยืน “ค่ะ ฟูจื่อ”

นางคิด ๆ แล้วเริ่มท่องว่า “บิดามารดาเรียก ตอบอย่าได้ช้า บิดามารดาสั่ง ปฏิบัติอย่าได้คร้าน บิดามารดาสอน ต้องฟังอย่างเคารพ บิดามารดาดุด่า ต้องเชื่อฟังอย่างอดทน เหมันต์ให้ความอบอุ่น คิมหันต์ให้ความสดชื่น เช้าไปทักทาย ย่ำค่ำนอนทีหลัง ออกไปต้องบอก กลับต้องพบหน้า อยู่เป็นที่ งานไม่เปลี่ยน…”

“ไว้ทุกข์สามปี เศร้าหมองเสมอ ชีวิตต้องเปลี่ยน เหล้าเนื้อต้องห้าม พิธีสักการะ ของไหว้จริงใจ เรื่องของผู้ตาย เสมอเรื่องผู้เป็น”

ใบหน้าของฟูจื่อปรากฎรอยยิ้มออกมาบางเบา “ดี ท่องได้ดีมาก วันนี้เจ้าก็เริ่มอ่าน ‘หน้าที่ผู้เยาว์’ เถอะ”

“เจ้าค่ะ ฟูจื่อ”

นางถอนหายใจโล่งอก เปิดหนังสือ อ่านย่อหน้าถัดไป

ถึงผู้เยาว์สกุลม่อเหล่านี้จะไม่ใส่ใจว่าเรียนดีหรือแย่ เหล่าฟูจื่อกลับมีนิสัยของบัณฑิตอย่างเต็มเปี่ยม ดูแลการศึกษาอย่างเคร่งครัดอย่างที่สุด สามารถได้รับคำชมจากเขาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

…………………………………………..

ตอนที่ 2 – เรื่องประหลาดในหอบรรพบุรุษ