ตอนที่ 2 – เรื่องประหลาดในหอบรรพบุรุษ

เที่ยงตรงกลับไปทำอาหาร แล้วม่อเทียนเกอก็มาที่หอบรรพบุรุษอีกครั้ง

ช่วงเช้าเป็นเหล่าฟูจื่อสอนตัวหนังสือให้เด็กทั้งหมดในชุมชน ช่วงบ่ายกลับมีเพียงเด็กที่ถูกส่งมาพร้อมความคาดหวังอย่างมากถึงจะมา

ม่อเทียนเกอเป็นเพียงบุตรสาว ไม่อาจเข้ารับการสอบ แล้วก็ไม่สะดวกจะเข้าเมืองไปหางาน เดิมทีไม่ต้องศึกษาอันใดมาก เพียงแต่ในปีนั้นเหล่าฟูจื่อเคารพความรู้ของบิดานางเป็นที่สุด ดังนั้นจึงมองนางในสายตาที่แตกต่างออกไป ยิ่งกว่านั้นมารดาของนางก็รู้สึกว่าบิดานางความรู้สูงส่ง นางก็ควรจะอ่านหนังสือให้มากแทนที่จะเสียเวลาอยู่กับงานบ้านงานเรือนเช่นเดียวกันสาวชาวบ้านทั่วไป

ชั้นเรียนในช่วงบ่ายตามสบายมากกว่าช่วงเช้ามาก เด็กห้าหกคนไม่อ่านหนังสือคัดลายมือด้วยตนเองก็ได้รับการสั่งสอนตัวต่อตัวจากเหล่าฟูจื่อ

ม่อเทียนเกอเข้ามา คารวะฟู่จื่อ จากนั้นเดินเข้าห้องสมุด

สกุลม่อไม่ได้เป็นครอบครัวใหญ่เลย หอบรรพบุรุษมีเพียงหนึ่งห้องโถงใหญ่ หนึ่งลาน และปีกตะวันตกตะวันออก ห้องโถงใหญ่เป็นที่บูชาดวงวิญญาณของบรรพบุรุษในอดีต ลานด้านหลังเป็นสถานที่ฉลองปีใหม่ ตอนรับบุตร ดื่มสุราหอบรรพบุรุษ ปีกตะวันออกครึ่งหน้าเปลี่ยนเป็นสถานศึกษา ครึ่งหลังแบ่งเป็นห้องสมุด ปีกตะวันตกมีผู้เฒ่าโดดเดี่ยวหลายคนอาศัยอยู่ ปกติแล้วเป็นพวกเขาที่เฝ้ารักษาสถานที่

หนังสือที่เก็บสะสมไว้มีไม่มาก เป็นชั้นหนังสือหกชั้นที่พิงอยู่กับผนัง รวมกันแล้วก็มีหนังสือพันกว่าเล่ม เป็นสิ่งที่สกุลม่อถ่ายทอดมารุ่นสู่รุ่น

ม่อเทียนเกอลากม้านั่งไปด้านตะวันออก หนังสือที่ชั้นหนังสือนี้ล้วนเป็นบันทึกการเดินทางและเรื่องเล่าขาน ใช้ตัวหนังสือง่าย ๆ รูปภาพมาก เหมาะสมกับเด็กที่เพิ่งเรียนได้ไม่นานเช่นนาง

ส่วนเรื่องที่นางชอบอ่านหนังสืออ่านเล่นพวกนี้ เหล่าฟูจื่อก็ไม่ได้ว่าอะไร สตรีนางหนึ่ง ไม่อาจเข้าสอบ อ่านหนังสืออะไรล้วนไม่สำคัญ

ม่อเทียนเกอหยิบหนังสือหนึ่งเล่ม อีกทั้งหาพจนานุกรมต้าจินมาวางไว้ข้าง ๆ นั่งลงริมหน้าต่างอ่านดู

หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า “เทียนจี๋ฉบับสรุป” บ่งบอกว่าใต้หล้ากว้างใหญ่ มีผืนแผ่นดินท้องทะเลนับไม่ถ้วน ที่ที่พวกเขาอยู่เรียกว่าเทียนจี๋ (สุดขอบฟ้า) เทียนจี๋กว้างใหญ่ โดยรวมแคว้นจิ้นและแว่นแคว้นใหญ่น้อยอีกนับสิบประเทศ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีป่าเขาอันไพศาล ทิศตะวันตกเป็นเขตทะเลทรายไร้ผู้คน ทิศเหนือมีธารน้ำแข็งอันน่าพิศวง ทิศใต้เป็นเทือกเขาสุดลูกหูลูกตา

หนังสือเล่มนี้บันทึกบันทึกเรื่องเล่าขานของผู้คนพิสดารในเทียนจี๋

ตำนานกล่าวว่า สุดปลายของแผ่นดินเทียนจี๋ เทือกเขาแผ่ขยายสุดสายตา ผู้คนเรียกขานว่าคุนอู๋ คุนอู๋ยืดยาวนับหมื่นลี้ ยอดเขาต่อเนื่องไม่ขาดตอน จากตะวันออกถึงตะวันตก ตั้งแต่อดีตกาลมิมีผู้สามารถข้ามผ่าน ห่างจากเทือกเขาไม่ไกลมีปุถุชนอยู่ บางคราวสามารถมองเห็นมวลเมฆสีม่วงหนาทึบภายในภูเขา สีสันพร่างพรายกะพริบวิบวับ ขึ้นภูเขาไปค้นหา กลับหลงทางอยู่ในเมฆหมอก ได้แต่เพียงหันกลับเพื่อจะพบหนทางออกมา

นานวันเข้า ผู้คนก็ทราบว่าเขานี้คือภูเขาเซียน มีเพียงเซียนที่สามารถเข้าไปข้างใน

เหล่าเซียนที่อาศัยอยู่บนเขาคุนอู๋ อรุณรุ่งซึมซับน้ำค้างเมฆา ย่ำค่ำดูดกลืนธาตุจันทรา ขึ้นสวรรค์ลงโลกมนุษย์ มิมีสิ่งใดไม่สามารถ หากพวกเขาค้นพบผู้มีแก่นวิญญาณในโลกมนุษย์ก็สามารถพากลับภูเขาเซียนไปฝึกบำเพ็ญเพียร ฝึกบำเพ็ญเพียรได้สำเร็จก็จะกลายเป็นเซียน สามารถพลิกฝ่ามือเรียกเมฆาโบกฝ่ามือเรียกพิรุณ ขี่เมฆไปได้พันลี้ เคลื่อนภูเขาผลาญทะเล ขึ้นสวรรค์ลงโลกมนุษย์ แล้วยังสามารถรักษาร่างกายไม่ให้แก่เฒ่าและชีวิตยืนยาวเป็นอมตะ

ผู้คนในโลกมนุษย์ มิมีผู้ใดไม่หวังจะขึ้นภูเขาเซียน บำเพ็ญกระดูกเซียน โชคร้ายที่แก่นวิญญาณยากที่จะเสาะหา สำหรับเซียน คนส่วนใหญ่เพียงได้ยินได้ฟังมาจากในตำนานเท่านั้น

ในหนังสือนี้บันทึกตำนานเรื่องหนึ่ง กษัตริย์พระองค์หนึ่งของแคว้นฉู่ยุคโบราณหลงใหลวิชาเต๋า ต้องการจะบำเพ็ญเพียรเป็นเซียน บัญชาพรตเต๋าใต้หล้ามาที่เมืองหลวง เสาะหาผู้ที่วิชาเต๋าล้ำลึกมากราบไหว้เป็นราชครู ตอนที่พรตเต๋าทั่วแคว้นแข่งขันวิชาเต๋า มียาจกสกปรกทั้งร่างเดินเข้าสนาม เอ่ยว่า เจ้ามาถือรองเท้าให้ข้า พรตเต๋าทุกผู้เดือดดาลใหญ่โต ยาจกกลับหัวเราะฮา ๆ เสียงดัง ชี้หนึ่งนิ้ว กึ่งกลางเวทีเต๋าจู่ ๆ ปรากฏบึงลึกหนึ่งแห่ง ยกมืออีกที บึงลึกหายไปแต่ไฟกองใหญ่กลับลุกโชน ทุกคนในที่แห่งนั้นตะลึงพรึงเพริด กษัตริย์ฉู่ปรารถนาแต่งตั้งให้เป็นราชครู ยาจกนั้นกลับเรียกฝุ่นขึ้นมา หายไปทันที

ยังมีบันทึกอีกว่า แคว้นเหลียงมีนักปราชญ์ ครอบครัวยากจน ศึกษาตำราอย่างหนัก ในที่สุดสำเร็จเป็นจ้วงหยวน แต่กลับทำให้ขุนนางใหญ่ไม่พอใจในงานเลี้ยงชยงหลิน ถูกส่งไปดูแลหอตำราของสำนักศึกษาหลวง จ้วงหยวนหนุ่มผู้ทรงเกียรติจึงได้หมกตัวอยู่ในหอตำราอย่างนี้ทั้งปี อนาคตไม่สดใส แต่หลังจากสิบปี จ้วงหยวนหนุ่มผู้นี้กลับพบวิชาเซียนในหอตำรา บรรลุเต๋าชั่วข้ามคืน ขุนนางใหญ่ผู้ไม่พอใจในปีนั้นทราบเรื่องนี้ แตกตื่นไม่รู้แล้ว จ้วงหยวนหนุ่มกลับหัวเราะไม่นำพา ขี่ลมจากไป

ม่อเทียนเกอกำลังอ่านอย่างสนุกสนานสนใจ จู่ ๆ มีคนมายืนตรงหน้านาง ม่อเทียนเกอเงยหน้า รีบปิดหนังสือลุกขึ้น “ฟูจื่อ”

เหล่าฟูจื่อพยักหน้า ดึงหนังสือจากในมือนางพลิกเปิดหลายหน้า ถามว่า “ล้วนอ่านออกหรือไม่?”

ม่อเทียนเกอตอบว่า “มีบางคำอ่านไม่ออก ข้าเปิดพจนานุกรมดู ที่ตรวจหาไม่พบข้าล้วนจดเอาไว้แล้ว ครั้งหน้าเรียนถามฟูจื่อ”

เหล่าฟูจื่อยื่นหนังสือให้นาง “ดี อ่านหนังสือให้มากเป็นวิธีการจดจำตัวอักษรที่ดีที่สุด เจ้าทำต่อเถิด”

“เจ้าค่ะ ฟูจื่อ”

ดวงอาทิตย์คล้อยไปทิศตะวันตก ม่อเทียนเกอเก็บหนังสือกลับชั้นหนังสือ ออกไปปัดกวาดสถานศึกษา

พวกเด็กคนอื่น ๆ ล้วนกลับไปกันแล้ว เหล่าฟูจื่อก็ไปรับประทานอาหารที่โถงหลังแล้ว โถงหน้ามีเพียงนางผู้เดียว

หลังจากเช็ดถูโต๊ะ กวาดพื้นจนสะอาด ตอนที่เคลื่อนย้ายขยะผ่านประตูหลังโถงใหญ่ นางหยุดชะงัก

ข้างใน คล้ายกับมีแสง

ดูอยู่พักใหญ่ นางวางที่ตักผง ก้าวเข้าไปใกล้

สตรีไม่สามารถเข้าห้องหอบรรพบุรุษ แม้แต่ผู้ที่สามีแต่งเข้า ล้วนเป็นสามีที่เข้าหอบรรพบุรุษ ดังนั้นม่อเทียนเกอจึงไม่เคยเข้าโถงใหญ่ที่จัดเรียงป้ายวิญญาณนี้เลย

ตอนนี้ ประตูใหญ่ของโถงใหญ่ปิดสนิท สิ่งที่คลุมเครือไม่ชัดเจนนั้นคล้ายจะเป็นแสง แล้วก็คล้ายจะเป็นควัน เห็นไม่ชัดจริง ๆ นางมองซ้ายมองขวา พบว่ารอบบริเวณไร้ผู้คน ลังเลพักหนึ่ง อดไม่ได้จริง ๆ วางที่ตักผงลงด้านข้าง ย่องเข้าไปอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ

โถงใหญ่สูงมาก อีกทั้งประตูปิด ภายในห้องทั้งห้องมืดมิด มีเพียงแสงอ่อนจางลอดทะลุหน้าต่าง ยังมีแสงจากประตูหลัง

นางก้าวเข้าใกล้อย่างระแวดระวัง กลับเห็นว่าแสงนั้นคล้ายจะมาจากป้ายวิญญาณที่อยู่ตำแหน่งบนสุด

ป้ายวิญญาณเป็นแถว ๆ วางเรียงอยู่ที่โถงใหญ่ มีอยู่สี่สิบห้าสิบป้าย แม้แต่ผนังสองด้านก็เรียงไว้เต็ม ดูน่าเกรงขามยิ่งนัก

ม่อเทียนเกอหดตัวเล็กน้อย แต่พอนางเข้ามา แสงนั้นยิ่งชัดเจน

นางไม่อาจควบคุมความอยากรู้อยากเห็น เงยหน้ามองหา พบว่าที่ชั้นบนสุดมีเพียงป้ายวิญญาณหนึ่งป้าย

ป้ายวิญญาณนั้นขาวสล้างทั้งแผ่น คล้ายกับหยกมาก ในบ้านท่านปู่ก็มีรูปแกะสลักเทพเต๋าที่แกะจากหยกหนึ่งองค์ แต่ว่าป้ายวิญญาณนี้ สีสันขาวยิ่งกว่า ข้างบนคล้ายกับจะมีละอองสีขาวคล้ายหมอกล่องลอย

ม่อเทียนเกอกวาดมองรอบด้าน ลากเก้าอี้หนึ่งตัวจากมุมห้องมาวางด้านข้างป้ายวิญญาณ เหยียบขึ้นไป สูงพอดี นางยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวัง คว้าเอาป้ายวิญญาณป้ายนั้น

นางร่างเล็กเตี้ย แทบจะต้องเอนร่างครึ่งตัวไปบนชั้นจึงจะหยิบถึงป้ายวิญญาณ

เย็นอยู่บ้าง ละอองสีขาวปกคลุมมือนาง สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว

ม่อเทียนเกอพลิกป้ายวิญญาณ เห็นว่าบนนั้นมีตัวอักษรห้าตัว : ป้ายของม่อเหยาชิง ไม่เหมือนกับอันอื่น ๆ

ละอองสีขาวยิ่งมายิ่งหนาทึบ ถึงขนาดเริ่มปกคลุมร่างกายนาง นางจ้องมองป้ายวิญญาณ พบว่าแสงสีขาวก็ยิ่งมายิ่งสว่าง แสงนั้นเดิมทีเป็นเพียงสีขาวอ่อนจาง ค่อย ๆ กลายเป็นสว่างสดใส เป็นพยานต่อเรื่องมหัศจรรย์เช่นนี้ นางอดเบิกตากว้างมิได้

แสงนั้นกลับสว่างวูบขึ้นกะทันหัน พุ่งหายเข้าไปในระหว่างคิ้วของนางอย่างปุบปับ นางสะดุ้งตัวลอย ดวงตากลับจู่ ๆ ก็สูญเสียแวว จากนั้นปิดตาลงช้า ๆ ร่วงหล่นลงจากเก้าอี้

……………………………………………….

ตอนที่ 3 –บรรพบุรุษสกุลม่อ