ตอนที่ 3 –บรรพบุรุษสกุลม่อ

มืดมิดไร้ที่สิ้นสุด ทั้งร่างคล้ายกับจะจมอยู่ในน้ำ นางทำอย่างไรก็คว้าจับวัตถุไม่ได้เลย นางกลัวมาก นางอยากร้องหามารดา แต่ส่งเสียงร้องมิได้

จู่ ๆ ร่างนิ่งไป เบื้องหน้าสายตาจู่ ๆ ปรากฏแสงสว่าง นางกวาดมองรอบด้านทันที

อะไรล้วนไม่มี ไม่มีสิ่งของ ไม่มีแม้กระทั่งกำแพง ว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง มีเพียงแสงที่ไม่รู้ว่ามาจากแห่งใด

นางได้ยินเสียงถอนหายใจเสียงหนึ่ง อ่อนเบา ทำให้คนขนลุกชัน นางสะดุ้ง “ใคร? ใครอยู่ตรงนี้?”

เสียงนั้นหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เอ่ยปากกล่าววาจาว่า “นานปีขนาดนี้ ในที่สุดก็มีลูกหลานกระตุ้น วิชาลับซู่หนี่ในที่สุดมีผู้สืบทอดแล้ว”

เสียงไม่ใกล้ไม่ไกล คล้ายกับดังสะท้อนในความว่างเปล่า หาตำแหน่งแท้จริงไม่พบ นางมองหาไปรอบ ๆ กลับก่อให้เกิดเสียงหัวเราะอ่อนโยน “เด็กโง่ เจ้าหาข้าไม่พบหรอก ข้าเป็นเพียงจิตสำนึกสายหนึ่งที่ผนึกอยู่ในกฎหวงห้ามนี้”

เสียงนี้วูบไหว อีกทั้งอ่อนโยนไพเราะ กลับเป็นเสียงสตรีที่น่าฟังสิบส่วน

ม่อเทียนเกอมองที่ว่างนี้ด้วยความกลัวอยู่บ้าง เอ่ยเสียงสะท้านว่า “ท่าน…..ท่านเป็นใคร?”

“ข้า?” เสียงสตรีนี้ถอนหายใจอ่อนเบาอีกครั้ง “ข้าเป็นบรรพบุรุษของเจ้า นามของข้าคือม่อเหยาชิง”

ประโยคหลัง ม่อเทียนเกอฟังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่นางฟังเข้าใจประโยคครึ่งแรก เสียงนี้ก็คือชื่อบนป้ายวิญญาณที่นางเห็น เป็นบรรพบุรุษของวงศ์ตระกูล — นั่นไม่ใช่ผีหรอกหรือ?

ความคิดนี้ทำให้นางกลัวจนสะดุ้ง ผ่านไปครึ่งค่อนวันจึงได้ถามเสียงสั่นสะท้านว่า “ท่าน ท่านเป็นผี?” นางเคยได้ยินผู้ใหญ่ในหมู่บ้านพูดว่า คนตายแล้วจะกลายเป็นผี

“ผี? ฮา ๆ” เสียงสตรีหัวเราะคำหนึ่ง แล้วถามอย่างจริงจังว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าบนโลกนี้มีคนที่ฝึกเป็นเซียน?”

ไม่รอให้นางตอบ นางพูดกับตัวเองขึ้นมาอีกว่า “คิดว่าเจ้าคงไม่รู้ เด็กที่ใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์ ไฉนเลยจะรู้เรื่องเหล่านี้” จากนั้นเอ่ยว่า “ในเมื่อกระตุ้นกฎหวงห้าม หมายความว่าเจ้าสืบทอดร่างอินแท้ของข้า อีกทั้งครอบครองแก่นวิญญาณ ไหนให้ข้าดูทีว่าแก่นวิญญาณของเจ้าเป็นเช่นไร”

จู่ ๆ มีลมหอบหนึ่งพัดมา ม่อเทียนเกอตะลึง รู้สึกเพียงว่ามีสิ่งของอะไรที่มองไม่เห็นปกคลุมร่างกายของนาง เดินไปรอบ ๆ ตัวนาง นางกลับขยับเขยื้อนไม่ได้

หลังจากพักใหญ่ สิ่งของบนร่างคลายตัว เสียงสตรีประหลาดใจ “แก่นวิญญาณห้าธาตุ? แถมยังเป็นแกร่งอ่อนเท่ากัน อย่าบอกนะว่าสืบทอดแก่นวิญญาณหุ้นหยวนของเด็กนั่นมาด้วย?”

แก่นวิญญาณห้าธาตุอะไรแก่นวิญญาณหุ้นหยวนอะไร ม่อเทียนเกอฟังไม่เข้าใจสักนิด เพียงรู้สึกว่า นี่คือบรรพบุรุษของวงศ์ตระกูล กับตัวนางคล้ายจะไม่มีความมุ่งร้าย ไม่ใช่ผีร้ายสินะ?

เสียงนี้ถอนหายใจเบา ๆ อีกครั้ง “คิดไม่ถึงเลย หลายพันปีแล้ว ถึงกลับมีเด็กคนหนึ่งที่สืบทอดคุณสมบัติของพวกเราพร้อมกัน เป็นลิขิตสวรรค์จริง ๆ น่าเสียดาย เด็กนั่นก็ไม่รู้ว่าตายรึยัง วิชาหุ้นหยวนของเขาก็ไม่ได้อยู่ในมือข้า ไม่มีทางถ่ายทอดให้ชนรุ่นหลัง”

“เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ คนบนโลกถ้าหากฝึกเป็นเซียนจะสามารถมีความสามารถบินขึ้นฟ้าหนีลงดิน ยังสามารถจะรักษารูปลักษณ์ไม่แก่ชรา?”

นี่ คำพูดนี้…. นางจำหนังสือเล่มนั้นที่เห็นในห้องสมุดได้ เหล่าเซียนอาศัยอยู่บนเขาคุนอู๋ อรุณรุ่งซึมซับน้ำค้างเมฆา ย่ำค่ำดูดกลืนธาตุจันทรา ขึ้นสวรรค์ลงโลกมนุษย์ มิมีสิ่งใดไม่สามารถ

“ท่าน…..ที่ท่านพูดคือ เซียนบนเขาคุนอู๋พวกนั้น?”

“หืม?” เสียงนี้ประหลาดใจอยู่บ้าง “เจ้าถึงกับเคยได้ยินมาแล้ว?”

ผีบรรพบุรุษผู้นี้คล้ายจะเมตตานางมาก ความกล้าของนางจึงมากขึ้นอีกหน่อย “ข้าเคยอ่านในหนังสือเล่มหนึ่งที่สถานศึกษา ในนั้นบอกว่า บนเขาคุนอู๋มีเซียน พวกเขามิมีสิ่งใดไม่สามารถ ยังสามารถอายุยืนไม่ชราด้วย”

เสียงสตรีหัวเราะอีกครั้ง “มนุษย์โลกเล่าขานเกินจริง แต่ก็มิได้ห่างไกลนัก ถ้าสามารถกลายเป็นมหามรรคา จะมิมีสิ่งใดไม่สามารถอายุยืนไม่ชราจริง ๆ เพียงแต่ทุกวันนี้ผู้ที่สามารถบำเพ็ญไปถึงระดับวิญญาณปฐมก็ไม่มากแล้ว แม้แต่ข้าผู้มีคุณสมบัติเช่นนี้ ปีนั้นก็ต้องทุ่มเทสุดใจจึงได้รับโอกาสสามารถขึ้นถึงระดับวิญญาณปฐม น่าเสียดายหลังจากวิญญาณปฐมหลายร้อยปี สุดท้ายแล้วไม่ได้ขึ้นสู่ระดับแปลงเทพ ได้แต่นั่งบำเพ็ญละสังขาร ผนึกจิตสำนึกสายนี้ไว้ในป้ายหยก รอชนรุ่นหลังกระตุ้นกฎหวงห้าม จะได้ถ่ายทอดวิชานี้ต่อไป”

เห็นม่อเทียนเกอรับฟังจนมึนงง นางจึงหยุดหัวข้อสนทนา ถามนางอีกว่า “เด็กน้อย เจ้าอยากจะเป็นอย่างเซียนเหล่านั้นหรือไม่ บินขึ้นฟ้าหนีลงดิน มิมีสิ่งใดไม่สามารถ?”

ม่อเทียนเกอกะพริบตาปริบ “ข้า…. อย่างนั้นสามารถจะรักษาโรคของมารดาข้าได้หรือไม่ แล้วก็สามารถหาบิดาข้าเจอ?”

“หืม?” เสียงสตรีสงสัย “มารดาเจ้าเป็นเยี่ยงใด บิดาเจ้าอยู่ไหนอีกเล่า?”

ม่อเทียนเกาก้มศีรษะลง กล่าวอย่างเศร้าหมองว่า “มารดาข้าป่วยมาตลอด แต่จะอย่างไรก็ไม่หายดี ท่านหมอบอกว่านี่เป็นโรคแต่กำเนิด เดิมทีมีชีวิตไม่ถึงยี่สิบ สามารถมีชีวิตมาถึงตอนนี้ก็ดีมากแล้ว บิดาข้าไปตั้งแต่ก่อนที่ข้าจะเกิด มารดากล่าวว่าบิดามีธุระ ภายหลังจะมารับตัวพวกเรา แต่ไม่เคยมาเลย……”

จิตสำนึกสายนี้เดิมเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษสกุลม่อม่อเหยาชิงเหลือทิ้งไว้ในอดีต ม่อเหยาชิงเดิมเป็นยอดฝีมือระดับวิญญาณปฐม จะไม่เข้าจะว่ามารดาของนางมีเรื่องอะไรได้อย่างไร พอคิดได้ว่าคนผู้นี้จะต้องเป็นผู้สืบเชื้อสายของตนเองแน่นอนก็อดเศร้าเสียใจมิได้ “ร่างอินแท้ เป็นทั้งโอกาสแล้วก็ภัยพิบัติ มารดาเจ้าคงจะต้องสืบทอดร่างอินแท้ของข้าไปด้วย น่าเสียดายที่ไม่มีแก่นวิญญาณ มีชะตาที่ชีวิตจะไม่ยืนนาน เจ้าอย่าเสียใจไปเลย”

ร่างอินแท้คืออะไร นางไม่เข้าใจ ได้ยินผีบรรพบุรุษผู้นี้บอกว่ามารดารักษาไม่ได้ ถึงนางจะทราบมาแต่แรก แต่อารมณ์ก็ยังคงตกต่ำลง “ไม่ว่าจะอย่างไรล้วนไม่อาจรักษามารดา อย่างนี้ไม่ใช่มิมีสิ่งใดไม่สามารถเลยนี่”

เสียงสตรีถูกทำให้สะอึกไป พูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง หลังจากพักใหญ่จึงเอ่ยว่า “แต่ว่า ถ้าเจ้าเรียนรู้วิชาเซียนก็จะสามารถไปหาบิดาของเจ้า นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”

“นี่……” นางไม่เคยพบบิดา แท้จริงแล้วนางอยากจะเห็นมากว่าบิดาเป็นอย่างไร แต่เกรงว่าจะทำร้ายจิตใจมารดา ตลอดมาไม่ได้เอ่ย

ไม่ทันรอให้นางตอบ เสียงสตรีนี้ตระหนักถึงบางอย่าง เอ่ยขึ้นมาทันทีว่า “ข้าเป็นเพียงจิตสำนึกสายหนึ่ง ในเมื่อเปิดกฎหวงห้ามมาแล้วก็ไม่สามารถคงอยู่ได้นานนัก เด็กน้อย เจ้าฟังที่ข้าพูด เรื่องเหล่านี้ รอจนเจ้าเติบใหญ่ก็จะเข้าใจ”

“หลายพันปีก่อน เดิมข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรของอวิ๋นจง (กลางเมฆ) อวิ๋นจงซึ่งเทียนจี๋เรียกขานว่าซานหนาน (ทางใต้ของภูเขา) อยู่เลยเขาคุนอู๋ออกไป ข้ามทะเลหนานไห่ (ทะเลใต้) นั่นคืออวิ๋นจง ตอนข้ายังเด็กก็ถูกค้นพบว่าบนร่างครอบครองแก่นวิญญาณ อีกทั้งเป็นร่างอินแท้ที่หาได้ยากยิ่ง ดังนั้นกราบเข้าสำนักตันเสียแต่เล็ก ข้าที่มีคุณสมบัติแก่นวิญญาณคู่ บวกกับร่างอินแท้ บำเพ็ญเพียรรุดหน้าไม่ด้อยกว่าผู้บำเพ็ญเพียรแก่นวิญญาณเดี่ยวเลยสักนิด อายุร้อยกว่าปีก็สามารถสร้างตันทองคำ ตัวข้าเองนึกว่าอนาคตในการบำเพ็ญเพียรไร้ขีดจำกัด แต่ไม่รู้ว่าซือป๋อ (อาจารย์ลุง) ระดับวิญญาณปฐมในสำนัก แต่แรกเริ่มตอนที่ข้าเข้าสำนักก็ได้หมายมาดร่างของข้า ตัดสินใจรอให้ข้าสร้างตันแล้วบำเพ็ญเพียรคู่กับลูกหลานร่วมสายเลือด”

ม่อเทียนเกอฟังคำพูดของนางไม่เข้าใจ เพียงฟังออกว่านางในตอนแรกน้ำเสียงทอดถอนใจ ภายหลังกลับโกรธขึ้นมา

เสียงสตรีหยุดไปครู่หนึ่ง คล้ายกับระงับอารมณ์ลงแล้วจึงกล่าวต่อไปอีกว่า “ภายหลัง ข้าหนีออกจากสำนักตันเสียอย่างยากลำบากนัก แต่นั้นกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรอิสระหลังจากเรื่องนี้ ข้าก็เรียนรู้ที่จะใจดำอำมหิต หลังจากนั้นเมื่อไรที่มีผู้บำเพ็ญเพียรละโมบต่อตัวข้า ข้าจะดูดกลืนพลังทั้งร่างของเขา ดังนั้น ข้าจึงค่อย ๆ ได้รับฉายาอย่างหนึ่ง เรียกว่าสตรีปีศาจกระดิ่งทอง หลังจากข้าสร้างวิญญาณปฐม ได้ท่องมาถึงเทียนจี๋ น่าเสียดาย ตลอดชีวิตชะงักค้างอยู่ที่วิญญาณปฐมขั้นกลาง ได้แต่นั่งบำเพ็ญละสังขาร นำจิตสำนึกสายนี้ผนึกไว้ในป้ายวิญญาณ รอชนรุ่นหลังมีโอกาสทำลายกฎหวงห้าม ถ่ายทอดวิชาลับซู่หนี่”

“วิชาลับซู่หนี่ เป็นวิชาที่ตันเสียอดีตสำนักอาจารย์ของข้าเก็บซ่อนเอาไว้ มิใช่ผู้บำเพ็ญเพียรสตรีร่างอินแท้ไม่สามารถบำเพ็ญได้ กล่าวกันว่าวิชานี้มีแม้แต่ช่วงหลังจากระดับแปลงเทพ น่าเสียดายที่ตรงนี้ข้ามีเพียงวิชาถึงระดับวิญญาณปฐม ถ้าหลังจากนี้เจ้าบำเพ็ญเพียรได้สำเร็จ ให้ไปที่อวิ๋นจงหาส่วนที่เหลือ แต่ว่า” คำพูดของนางเปลี่ยนไป กลับเป็นการทอดถอนใจ “ด้วยแก่นวิญญาณของเจ้า หากไม่สามารถได้รับวิชาบำเพ็ญเพียรของบรรพบุรุษอีกผู้หนึ่งของเจ้า เกรงว่าความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของเจ้ายากนักจะไปถึงระดับวิญญาณปฐม แก่นวิญญาณหุ้นหยวนที่ไม่มีวิชาโดยเฉพาะ ก็เป็นเพียงแก่นวิญญาณที่ไร้ค่า……”

“ก่อนที่จะถ่ายทอดวิชา ข้าจะบอกความรู้ทั่วไปของเซียนผู้บำเพ็ญเพียรกับเจ้าก่อนสักหน่อย เซียนผู้บำเพ็ญเพียรที่เรียกกัน ก็คือผู้คนธรรมดาที่ในร่างครอบครองแก่นวิญญาณดูดซับปราณวิญญาณฟ้าดิน สั่งให้ปราณวิญญาณไหลวนอยู่ในชีพจรปราณ สะสมไว้ในตันเถียน แล้วตนเองก็จะได้ครอบครองพลังวัตร ขั้นตอนการบำเพ็ญเซียนต้องล้างเส้นเอ็นชำระไขกระดูก เพื่อให้ร่างกายของตนเองสลัดคราบสกปรกของโลกมนุษย์ และเข้าใกล้มาตรฐานของเซียน บำเพ็ญเพียรถึงขีดสุด ก็จะกลายเป็นเซียน”

“เซียนผู้บำเพ็ญเพียร มีสามระดับชั้น สามระดับชั้นนี้ยังมีแบ่งเป็นระดับชั้นย่อย ๆ หลายระดับ พวกเราในโลกนี้เพียงสามารถบำเพ็ญเพียรในระดับชั้นที่หนึ่ง ข้าจะบอกกับเจ้าเท่านี้ สิ่งอื่น ๆ หลังจากเจ้าบำเพ็ญเพียรได้สำเร็จย่อมจะได้ยินเอง”

“ระดับบำเพ็ญเซียนของปุถุชนสามารถแบ่งออกเป็นห้าระดับย่อย ดูดกลืนปราณวิญญาณเข้าร่างและสะสมเข้าไว้ในตันเถียน คือจุดเริ่มต้นของการบำเพ็ญเซียน เรียกว่าหลอมปราณ ปราณวิญญาณในตันเถียนคงอยู่ถึงระดับหนึ่ง จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันแตกต่าง บีบอัดปราณวิญญาณให้กลายเป็นธาตุวิญญาณ นี่จะเป็นระดับที่สอง สร้างฐาน หลังจากสร้างฐาน ดูดซับปราณวิญญาณต่อไป สุดท้ายธาตุวิญญาณเพียงพอ จะสามารถบีบอัดต่อไปอีก ก่อเป็นตันทองคำ นี่คือระดับย่อยที่สาม ก่อเกิดตัน บำเพ็ญเพียรก่อเกิดตันไปถึงขีดสูงสุด ปราณวิญญาณในกายจะไปถึงขีดจำกัด ไม่อาจะบำเพ็ญเพียรต่อ ได้แต่รวมจิตปฐมกับตันทองคำจากสองเป็นหนึ่ง ก่อกำเนิดวิญญาณ จึงสามารถก้าวไปอีกขั้น นี่คือวิญญาณปฐม”

“ปุถุชนที่สามารถบำเพ็ญเพียรถึงวิญญาณปฐมก็มีไม่มากแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรระดับวิญญาณปฐมมีความสามารถที่จะเคลื่อนภูเขาผลาญทะเลแล้ว เรียกได้ว่าเป็นเทพเซียนในแดนดิน ระดับต่อไปเรียกว่าแปลงเทพ เป็นการบำเพ็ญเพียรจิตปฐมไปถึงขีดสุด ขัดเกลานับไม่ถ้วน ถึงขั้นที่อาวุธเวทใด ๆ ไม่อาจทำร้าย ระดับชั้นนี้ ตั้งแต่อดีตโบราณกาลมา เป็นดั่งขนหงส์เขากิเลน ถึงเป็นข้าก็ติดอยู่ที่ขั้นวิญญาณปฐมทั้งชีวิต ไม่สามารถก้าวไปอีกขั้น”

ในน้ำเสียงเก็บซ่อนความเศร้าสร้อยนานาประการ ถึงแม้ม่อเทียนเกอจะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดนัก ก็ยังสามารถรู้สึกได้ถึงความหดหู่เหล่านั้น

“ถ้าหากในอนาคตเจ้าละทิ้งชีวิตในโลกมนุษย์ก้าวเข้าโลกบำเพ็ญเซียน ต้องจำไว้ว่าอย่าว่าแต่ความแตกต่างของระดับชั้นย่อย ๆ เหล่านี้ ถึงจะเป็นขั้นต้นขั้นปลายในระดับชั้นเดียวกันล้วนแตกต่างกันยิ่งนักแล้ว ห้ามหาเรื่องผู้ที่บำเพ็ญเพียรมาสูงกว่าเจ้า ตลอดทางบำเพ็ญเซียนยากและอันตรายอย่างแท้จริง ถึงพวกเขาจะเกรงกลัวจิตมารที่เกิดจากการก่อกรรม ไม่กล้าเข่นฆ่าไม่เลือกหน้า แต่ถ้าหากมีผลประโยชน์เพียงพอผลักดัน จะอะไรก็ล้วนสามารถกระทำได้ อย่าเอ่ยถึงร่างอินแท้ที่เจ้าครอบครอง ต้องรู้ว่า ผู้บำเพ็ญเพียรสตรีร่างอินแท้พันปียากเสาะหา สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรบุรุษ การบำเพ็ญเพียรคู่ร่วมกันมีประโยชน์มากยิ่งนัก ขอเพียงปรากฏขึ้น จะต้องดึงดูดให้ผู้บำเพ็ญเพียรบุรุษมากมายมาช่วงชิง ปีนั้นข้าไม่รู้ว่าต้องพยายามมากน้อยสักเท่าไหร่จึงรักษาตัวให้ปลอดภัยได้…..”

กล่าวถึงตรงนี้ เสียงสตรีนี้ถอนหายใจอีกคำรบ คล้ายกับจะอ่อนแอลงไปมากมาย “ข้าจะจางหายไปแล้ว จะถ่ายทอดวิชาให้เจ้าล่ะนะ น่าเสียดายที่ทุกสิ่งของข้าในปีนั้นไม่สามารถยกให้เจ้าได้ ได้แต่บำเพ็ญเพียรให้เพียงพอจึงสามารถครอบครองทรัพย์สมบัติอย่างเพียงพอ รอให้เจ้าฝึกวิชาสำเร็จค่อยไปหาคูหาที่อยู่ของข้าในอดีตเถิดนะ”

ม่อเทียนเกอสับสนงงงวย แต่ขณะนี้เอง จู่ ๆ สมองก็ปวดแปลบ ทันใดนั้นมีสิ่งของมากมายมหาศาลเจาะเข้าไปในสมองของนาง

“จดจำไว้ ผู้บำเพ็ญเพียรสตรีร่างอินแท้ เป็นเตาหลอมที่ผู้บำเพ็ญเพียรบุรุษใฝ่ฝันเสาะหา หากไม่สามารถปิดบังร่าง อย่าได้เหยียบย่างเข้าไปในโลกบำเพ็ญเซียน!”

……………………………………

แปลศัพท์เทพเซียนแล้วปวดตับมาก ไม่รู้ใช่คำผิด ๆ ถูก ๆ บ้างรึเปล่า ใครอ่านแล้วรู้สึกว่าคำไหนน่าจะเป็นอะไรมากกว่าก็ทักมาได้เลยนะคะ……

ตอนที่ 4 – ฟื้น