ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้วหลังจากเปิดเรียน ตอนนี้ฉันกำลังนั่งฟังเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาบ่นเรื่องการบ้านอยู่

           แม้จะเพิ่งเริ่มเรียนสัปดาห์แรก แต่อาจารย์ก็สอนกันจัดเต็มทุกวิชา สมแล้วที่เป็นโรงเรียนที่เด่นทั้งผลการเรียนและกิจกรรม ฉันเองก็พยายามอย่างหนักกว่าจะสอบเข้ามาที่นี่ได้

           คิดถึงเรื่องสอบ สายตาก็เหลือบไปมองอีกฟากของห้องเรียน โต๊ะริมหน้าต่างตัวหนึ่งตอนนี้กำลังถูกรุมล้อมไปด้วยกลุ่มนักเรียนหญิง ใจกลางกลุ่มมีนักเรียนชายอยู่ 3 คน แต่ที่โดดเด่นเห็นชัดคงเป็นคนที่ย้อมผมสีสว่างนั่น

           นิโนะมิยะ เรียว 1 ใน 2 ของนักเรียนที่สอบเข้าด้วยคะแนนสูงสุด เป็นหนุ่มหล่อที่ดูอัธยาศัยดี และถ้าข่าวลือเกี่ยวกับเขาเป็นจริง คนๆ นี้น่าจะเก่งรอบด้านมาตั้งแต่มัธยมต้นแล้ว

           “พอมองดูแบบนี้แล้วก็หล่อจริงๆ นั่นแหละ” 

           “ว่าไงนะ โอโตเมะจัง” 

           “เอ๊ะ..ปะ..เปล่า” 

           “หืมมมม…” 

           อาโออิ เซริ เพื่อนสาวที่เพิ่งบ่นเรื่องการบ้านมองฉันสลับกับหันไปทางนิโนะมิยะ เรียว ก่อนจะยิ้มแบบมีเลศนัยมาที่ฉัน

           “นี่ โอโตเมะจังสนใจนิโนะมิยะคุงด้วยหรอเนี่ย ฮิๆๆ” 

           “เดี๋ยวซิ เสียงดังไปแล้ว” 

           “ฮ่าๆๆ เขินใหญ่เลย” 

           “โถ่เฮ๊ย แซวกันแบบนี้เป็นใครก็เขินทั้งนั้นแหละน่า เปลี่ยนเรื่องๆ” 

           ฉันกลบเกลื่อนเพื่อนสาวแบบนั้น แล้วก็แอบมองนิโนะมิยะ แต่ปรากฏว่าหมอนั่นมองฉันอยู่แล้วยิ้มให้ฉันอีก ฮึมม..หล่อจริงๆ แหละ

                                                                  —

           คาบเรียนแรกเพิ่งหมดไปแต่ฉันรู้สึกเหมือนสมองตัวเองไหม้ไปแล้ว โชคดีที่คาบต่อไปเป็นวิชาพละ ฉันจึงมีเวลาพักสมองบ้าง ฉันกับอาโออิเดินไปเปลี่ยนชุดด้วยกันพร้อมๆ กับนักเรียนหญิงคนอื่นๆ โรงเรียนฮิบิยะมีห้องเปลี่ยนชุดให้พร้อมสรรพ ดีกว่าตอน ม.ต้น ที่พวกฉันต้องเปลี่ยนชุดในห้องเรียน

           ระหว่างเปลี่ยนชุดเพื่อนผู้หญิงในห้องก็ยังไม่วายพูดถึงนิโนะมิยะ ไม่ได้ตั้งใจแอบฟังหรอกนะ แต่ไหนๆ ก็ได้ยินแล้ว ขอฟังหน่อยก็แล้วกัน

           “นี่ๆ นิโนะมิยะคุงเนี่ยเล่นกีฬาเก่งจริงๆ หรอ?” 

           “เก่งซิ เพื่อนฉันที่จบ ม.ต้น ที่เดียวกับเขาพูดเองเลย หมอนั่นบอกว่านิโนะมิยะคุงเป็นเอชของชมรมกรีฑา แถมเก่งกีฬาทุกประเภทเลย” 

           “หูยย คนอะไรจะดีทุกอย่างขนาดนั้น ถ้าได้เป็นแฟนคงมีความสุขตายเลย” 

           ฉันฟังเสียงผู้หญิงพวกนั้น พลางนึกภาพนิโนะมิยะตอนกำลังวิ่งแข่งไปพลาง พอรู้สึกตัวก็อายตัวเองที่กำลังคิดถึงผู้ชายอยู่

           “หน้าแดงเชียว ไม่สบายหรือเปล่า?” 

           “อ๊ะ..เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก” 

           “คิดถึงนิโนะมิยะคุงอยู่ใช่ไหมล่ะ ฮิๆๆ” 

           “ไม่ใช่แล้วย่ะ” 

           ฉันตอบกลับแล้วทำหน้านิ่งกลบเกลื่อน ไม่ไหวแล้ว ยัยนี่มีพลังจิตอ่านใจได้หรือไงกันนะ

           วันนี้ฝนตก คาบเรียนพละจึงเรียนในโรงยิม ลูกวอลเลย์บอลถูกแจกจ่ายออกไปสองคนต่อหนึ่งลูก ฉันจับคู่กับอาโออิรับส่งบอลกันอยู่ริมสนามตามคำสั่งของอาจารย์

           “โอโตเมะ เธอชอบนิโนะมิยะคุงหรอ?” 

           อยู่ๆ อาโออิก็ถามฉันอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำฉันเสียสมาธิจนรับบอลพลาดกระเด็นไปไกล

           “จะบ้าหรอ อยู่ดีๆ ถามอะไรเนี่ย ถ้าคนอื่นเข้าใจผิดจะทำยังไง” 

           “อิๆ ไม่เห็นเป็นไรเลยของแบบนี้ออกตัวก่อนได้เปรียบนะ

           “ไม่ไหวหรอก ฉันไม่กล้าไปสู้กับผู้หญิงสวยๆ พวกนั้นหรอก เธอไม่เห็นหรอไง” 

           “นั่นไง ยอมรับแล้วซินะว่าชอบนิโนะมิยะคุงน่ะ ฮิๆๆ” 

           อึกก..พลาดจนได้ พอรู้ตัวฉันก็รีบกลบเกลื่อนทันที

           “ปลื้มเหอะ แค่ปลื้มเฉยๆ เข้าใจไหม” 

           พูดไปแบบนั้นแล้วกะจะหนีไปเก็บลูกบอลที่กระดอนไปเมื่อกี้ แต่ทันทีที่หันหลังไปก็เจอภาพที่ทำฉันใจเต้นจนแทบกระดอนออกมาจากหน้าอก

           นิโนะมิยะ เรียว หนุ่มหล่อคนนั้นยืนถือลูกบอลยื่นมาให้ฉันพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

           [‘ตายๆๆ ตายแน่ เขาได้ยินอะไรไปบ้างเนี่ย?’] 

           เสียงหัวใจเต้นรัวดังซะจนไม่ได้ยินเสียงอื่น ฉันพยายามเก๊กหน้านิ่งสุดชีวิต ยื่นมือไปรับบอลที่นิโนะมิยะส่งมาให้

           “ระวัง!!” 

           อึก!?

           เหมือนจะได้ยินเสียงคนร้องเตือนอะไรสักอย่างแต่ว่าไม่ทันแล้ว ลูกวอลเลย์บอลอัดเข้าที่หัวฉันเต็มๆ จนเซล้มไปนั่งกองกับพื้น

           มึน… นั่นคือความรู้สึกแรก เงยหน้าขึ้นมาก็เจอนิโนะมิจะอยู่ตรงหน้า เหมือนจะถามอะไรสักอย่างแต่ฉันยังงงๆ อยู่ แล้วอาโออิกับคนอื่นๆ ก็เข้ามารุมถามอาการ ตัวต้นเหตุก็มาขอโทษขอโพยยกใหญ่ สุดท้ายอาจารย์ก็เข้ามาสั่งให้แยกย้ายกันไป

           นิโนะมิยะอาสาพาฉันไปห้องพยาบาล ตัวฉันที่มึนๆ งงๆ ก็เดินไปจนถึงห้องพยาบาลโดยมีเขาคอยเดินอยู่ข้างๆ

           ถึงแล้วมิโนะมิยะก็ขอตัวกลับ เวลานั้นเองที่ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าเดินมากับเขาสองต่อสอง พอรู้ตัวแก้มก็ร้อนผ่าวทันที ใจเต้นรัวอีกแล้ว

           [‘ทำไงดี เขาจะกลับแล้ว’] 

           “เอ่อ..มิโนะมิยะคุง” 

           “หืม?” 

           [‘หันมาแล้ว เขาหันมาแล้ว เอาไงดี ต้องพูด พะ..พูดอะไรดี’] สมองฉันดูเหมือนจะลัดวงจรไปชั่วขณะ อึกอักอยู่พักใหญ่สุดท้ายก็นึกอะไรไม่ออก

           “ขอบคุณนะ” พูดแค่นั้นแล้วก้มหัวลงไม่กล้าสบตามิโนะมิยะ นี่ฉันเขินอะไรกันเนี่ย

           “ด้วยความยินดีครับ” มิโนะมิยะตอบพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ ฉันเงยหน้ามองก็เห็นเขากำลังยิ้ม

           “พักผ่อนเยอะๆ ล่ะ ถ้าไม่ดีก็นอนพักยาวๆ เลย เดี๋ยวผมแจ้งอาจารย์ให้” 

           “อะ..อะ อื้ม” 

           “งั้นผมไปละนะ ไว้เจอกัน” 

           มองมิโนะมิยะกลับออกไปเสร็จ ฉันก็มานั่งรออาจารย์ห้องพยาบาลคนเดียว

           [‘ใจเต้นตึกตักไปหมดเลย นี่ฉันชอบนิโนะมิยะจริงๆ หรอ ยัยบ้าอาโออิเล่นพูดกรอกหูจนไขว้เขวหมดแล้วเนี่ย แค่ปลื้มเหอะ ปลื้มคนหล่อเป็นเรื่องปกติ ใช่ มันต้องแบบนี้แน่ๆ แค่ปลื้มเฉยๆ’] 

           ฉันจัดระเบียบความคิดตัวเองไปพลาง รออาจารย์ไปพลาง สุดท้ายจนออดดังอาจารย์ก็ยังไม่มา ฉันเลยถือวิสาสะปีนขึ้นเตียงไปนอนพักเอาเอง

                                                                  —

           ฉันตื่นขึ้นมาตอนพักกลางวัน ความจริงก็คืออาโออิเป็นคนมาปลุกฉัน และมันก็ทำให้ฉันตกใจมาก

           “ฉันหลับไป 2 ชั่วโมง!?” 

           “ใช่ เพื่อนในห้องก็เป็นห่วงเธอนะ อาซาวะคุงที่ตีบอลมาโดนเธอนั่งไม่ติดต้องมาขอให้ฉันมาดูอาการเธอเนี่ย แล้วเป็นไงบ้าง” 

           “อืมม ดีขึ้นแล้ว แค่ยังเบลอๆ เพราะเพิ่งตื่นน่ะ” 

           “ไม่ๆ หมายถึงกับนิโนะมิยะคุงน่ะ เป็นไงบ้างแล้ว” 

           เพื่อนสาวตัวดีของฉันยิงคำถามไม่คาดคิดมาแบบไม่ทันตั้งตัวอีกแล้ว

           “อะไร? เป็นไง?” 

           ฉันเก็บอาการสุดฤทธิ์ ตอบไปแบบหน้าตาย ไม่ยอมเสียท่าแม่นี่อีกรอบแน่

           “โถ่ อุตส่าห์มีโอกาสอ้อนทำคะแนนทั้งที ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะเนี่ย” 

           “อะ..อ้อน อ้อนอะไรของเธอ” 

           อาโออิยังคงแซวฉันไม่เลิกจนอาจารย์ห้องพยาบาลมาไล่เราทั้งคู่ออกมา โชคดีที่ยังพอมีเวลาเหลือก่อนจะเข้าเรียนคาบบ่าย ฉันจึงยังมีเวลากินข้าวกลางวันของตัวเอง

           ตั้งแต่ที่พี่มาเช่าบ้านอยู่ใกล้ๆ โรงเรียน ฉันก็ขอพ่อกับแม่มาอยู่กับพี่เพราะเดินทางมาโรงเรียนได้ง่าย เดินแค่ 15 นาทีก็ถึงแล้ว ทำให้ฉันไม่ต้องรีบร้อนในตอนเช้าแม้ว่าจะทำข้าวกล่องมากินเองก็ตาม

           “นี่โอโตเมะทำเองหรอ?” 

           อาโออิถามฉันตอนที่เห็นข้าวกล่อง

           “ใช่ ทำไมหรอ?” 

           “เก่งจัง ทำอาหารเป็นด้วย ฉันอยากทำเป็นบ้างจัง” 

           “อาโออิก็ลองฝึกทำซิ ฉันทำได้ เธอก็ทำได้” 

           ฉันให้กำลังใจเธอแล้วก็กินข้าวของตัวเองต่อ เรานั่งกินข้าวกันไปคุยกันไป ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีไอน้ำเกาะอยู่ ข้างนอกยังมีฝนตกปรอยๆ ท้องฟ้าครึ้มดูอึมครึมน่าอึดอัด

           ฉันไม่ได้เกลียดฝนหรอกนะ เอาจริงๆ ฉันค่อนข้างชอบเวลาฝนตกด้วยซ้ำไป บรรยากาศที่ดูสงบและเสียงฝนที่ตกลงมาช่วยให้ฉันมีสมาธิอย่างน่าประหลาดแต่ฝนในช่วงนี้ให้บรรยากาศที่ชวนอึดอัด อาจเพราะยังไม่ใช่ฤดูฝนล่ะมั้งนะ

           “โอโตเมะอยากอยากได้น้ำอะไรไหม ฉันจะไปตู้กดน้ำหน่อย” 

           อาโออิถามฉันพร้อมกับลุกขึ้น ฉันหันกลับมามองเธอก่อนก้มมองเวลาบนโทรศัพท์

           [‘ใกล้ออดแล้ว ไปห้องน้ำดีกว่า’] 

           ฉันคิดขณะลุกขึ้นตามอาโออิบ้าง

           “ไม่ล่ะ เดี๋ยวฉันจะไปห้องน้ำหน่อย” 

           พวกเราแยกกันที่ระเบียงทางเดิน ระหว่างที่อยู่ในห้องน้ำก็ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ข้างนอก

           “นี่ ข่าวลือที่ว่านิโนะมิยะคุงคบกับคุณทาเคโนะอุจินี่จริงหรอ?” 

           “ไม่หรอกมั้ง ฉันได้ยินมาจากคนที่อยู่ห้องเดียวกับคุณทาเคโนะอุจิบอกมาว่าเธอยังไม่มีแฟนนะ เหมือนจะไม่ได้สนใจนิโนะมิยะคุงด้วย” 

           “เอ๋..จริงอ่ะ?” 

           “เห็นว่าทั้งสองคนจบ ม.ต้นจากซุนโคทั้งคู่ แถมมีข่าวลือว่าเธอคบกับเด็กซุนโคที่ไม่ใช่นิโนะมิยะคุงด้วย” 

           “เอ๊ะ..ยังไง เมื่อกี้ยังบอกว่าไม่มีแฟนอยู่เลย” 

           “ไม่รู้ซิ เรื่องพวกนี้ฉันก็ได้ยินมาอีกที ไม่รู้หรอกว่าเรื่องจริงเป็นแบบไหน แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เธอน่าจะไม่ได้สนใจนิโนะมิยะคุงละนะ” 

           “เธอมั่นใจได้ยังไง?” 

           “ก็คุณทาเคโนะอุจิพูดเองนินา ฉันไม่รู้หรอกนะว่าใครใจกล้าไปถามมา แต่เรื่องนี้รู้กันทั่วในห้อง 12 แหละ พวกผู้ชายห้องนั้นนี่ดี๊ด๊ากันใหญ่เชียว” 

           “ได้ยินแบบนี้ก็ค่อยสบายใจหน่อย ขืนมีคุณทาเคโนะอุจิเป็นคู่แข่ง มีหวังแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มแข่ง” 

           “อะไรกัน เธอเองก็คิดจะลงแข่งกับเขาด้วยหรอ? งานช้างเลยนะ แค่ในห้องเราอย่างเดียวก็มีคู่แข่ง 5-6 คนแล้ว” 

           “ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรนินา ถ้ามีโอกาสก็แค่อยากลองดูแค่นั้นเอง” 

           “พูดถึงโอกาสแล้วก็น่าอิจฉาคุณโอโตเมะนะ ได้นิโนะมิยะคุงพาไปห้องพยาบาลด้วย” 

           “นั่นซิน้า..ยังกับการ์ตูนเลิฟคอมงั้นแหละ” 

           เสียงพูดคุยดังห่างออกไปแล้ว ฉันที่อยู่ในห้องน้ำรอจนไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้วจึงค่อยออกมา ไม่ได้ตั้งใจแอบฟังแท้ๆ แต่กลับมีชื่อตัวเองโผล่มาในการสนทนาเมื่อครู่ซะงั้น

           [‘นิโนะมิยะนี่เป็นหนุ่มฮอตจริงๆ เลยนะ แต่ก็หล่อจริงๆ นั่นแหละ แถมเรียนเก่ง ความสามารถรอบตัว ถ้าได้เป็นแฟนจะพาเดินควงอวดคนทั้งโรงเรียนเลย’] 

           ฉันคิดไปเรื่อยเปื่อยขณะที่เช็ดมือและเดินออกมาจากห้องน้ำ

           “อ้าว คุณโอโตเมะ อาการดีขึ้นแล้วหรือยัง?” 

           ฉันหันกลับไปมองเจ้าของเสียงทักที่ทำให้ใจเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เพิ่งจะคิดถึงเขาอยู่เมื่อกี้ตอนนี้มาเจอหน้ากันแล้ว รู้สึกมีพิรุธอย่างไรแปลกๆ

           “หน้าดูแดงๆ นะ หรือว่ามีไข้ด้วย?” 

           นิโนะมิยะก้มตัวลงมามองหน้าฉันด้วยแววตาสงสัย เขาสูงกว่าฉันประมาณหนึ่งช่วงศีรษะ ปกติเวลาคุยกับเขาฉันต้องเงยหน้าตลอด แต่ตอนนี้เขาก้มลงมาอยู่ในระดับเดียวกัน แถมใกล้กันแค่นี้เองด้วย

           “หล่อ..อุ๊บ” 

           “เอ๊ะ?” 

           นิโนะมิยะมองหน้าฉันเขม็ง เหมือนตำรวจกำลังจับพิรุธคนร้าย

           “เอ้ย เรียว จ้องหน้าผู้หญิงแบบนั้นมันเสียมารยาทนะ” 

           “เอ๊ะ จริงด้วย ขอโทษนะคุณโอโตเมะ พอดีเห็นคุณโอโตเมะหน้าแดงแถมยังพูดเสียงเบา เลยกังวลว่ายังไม่หายดีน่ะ” 

           พอโดนเพื่อนเตือน นิโนะมิยะก็รีบขอโทษฉันยกใหญ่ ส่วนฉันที่ตอนแรกยังหาทางลงไม่ได้ก็แอบถอนหายใจอยู่เงียบๆ ขอบคุณมากเลยนะคุณเพื่อนของนิโนะมิยะคุง คิดในใจแบบนั้นแล้วจึงตอบนิโนะมิยะกลับไป

           “ฉันหายดีแล้วล่ะนิโนมิยะคุง จริงๆ ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ขอบคุณนะที่เป็นห่วง” 

           “แต่หน้ายังแดงอยู่เลยนะ ไม่เป็นไรจริงๆ แน่นะ?” 

           “นี่แค่เขินน่ะ” 

           ตอบแล้วก็นึกได้ว่าพูดอะไรออกไป ความอายพุ่งปรี๊ด หน้าร้อนผ่าวรู้สึกเหมือนจะมีไอน้ำลอยออกมา

           “อะ..เอ่ออ..คือฉันหมายถึงว่าฉันไม่ชินน่ะ ปกติไม่เคยมีผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวเข้ามาใกล้ ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกนะ ไม่ต้องคิดมาก” 

           รัวคำอธิบายไปหนึ่งชุดย่อยเสร็จ ฉันก็หันหลังเดินกลับห้องเรียนทันที รู้สึกอายจนอยากจะให้มีรูอยู่บนระเบียงทางเดินเสียจริง จะได้มุดหนีไปจากตรงนี้ซะเลย

           คาบบ่ายจบไปอย่างรวดเร็ว ฉันพยายามตั้งใจเรียนแล้วแต่ไม่วายแอบชำเลืองมองนิโนะมิยะเป็นระยะ ดูท่าแล้วคงไม่ได้ติดใจอะไรกับท่าทางแปลกๆ ของฉัน

           ฉันหันเหความสนใจจากนิโนะมิยะไปเรื่องสภานักเรียนที่จะต้องยื่นใบสมัครในสัปดาห์นี้ โรงเรียนฮิบิยะแห่งนี้ว่ากันว่าเป็นเลิศทั้งการเรียนและกิจกรรม หลังจากเข้ามาเรียนได้หนึ่งสัปดาห์ ฉันคิดว่าตัวเองพอจะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร

           โรงเรียนฮิบิยะเข้มข้นด้านวิชาการค่อนข้างมาก และน่าจะมากขึ้นไปอีกในตอนปีสอง และปีสาม

           ได้ยินจากรุ่นพี่คาวากุจิว่าปีสองจะมีการแบ่งประเภทห้องเรียนตามที่นักเรียนสนใจ พูดง่ายๆ คือแบ่งตามสายที่นักเรียนสนใจจะไปเรียนต่อหรือประกอบอาชีพ

           ส่วนปีสามจะมีการปรับห้องจากปีสองอีกครั้งเพื่อความเข้มข้นที่มากขึ้น รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียนพวกรุ่นพี่ปีสามก็จะเข้าร่วมในฐานะผู้ชมและที่ปรึกษาเท่านั้น เหตุผลก็คือเพื่อให้พวกรุ่นพี่มีเวลากับการเรียนอย่างเต็มที่

           แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเรียนกันอย่างเดียว ทางโรงเรียนมีทางเลือกให้นักเรียนสายกิจกรรม และจัดห้องเรียนให้พวกเขาตามความสนใจเพื่อให้พวกเขาทำกิจกรรมได้เต็มที่

           ฉันบอกลาอาโออิก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปที่ห้องสภานักเรียน รุ่นพี่คาวากุจิเป็นประธานนักเรียนอยู่ในตอนนี้ แต่สิ้นเดือนก็จะมีการเลือกตั้งสภานักเรียนชุดใหม่ ถึงตอนนั้นรุ่นพี่ก็จะถอยไปเป็นที่ปรึกษา

           ตัวฉันนั้นอยากจะเป็นอย่างรุ่นพี่คาวากุจิ เธอเป็นผู้หญิงที่สวย เก่ง ฉลาด เพียบพร้อมไปหมด ยกเว้นเรื่องแฟนน่ะ

           แฟนของรุ่นพี่เป็นนักเรียนของโรงเรียนอาคิรุได โรงเรียนที่ขึ้นชื่อเรื่องการใช้ความรุนแรงและแหล่งรวมเด็กเกเรไม่เอาไหน

           ครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องแฟนหนุ่มของรุ่งพี่คือตอนที่เธอพาฉันกับเพื่อนอีกสองคนไปเลี้ยงขนมเป็นรางวัลที่สอบเข้าฮิบิยะได้ ความจริงพวกเรารู้จักกันตั้งแต่ ม.ต้น และฉันก็เคารพเทิดทูนเธอมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว

           แต่ทันทีที่ได้ยินเกี่ยวกับแฟนของรุ่นพี่ ฉันรู้สึกเหมือนสามัญสำนึกถูกทำลายไปเล็กน้อย

           -“รุ่นพี่ ที่โรงเรียนอนุญาตให้มีแฟนได้รึป่าวคะ?”-

           เพื่อนที่มาด้วยกันคนนึงถามรุ่นพี่คาวากุจิ

           -“ก็ไม่มีกฎห้ามนะ ขอแค่ไม่ผิดกฎหมายแล้วไม่ขัดกับการเรียน โรงเรียนก็แทบไม่ว่าอะไรเลย ถ้ามันไม่เกินเลยไปอ่ะนะ”-

           รุ่นพี่อธิบายด้วยท่าทางสบายๆ มือซ้ายถือแก้วชานมไข่มุกแกว่งไปมา

           -“แล้วรุ่นพี่คบกับใครอยู่ไหมคะ?”-

           คราวนี้เพื่อนอีกคนที่นั่งข้างๆ ถามบ้าง

           -“อืม ก็มีแหละ”-

           -““ “เอ๊!?… ” ””-

           พวกเราสามคนประสานเสียงกัน จากนั้นปฏิบัติการสอบถามเรื่องราวความรักของรุ่นพี่คาวากุจิก็เริ่มขึ้น

           รุ่นพี่ยกแก้วดูดชานมไข่มุก ปากขมุบขมิบคงเคี้ยวไข่มุกไปด้วยแน่ๆ แต่ก็ยอมตอบกลับมา

           “หมอนั่นเรียนอยู่อาคิรุไดน่ะ อายุเท่าฉันนี่แหละ จริงๆ เราเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันน่ะ บ้านอยู่ใกล้กัน เป็นคนหัวทึบนิดๆ แต่ก็เป็นคนดีคนนึงแหละ” 

           รุ่นพี่จบการรีวิวแฟนหนุ่มแค่นั้นแล้วก็กินชานมต่อ ส่วนฉันอึ้งตั้งแต่ได้ยินว่าเรียนอยู่อาคุรุไดแล้ว

           กำลังนึกย้อนอดีตไปเรื่อย ขาก็พาฉันมาถึงห้องสถานักเรียนแล้ว

           ฉันเคาะประตู รอจนได้ยินเสียงอนุญาตจึงค่อยเปิดประตูเข้าไป ในห้องยังมีคนอยู่กันหลายคน รุ่นพี่คาวากุจิก็อยู่ด้วย

           “มีอะไรหรอ?” ผู้หญิงคนนึงในนั้นถามฉัน น่าจะเป็นรุ่นพี่ปีสอง

           “มาส่งใบสมัครเข้าสภานักเรียนค่ะ” 

           โอ้วว…มีเสียงฮือฮาของพวกผู้ชายดังขึ้นในห้องทำเอาฉันตกใจ หรือว่าเราทำอะไรผิดนะ

           “เงียบหน่อย พวกนายทำเธอตกใจนะ” 

           รุ่นพี่คาวากุจิดุพวกผู้ชายที่ส่งเสียงแล้วลุกขึ้นมารับใบสมัครจากฉันส่งไปให้ผู้หญิงคนที่ถามฉันเมื่อตอนแรก

           “ฝากจัดการหน่อยนะเมย์ คนนี้รุ่นน้องฉันเอง ฉันรับรองคุณสมบัติ” 

           “ได้ค่ะประธาน” 

           รุ่นพี่ที่ชื่อเมย์รับเอกสารไปก่อนหันมายิ้มให้ฉัน

           “กลับพร้อมกันไหมโอโตเมะ?” 

           “เอ๊ะ!? ค่ะ” ฉันตอบรับคำชวนของรุ่นพี่คาวากุจิแบบงงๆ

           “อ้าวว.. โดดงานอีกแล้วหรอครับประธาน” 

           รุ่นพี่ในห้องนั้นคนนึงถามรุ่นพี่คาวากุจิ แต่ดูจากสีหน้าและน้ำเสียงแล้ว น่าจะเป็นการแซวกันเล่นมากกว่า

           “มันมีงานซะที่ไหน พวกนายก็รีบๆ กลับกันได้แล้ว อยู่นานมันเปลืองแอร์โรงเรียนเรียนนะ” 

           “ว่าแต่วันนี้ด่วนไปไหนครับประธาน?” 

           “เดต” 

           หลังรุ่นพี่ตอบว่า เดต คำเดียวสั้นๆ ในห้องก็มีเสียงแซวกันยกใหญ่ รุ่นพี่คาวากุจิแค่ยิ้มๆ แล้วเดินออกมา ฉันจึงหันไปก้มหัวให้คนในห้องเล็กน้อยแล้วรีบตามรุ่นพี่ออกไป

           “รุ่นพี่จะไปเดตหรอคะ? กับแฟนคนนั้นน่ะหรอ?” 

           ฉันถามรุ่นพี่ขณะที่เราเดินออกมาจากโรงเรียน

           “ใช่ แล้วหนนี้ก็ไม่ต้องตามมาล่ะ หนก่อนที่แอบตามฉันไปจนหลงทางเกือบจะกลับมาไม่ทันพิธีเปิดการศึกษานั่นเรายังไม่ได้เคลียร์กันนะ” 

           “อึก…ขอโทษค่ะ” 

           “ฉันรู้ว่าเธอเป็นห่วงฉัน แต่ไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างหมอนั่นก็คงไม่ปล่อยให้มีอะไรเกิดขึ้นกับฉันหรอก” 

           รุ่นพี่มองฉันแล้วก็ยิ้ม แล้วก็พูดต่อ

           “หมอนั่นปกป้องฉันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เวลาที่เราก่อเรื่องแย่ๆ หมอนั่นจะรับไว้คนเดียว ไม่เคยให้ฉันต้องรับผิดชอบอะไรเลย เป็นคนดีคนนึงเลยล่ะ” 

           ฉันเดินตามรุ่นพี่ ก้มหน้าฟังที่รุ่นพี่พูด

           “โอโตเมะคิดว่าคนในห้องสภาวันนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ?” 

           “เอ๊ะ?! เอ่อออ… ก็ดูเป็นกันเองดีค่ะ” 

           อยู่ๆ ก็ถูกถาม แถมเป็นคำถามที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้า ทำเอาฉันสับสนนิดๆ

           “ใช่ไหมล่ะ แล้วเหมือนกับที่คิดไว้ไหม?” 

           “แตกต่างนิดหน่อยล่ะมั้งคะ” 

           รุ่นพี่คาวากุจิหันมายิ้มให้ฉัน เป็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น

           “อย่าให้ความคิดคับแคบหรืออคติในใจมาบัดบังความจริงเอาได้นะโอโตเมะ ไม่งั้นเธออาจจะทำอะไรผิดพลาดจนต้องมานั่งเสียใจทีหลังก็ได้นะ” 

           หลังจากแยกกับรุ่นพี่ที่สถานีรถไฟ ฉันก็ตรงดิ่งกลับบ้านทันที แสงแดดอ่อนๆ สะท้อนกับผิวน้ำที่ขังอยู่ข้างทางเป็นประกายระยิบระยับ ดูสวยงามแต่ก็ควรอยู่ให้ห่าง ขืนรถขับผ่านแล้วน้ำกระเซ็นมาโดนคงมีสภาพเหมือนลูกหมาตกน้ำแน่ๆ

           กลับถึงบ้านฉันก็ตรงเข้าห้องเพื่อเปลี่ยนชุดและลงไปยังห้องนั่งเล่น ตอนนี้พี่ยังไม่กลับมา ไม่รู้จะกลับตอนไหน ยังไงลองถามก่อนดีกว่าว่าจะกินอะไรดี

           คิดแล้วก็ไม่รอช้า ฉันคว้าโทรศัพท์มาพิมพ์ข้อความถึงพี่สาว ไม่นานนักก็มีข้อความตอบกลับมา บอกว่ากลับดึกและให้หาอะไรกินไปก่อนเลย

           เงยหน้ามองนาฬิกาก็พบว่าเกือบหกโมงเย็นแล้ว ฉันลุกจากโซฟาหน้าทีวีเดินเข้าครัวเพื่อดูว่ามีอะไรให้ทำกินได้บ้าง

           เปิดตู้เย็นดูก็เจอกับวัตถุหลายอย่างที่พี่เตรียมไว้ พี่ฉันมักจะเตรียมของพวกนี้เอาไว้เสมอจนชักสงสัยแล้วว่าเอาเวลาที่ไหนไปซื้อมา

           ฉันหยิบวัตถุดิบที่ต้องการออกมา กะว่าจะทำเมนูง่ายๆ อย่างไข่ม้วน สลัด และซุปมิโซะ

           ใช้เวลาไม่นานนักอาหารเย็นของฉันก็พร้อมทาน วันนี้อยู่บ้านกินข้าวคนเดียว ฉันจึงยกข้าวมากินที่โต๊ะโดยไม่เช็ดโต๊ะก่อน ถ้าพี่รู้ล่ะก็โดนบ่นหูชาแน่ๆ

           ระหว่างกินข้าวก็ฟังเสียงรายการทีวีไปด้วย ปกติแล้วพี่มักจะกลับมากินข้าวพร้อมกัน แต่ช่วงนี้พี่งานยุ่งมากขึ้น สาเหตุที่ย้ายออกมาเช่าบ้านหลังนี้ก็เพื่อให้สะดวกกับการทำงานนั่นเอง

           “ทั้งที่เมื่อก่อนนั่งกินข้าวพร้อมกันสี่คนแท้ๆ การเป็นผู้ใหญ่เนี่ยลำบากจังนะ” 

           ฉันมองโต๊ะกินข้าวที่มีเพียงชุดชามข้าวของตนเอง รู้สึกว่าโต๊ะมันกว้างมากกว่าปกติ หรือจริงๆ แล้วแค่รู้สึกเหงากันนะ

           ฉันเก็บชามข้าวไปล้าง แล้วอุ่นโกโก้มาแก้วนึง ตั้งใจว่าจะปิดทีวีแล้วไปเตรียมบทเรียนสำหรับพรุ่งนี้ แต่กลับมีโทรศัพท์เข้ามาเสียก่อน

           “ว่าไง อาโออิจัง” 

           ฉันรับสายจากเพื่อนสาวพร้อมกับจิบโกโก้จากแก้วในมืออีกข้างนึง

           “จะอะไรซะอีกล่ะ ก็เรื่องนิโนะมิยะคุงไง วันนี้เธอได้คุยกับเขาอีกนินา คุยอะไรกัน รายงานฉันมาซะดีๆ นะ ฮิๆๆ” 

           [‘ไปรู้มาจากไหนเนี่ย’] 

           ฉันคิดในใจ ก่อนตอบเพื่อนสาวไปว่า

           “จะมีเรื่องอะไรล่ะ แค่บังเอิญเจอกัน นิโนะมิยะคุงเลยเข้ามาถามอาการนั่นแหละ” 

           “แค่นั้น?” 

           “แค่นั้นแหละ เธออยากให้มีอะไรอีกล่ะ?” 

           อาโออิหัวเราะคิกคัก แล้วเราสองคนก็เมาท์มอย เนื้อหาก็ไม่พ้นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่อาโออิชอบนักชอบหนา

           “นี่ โอโตเมะจัง เธอไม่สนใจนิโนะมิยะคุงจริงๆ หรอ?” 

           อยู่ๆ อาโออิก็ถามขึ้นมา แม้ฉันจะไม่ได้แปลกใจกับคำถาม แต่ก็ตกใจเหมือนกันที่อยู่ดีๆ ถูกถามขึ้นมา

           “อืมมม… เอาจริงๆ ฉันรู้สึกชอบนิโนะมิยะคุงอยู่เหมือนกันนะ แต่เป็นความชอบแบบที่เราชอบดาราน่ะ เรียกว่าปลื้มดีกว่ามั้ง แบบว่าหล่อจัง เท่จัง เก่งจัง อะไรแบบนี้น่ะ” 

           “ไม่อยากคบเป็นแฟนหรอ?” 

           ฉันคิดนิดนึงกับคำถามนี้ แล้วจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง

           “ตอนนี้ไม่มีความรู้สึกแบบนั้นนะ อนาคตยังไม่รู้ อย่างที่บอก ฉันไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยงกับความอิจฉาของผู้หญิงคนอื่นๆ หรอก” 

           “เธอนี่ล่ะน๊า ไม่กระตือรื้อร้นเอาซะเลย รู้ไหม ตอนนี้นอกจากคุณทาเคโนะอุจิแล้วก็มีเธอนี่แหละที่ถูกพูดถึงมากที่สุดว่าเป็นคนที่มีอะไรๆ กับนิโนะมิยะคุงน่ะ” 

           “ไหงเป็นงั้น!?” 

           “ก็เธอเป็นคนเดียวนิที่นิโนะมิยะคุงแสดงอาการเป็นห่วงออกมาให้เห็น แถมตั้งสองครั้งในวันเดียวด้วย สาวๆ คนอื่นนี่อยากจะขอเจ็บแทนเธอเลยล่ะ” 

           “อะไรกันล่ะนั้น ฮ่าๆๆ” 

           ฉันหัวเราะที่อาโออิพูดซะเว่อวังอลังการ ใครมันจะอยากเจ็บตัวแทนคนอื่นกัน เอ๊ะ..หรือว่ามีนะ

           “ฉันไม่ได้คิดกับนิโนะมิยะคุงในเชิงชู้สาวหรอก แต่ก็คิดเล่นๆ นะว่าถ้าได้เป็นแฟน จะควงเดินเล่นรอบโรงเรียนเลย” 

           “หาเรื่องอยากตายเพราะสายตาสาวๆ ในโรงเรียนหรือไงยะ ฮ่าๆๆๆ” 

           เราสองคนหัวเราะกับมุกตลกนั้นแล้วก็คุยกันอีกเล็กน้อย ก่อนว่างอาโออิขอให้เรียกเธอด้วยชื่อต้น เราจึงตกลงกันว่าจะเรียกกันด้วยชื่อต้นทั้งคู่

           และเพราะมัวแต่คุยกับอาโออิ โกโก้ที่อุ่นมาจึงหมดแล้ว ฉันปิดทีวีและเดินไปล้างแก้ว ก่อนจะเข้าห้องไปเตรียมบทเรียน

           “อายาเมะ ห้องน้ำว่างแล้วนะ” 

           พี่สาวเรียกฉันอยู่หน้าประตูห้อง ฉันเงยหน้ามองนาฬิกา เกือบเที่ยงคืนแล้วหรอเนี่ย คงเพราะมีสมาธิกับบทเรียน เลยไม่ได้ยินตอนพี่กลับมา

           “ค่า..” 

           ตอบกลับแล้วก็เก็บหนังสือและอุปกรณ์การเรียน เตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้

           พี่สาวเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้เสร็จสรรพ เห็นแล้วก็รู้สึกขอบคุณทุกครั้ง ทั้งที่เหนื่อยจากงานมาแท้ๆ ยังต้องมาดูแลกันอีก ฉันยิ้ม แล้วจัดการทำความสะอาดตัวเองก่อนลงไปแช่น้ำในอ่าง อุณหภูมิกำลังดีเลย

           แช่น้ำร้อนไป นึกขอบคุณพี่สาวไปเพลินๆ แต่แช่นานไปก็คงไม่ดี ผ่านไปประมาณ 10 นาที แล้วจึงลุกขึ้นปล่อยน้ำทิ้งแล้วก่อนออกจากห้องน้ำ

           พอเดินเข้าห้องนอนผิวกายที่อยู่นอกชายผ้าก็สัมผัสกับลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศ แม้จะสะท้านในตอนแรกแต่ก็รู้สึกดี ฉันรีบแต่งตัว ทาโลชั่นบำรุงผิว ก่อนจะปิดไฟแล้วเดินขึ้นเตียงนอน

           ก่อนนอนต้องไม่ลืมตั้งนาฬิกาปลุก แต่ถึงลืมเดี๋ยวพี่สาวก็มาเรียกอยู่ดี นึกถึงพี่สาวที่มักจะยิ้มให้ก็รู้สึกขอบคุณพี่สาวอีกครั้ง

           คิดไปคิดมาวันนี้รุ่นพี่คาวากุจิก็ยิ้มให้เหมือนกับพี่สาว เป็นรอยเหมือนเวลาที่พี่ยิ้มให้ฉันบ่อยๆ ตอนที่สอนการบ้านฉัน

           [‘อย่าให้ความคิดคับแคบหรืออคติในใจมาบัดบังความจริงเอาได้นะโอโตเมะ ไม่งั้นเธออาจจะทำอะไรผิดพลาดจนต้องมานั่งเสียใจทีหลัง งั้นหรอ’] 

           “ตั้งใจจะบอกว่าอย่ามองแค่ภายนอกซินะ” 

           สมองคิดตามคำพูดของรุ่นพี่คาวากุจิ แล้วก็นึกแอ่งน้ำขังริมทางวันนี้ มองผ่านๆ ก็สะท้อนแสงสวยดี แต่ถ้าไม่ระวังอาจจะเปียกเลอะเทอะเอาได้

           “หรือแค่อยากจะบอกว่าแฟนตัวเองก็มีด้านดีๆ กว่าที่ตาเห็นล่ะน่ะ ฮิๆๆ รุ่นพี่นี่อวยแฟนตัวเองชะมัด” 

           ฉันหลับตาเพื่อพักผ่อน ภาพเด็กหนุ่มในชุดกักคุรัน ใบหน้ามีรอยช้ำลอยขึ้นมาในห้วงความคิด

           -“นายจะบอกว่าตัวเองไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโรงเรียนที่ตัวเองเลือกเรียนต่อเนี่ยนะ หลอกเด็ก เด็กยังไม่เชื่อเลย”-

           -“ใช่ เพราะฉันไม่ได้เลือกเรียนต่อที่นี่ ที่ที่ฉันตั้งใจจะไปน่ะ… ”-

           [‘หมอนั่นเองก็เหมือนกันหรอ ตอนนั้นหมอนั่นตั้งใจจะพูดอะไรนะ ถ้าเจอกันอีกคงต้องตั้งใจมองให้ดีกว่าเดิมซะหน่อย’] 

           เสียงเครื่องปรับอากาศครางต่ำ ฉันหลับไปหลังจากคิดได้แบบนั้น