ติ๊ด..ติ๊ด..ติ๊ด….ปุบ
เสียงนาฬิกาปลุกระบบติจิตอลเครื่องเก่าสมัยอยู่กับแม่ดังอยู่ข้างหัวนอนปลุกผมให้ตื่นจากฝัน
ตอนนี้ตี 5 ดวงตาที่ยังไม่ปรับโฟกัสมองเห็นเพียงความมืดสลัวภายในห้อง หลังจากบิดขี้เกียจแล้วผมก็ลุกขึ้นเพื่อจัดการกับฟูกนอนของตัวเอง ลากขาพาสังขารที่ยังไม่ตื่นเต็มตาเข้าห้องน้ำทำภารกิจส่วนตัว
[‘หืมมม..ตาแฉะ?’]
ผมยืนมองคนในกระจกด้วยสายตางง ๆ พร้อมกับเอามือลูบหน้าตัวเอง แน่นอนว่าคนในกระจกก็ทำเหมือนผมเด๊ะๆ เลย
[‘นอนละเมอร้องไห้หรอ?’]
แล้วสมองก็พลันนึกถึงฝันก่อนที่นาฬิกาปลุกจะดังได้ คิดไปคิดมาก็ตั้ง 3 อาทิตย์นินา แต่สมองดันจำได้เป๊ะๆ ยังกับเพิ่งบอกกันเมื่อกี้นี่เอง
“ความจำดีเกินไปแล้ว เออิชิ”
ผมบอกตัวเองอย่างนั้น ขณะที่ยิ้มแหยๆ ให้คนในกระจก แล้วก็เริ่มล้างหน้า แปรงฟัน ทำภารกิจต่างๆ ให้เสร็จ เพราะไม่ต้องการให้สมองเอาเวลาไปคิดเรื่อยเปื่อย ที่สำคัญเลยคือผมไม่อยากไปเรียนวันแรกสายหรอกนะ
ใช่แล้วครับ วันนี้คือวันเปิดเทอมวันแรก และผมก็ไม่อยากพลาดพิธีวันเปิดการศึกษาตั้งแต่เป็นนักเรียนมัธยมปลายปี 1 ถึงจะมีข่าวลือหนาหูว่าโรงเรียนมัธยมปลายอาคิรุไดนั้นเป็นโรงเรียนที่มีแต่เด็กเกเร แต่ผมก็อยากจะเชื่อเหลือเกินว่ามันคงจะมีคนแบบผมหลงมาบ้างสักคน สองคน แน่นอนว่าต้องเป็นคนดีๆ น่ะนะ
เจ็ดโมงตรง ผมสวมผ้ากันเปื้อนเดินเข้าไปทำของกินง่ายๆ อย่างไข่ดาว แฮมทอด และขนมปัง 2 แผ่น ใช้เวลาเพียง 15 นาที ก็ได้มื้อเช้าพร้อมทานที่เอาจริงๆ ผมก็กินอย่างนี้มาเกือบ 4 ปีแล้วล่ะ
“ทานแล้วนะครับ”
ผมนั่งคนเดียว พูดคนเดียว และกินมื้อเช้าคนเดียว นี่เองก็ถือเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไปอีกอย่างเป็นที่เรียบร้อย ไม่ใช่ว่าผมอาศัยอยู่คนเดียวหรอกนะ ที่บ้านมีคุณปู่กับคุณย่าที่ไม่ค่อยจะสนใจผมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่เลี่ยงไม่ได้ต้องรับผมมาอยู่ด้วยหลังจากแม่เสียชีวิต และต้องคอยให้เงินผมใช้ ซึ่งก็คือเงินที่พ่อแม่ผมทิ้งไว้ให้นั่นแหละ
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าท่านทั้งสองจะไม่มีส่วนดีเอาเสียเลย เพราะอย่างน้อยผมก็ยังมีที่ซุกหัวนอน แถมกำลังจะเข้ามัธยมปลายวันนี้วันแรกด้วย ไม่มีการดุด่าว่าร้ายใดๆ ถ้าไม่นับสายตาที่มองมาจนสังเกตเจตนาได้น่ะนะ แถมเมื่อวานนี้คุณย่ายังเอาเอกสารราชการของตัวผมพร้อมของอื่นๆ อย่างพวกตราประทับหรือสมุดบัญชีมาให้ด้วย ก่อนออกจากห้องยังมองด้วยสายตาร้อนแรงแบบว่าออกไปจากบ้านฉันสักทีได้แล้ว
ผมใช้เวลากินอาหารเช้าแค่ประมาณ 10 นาที เพราะไม่อยากอยู่ในพื้นที่ส่วนรวมของบ้านนาน หลังจากเก็บจานไปล้าง ผมก็เดินเข้าห้องไปใส่ชุดนักเรียนเตรียมตัวออกเดินทาง
“ไปก่อนนะครับ”
เงียบ…
ไม่มีใครตอบกลับแต่ผมก็ไม่ได้สนใจนัก เป็นเรื่องปกติ ผมเองก็พูดไปตามมารยาท หันหลังเปิดประตูบ้านและเดินทางไปโรงเรียนทันที
บ้านปู่ย่าผมอยู่ห่างจากโรงเรียนไม่ไกลมาก สามารถเดินเท้าไปได้โดยใช้เวลาเพียงประมาณ 30 นาที แต่ถ้าขี้เกียจก็มีรถประจำทางที่จะมาถึงป้ายใกล้บ้านทุกๆ 10 นาที และนั่งรถไปอีก 10 นาที ก็ถึงป้ายหน้าโรงเรียนแล้ว สะดวกสบายใช้ได้เลย
พิธีเปิดการศึกษาจะเริ่มประมาณ 9 โมงเช้า ผมที่ออกจากบ้านตั้งแต่ 7 โมงครึ่ง จึงเลือกเดินสบายๆ ในเช้าที่อากาศดีๆ ไปโรงเรียน
อากาศเช้านี้กำลังอุ่นสบาย แต่ต้นไม้ใบหญ้ายังคงแห้งเหี่ยวไม่สดใสแม้จะใกล้ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว สวนสาธารณะที่มักจะเดินผ่านเวลาต้องไปขึ้นรถบัสเองก็เงียบเหงาเหมือนเคย ผมเคยเห็นเด็กเล็กๆ มาเล่นที่สวนสาธารณะแห่งนี้กันในตอนเย็นๆ แต่นี่ยังเช้าอยู่ พวกเด็กๆ คงอยู่บ้านกินข้าวกับครอบครัวกันพร้อมหน้าแน่ๆ ผมคิดแบบนั้นแล้วก็เผลอยิ้มออกมา
เดินไปเรื่อยๆ ผ่านป้ายรถบัสเลียบถนนที่ปกติผมไม่ได้ผ่านมาบ่อยนัก เอาจริงๆ ผมไม่เคยไปโรงเรียนด้วยการเดินเท้ามาก่อน ครั้งนี้จึงออกจะตื่นเต้นเล็กน้อย พร้อมกับคาดหวังว่าจะมีเรื่องเซอร์ไพร์แบบในการ์ตูนที่ผมอ่านบ้าง
คิดไปคิดมาก็เดินมาถึงหน้าสถานีรถไฟที่คนกำลังพลุกพล่านในชั่วโมงเร่งด่วน นี่ถือเป็นอีกหนึ่งขนส่งมวลชนที่อยู่ใกล้บ้านปู่ย่าผม แต่มันไม่ผ่านโรงเรียนผมโดยตรงนี่ซิที่น่าเสียดาย
ตอนที่กำลังเดินผ่านและมองเข้าไปในสถานีสายตาก็กวาดไปเห็นนักเรียน ม.ปลาย หญิงคนหนึ่ง กำลังยืนเก้ๆ กังๆ หันรีหันขวาง ก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในสถานี
[‘เครื่องแบบนั่น เด็กโรงเรียนมัธยมปลายฮิบิยะหรอ?’]
[‘มาทำอะไรแถวนี้นะ?’]
โรงเรียนมัธยมปลายฮิบิยะ โรงเรียนมัธยมปลายเอกชนอันดับหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องการเรียนการสอนที่เข้มข้น การันตรีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้มากกว่า 90% หลังเรียนจบ แน่นอนว่าการสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนนี้ก็โหดมหาหิน แต่ละปีเรียกได้ว่าคัดเอาหัวกะทิเข้ามาเน้นๆ กฎระเบียบในโรงเรียนเองก็มีความยืดหยุ่นสูงมาก ถ้าไม่ขัดกับการเรียนหรือกฎหมาย โรงเรียนก็แทบจะไม่ห้ามอะไรเลย แต่กลับไม่เคยมีปัญหาหรือเรื่องเสื่อมเสียใหญ่โตอะไร ถือเป็นอีกจุดเด่นของโรงเรียนมัธยมปลายฮิบิยะ
[‘ยัยนั่นเองก็คงเข้าเรียนที่นั่นตามที่ตั้งใจไว้ซินะ’]
—
ผมเดินมาถึงประตูโรงเรียนอาคิรุไดตอน 7.55 น. ใช้เวลาเดิน 25 นาที หลังจากมองดูจนแน่ใจว่ามาถูกที่ ผมก็เดินเข้าประตูโรงเรียนไป
ความรู้สึกแรกหลังจากมาถึงคือความกดดันแปลกๆ จากบรรดานักเรียนด้วยกัน สายตาที่มองมามีทั้งสงสัย ประเมินค่า หาเรื่อง และอีกหลายๆ แบบที่ผมบรรยายไม่ถูก จำนวนนักเรียนเองก็มีน้อย สังเกตดูแล้วส่วนใหญ่เป็นพวกปี 1 เหมือนผม มีพวกรุ่นพี่บ้างประปรายแต่ไม่ค่อยให้บรรยากาศเป็นมิตรออกมาเลย ผมจึงเลี่ยงๆ เดินดูรอบๆ โรงเรียนเพื่อรอเวลาพิธีเปิดการศึกษา
พิธีเปิดการศึกษาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เอาจริงๆ ผมรู้สึกว่าเร็วกว่าตอน ม.ต้น ซะอีก ผู้อำนวยการมาพูดปราศรัยอธิบายโน่น นี่ นั่น ซึ่งสังเกตดูแล้วไม่ค่อยมีใครสนใจฟังนักรวมถึงผมด้วย
หลังพิธีเปิดการศึกษาพวกนักเรียนถูกแยกย้ายไปตามห้องเรียน โดยมีอาจารย์ที่ปรึกษาพาไป ผมอยู่ห้อง 2 จากทั้งหมด 7 ห้อง มีอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นผู้ชายรูปร่างผอมสูง หน้าตาดูคงแก่เรียน แต่กลับแผ่บรรยากาศน่าอันตรายออกมา
“กฎ ระเบียบของโรงเรียนเขียนไว้ในเล่มคู่มือแล้ว หวังว่าครูคงไม่ต้องมานั่งย้ำเตือนซ้ำอีก อย่าไปเอาอย่างพวกรุ่นพี่ไม่ได้เรื่องของพวกเธอ ตั้งใจเรียนให้จบๆ โดยสวัสดิภาพซะ”
อาจารย์เคนทาโร่ หรือก็คืออาจารย์ที่ปรึกษาห้องผมกล่าวทิ้งท้ายก่อนออกจากห้องไป
[‘ไม่ต้องแนะนำตัวกันหรอ’]
ผมคิดในใจขณะมองไปรอบๆ หลังจากนี้ไม่มีการเรียนการสอน จะกลับเลยก็ได้ หรือจะอยู่ต่อก็ได้ ระหว่างสองจิตสองใจว่าจะเอาไงดี ก็ได้ยินเสียงจากข้างหลัง
“เฮ้ นายน่ะ”
หันไปก็เจอกับเด็กผู้ชายสามคนยืนมองมาที่ผม คนนึงตัวสูง น่าจะสูงกว่าผมอีก ย้อมผมสีสว่าง เจาะหูข้างนึงด้วย มาดนักเลงสุดๆ
อีกคนตัวเล็กกว่าคนแรก ผิวขาวซีดๆ น่าสูงสัก 170 ซม. ได้ ทำหน้านิ่งๆ มองมาที่ผมด้วยสายตาว่างเปล่า
คนสุดท้ายคือคนที่ทักนั่นเอง เขาตัวเล็กสุด แต่ดูสมส่วน มือที่ยกมาโบกทักทายนั่นดูใหญ่ไม่เข้ากับตัวเลย
“ฉันชื่อโคสุเกะ อามามิยะ โคสุเกะ” เขาแนะนำตัว
“หมอนั่นชื่ออาราตะ โมโมสุเกะ”
“โย่ว” คนตัวสูงผมทองตอบรับ
“ส่วนนี่ชื่อฟูจิชิมะ จิน”
อีกคนพยักหน้าให้ผมด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“นายล่ะ ชื่ออะไร”
คนที่แนะนำตัวว่าชื่อโคสุเกะหันมาถามผมหลังจากแนะนำตัวเสร็จ
“อาคิยามะ เออิชิ”
ผมตอบแล้วก็มองพวกเขาซ้ำอีกรอบ ดูจากท่าทางไม่น่าจะมาหาเรื่องอะไร คงจะทักทายกันปกติ
“นายสนใจไปโรงอาหารกับพวกเราไหม”
อามามิยะ โคสุเกะ ถามพร้อมกับยิ้มให้ผม ดูท่าหมอนี่จะอัธยาศัยดีน่าดู
“เอาซิ” ว่าแล้วผมก็ลุกขึ้น แล้วพวกเราสี่คนก็เดินออกจากห้องเรียนไปพร้อมกัน
—
“นี่เออิชิ นายจบ ม.ต้น จากที่ไหนหรอ” อามามิยะเริ่มซักประวัติผมตอนที่กำลังเดินไปโรงอาหาร
“ซุนโคน่ะ” ผมตอบกลับเรียบๆ ตายังมองไปรอบๆ ทางเดิน
“เห…โรงเรียนเอกชนซุนโคน่ะนะ” คราวนี้เป็นอาราตะ โมโมสุเกะที่ถามด้วยน้ำเสียงตกใจ
“นั่นมันโรงเรียนดังเลยนิ มีแต่เด็กเรียนทั้งนั้นไม่ใช่หรอ นายหลอกพวกเราป่าวเนี่ย” อามามิยะถามแบบคลางแคลงใจ ส่วนฟูจิชิมะมองผมด้วยสายตาเป็นประกายแปลกๆ
เห็นแบบนั้นผมก็ยิ้มเจื่อน
“ฉันจบที่นั่นจริงๆ แต่มีปัญหาต้องย้ายบ้านนะ เลยมาเรียนที่นี่”
พอตอบไปแบบนั้น ทั้งอามามิยะกับอาราตะก็ร้องอ้อออกมา ส่วนฟูจิชิมะยังคงทำหน้าตายเหมือนเดิม
“แล้วพวกอามามิยะล่ะ จบจากที่เดียวกันหรอ” ผมถามกลับไปบ้าง
“เรียกฉันโคสุเกะก็ได้ ฉันไม่ถือหรอก โมโมสุเกะกับจินก็ไม่ถือใช่มะ”
“อื้ม ไม่มีปัญหา”
ได้ยินอย่างนั้นผมก็พยักหน้า ใจก็คิดว่าเจ้าพวกนี้นิสัยง่ายๆ ดี
“ที่จริงฉันจบจากคิริวอินน่ะ ส่วนโมโมสุเกะกับจินจบจากโฮฮาคุ แต่พวกเราบ้านอยู่ใกล้กัน เลยเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
“อ่อ แล้วทำไมพวกนายถึงมาชวนฉันมาโรงอาหารด้วยกันล่ะ ปกติถ้ามีเพื่อนรวมกลุ่มอยู่แล้ว ก็ไม่ค่อยมีใครมาชวนคนนอกแบบนี้เท่าไรนะ”
ผมถามข้อสงสัยตั้งแต่แรกทันทีที่มีโอกาส แต่โคสุเกะเอียงคอแบบสงสัยว่าผมพูดอะไร จินก็มองผมแปลกๆ โมโมสุเกะจึงเป็นคนตอบคำถาม
“สมแล้วที่มาจากซุนโค นายไม่รู้ธรรมเนียมของที่นี่หรอ”
“ธรรมเนียม?”
“ใช่ ธรรมเนียมที่ว่าเด็กใหม่จะต้องเลือกเข้ากลุ่มรุ่นพี่ไง โรงเรียนเรามีอยู่หลายกลุ่มเลย แต่กลุ่มที่แข็งแกร่งจริงๆ มีแค่ 4 กลุ่ม”
“ทำไมฟังเหมือนกลุ่มนักเลงเลย”
ผมเอ่ยไปลอยๆ คราวนี้ทั้งสามคนมองผมเหมือนเห็นตัวประหลาด
“ก่อนเข้าเรียน นายรู้อะไรเกี่ยวโรงเรียนอาคิรุไดบ้างเนี่ย”
โคสุเกะถามผมด้วยสีหน้าจริงจัง ทำเอาผมรู้สึกตะงิดใจแปลกๆ
“ฉันไม่รู้อะไรมากหรอก ปู่ย่าเป็นคนจัดการให้ เอาจริงๆ ฉันเพิ่งย้ายมาเมืองนี้ได้ราวๆ เดือนเดียวเอง แต่ก็ได้ยินข่าวลือที่ไม่ค่อยดีมาบ้าง”
“งั้นฉันบอกนายเลยว่าข่าวลืออะไรที่นายได้ยินมานั่นเป็นเรื่องจริงเสีย 90%”
โมโมสุเกะพูดด้วยสีหน้าจริงจัง พร้อมกับสาธยายเกี่ยวกับโรงเรียนอาคิรุไดแห่งนี้ให้ผมฟัง
ผมก็ฟังไปเรื่อยๆ ใจก็คิดว่าพ่อหนุ่มมาดนักเลงคนนี้พูดเก่งดี แถมเรื่องที่เล่าก็เหมาะกับเขาด้วย กว่าจะจบก็พอดีกับที่ผมกินขนมปังคำสุดท้ายที่ซื้อมาจากโรงอาหารหมดพอดี
สรุปคร่าวๆ เรื่องราวเหมือนกับมังงะที่ผมชอบอ่าน ในโรงเรียนนี้นักเรียนไม่ชอบเรียนเท่าไร แถมมีพวกนักเลงหัวไม้อยู่เยอะ กลุ่มที่คุมโรงเรียนมี 4 กลุ่ม มีผู้นำอยู่ 4 คน รุ่นปัจจุบันนี้เรียกกันว่า 1 ราชา กับ 3 อสูรอะไรนี่แหละ เห็นว่าคนที่เป็นราชาแข็งแกร่งที่สุด ขนาดที่ว่าอีก 3 คน รุมแล้วก็ยังสู้ไม่ได้ ใช่คนจริงๆ ไหมเนี่ย
แต่สาระสำคัญ โมโมสุเกะบอกว่าพวกรุ่นพี่ที่นิสัยไม่ดีบางคนชอบมาหารุ่นน้องที่ไม่มีคนหนุนหลังไปเป็นเบ๊ พวกเขาเห็นผมดูเงอะๆงะๆ อยู่คนเดียวเลยลองเข้ามาชวนคุย เพราะถ้าได้พวกเพิ่มก็จะอุ่นใจมากขึ้น
โคสุเกะเสริมอีกว่าพวกเขามีรุ่นพี่ที่อยู่ในกลุ่มของ 1 ใน 3 อสูร คอยดูแล และส่วนใหญ่เด็กปีหนึ่งก็จะมีคนรู้จักในโรงเรียนอยู่แล้ว การอยู่เป็นกลุ่มย่อมดีกว่า
“แต่ฉันไม่มีคนหนุนหลังนะ ตัวคนเดียวเลย พวกนายมาอยู่กับฉันก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ”
หลังสรุปเรื่องราว ผมบอกกับพวกโคสุเกะไปแบบนั้น แต่แทนที่พวกนั้นจะเลิกสนใจผม ทั้งสามกลับมองมาที่ผมด้วยตาเป็นประกาย ไม่เว้นแม้แต่จินที่ปกติทำหน้าตายตลอดเวลา
“แฮะๆ เออิชิเพื่อนรัก นายจบจากซุนโคนิ โรงเรียนนั้นน่ะการันตีคุณภาพสมองคนที่เรียนได้เลยว่าต้องฉลาดนะ เพราะงั้น นายก็น่าจะฉลาดใช่ไหม” โคสุเกะพูดพร้อมกระพริบตาปริบๆ มองผมด้วยด้วยสายตาบ้องแบ๊ว ทำเอาผมขนลุก
“ใช่ๆ ในเมื่อนายหัวดี มาอยู่กับพวกพวกฉันที่หัวไม่ดีแต่มีคนหนุนหลัง แค่นี้ก็พอแล้ว วินๆ ทั้งสองฝ่ายใช่มะจิน”
“อืม ฉันเรียนไม่เก่ง แต่ก็อยากเรียนให้จบ ม.ปลาย โดยไม่ซ้ำชั้น ถ้านายติวให้ฉัน ฉันจะปกป้องนายเอง”
พวกโคสุเกะสามคนมองผมด้วยสายตาคาดหวัง เล่นเอาผมพูดไม่ออก ไม่รู้พวกเขาอ่านมังงะมากเกินไป หรือโรงเรียนนี้มันอันตรายขนาดนั้นจริงๆ กันแน่ แต่ดูท่าแล้วพวกเขาก็ไม่น่าใช่คนเลวร้ายอะไร ไหนๆ ผมก็ตัวคนเดียว เป็นเพื่อนกันไว้ก็ไม่เสีย ถ้ามีปัญหาอะไรค่อยแยกตัวออกมาก็ได้ คิดไปคิดมาก็ยิ้มแหยๆ ออกมา
“เอาซิ ถ้าพวกนายไม่รังเกียจ ก็มาเป็นเพื่อนกัน”
“มันต้องอย่างนี้ซิพวก”
โคสุเกะโอบคอผมอย่างสนิทสนม เล่นเอาตกใจเหมือนกัน แต่พอมองคนอื่นๆ ก็เห็นยิ้มให้ผม ดูเป็นรอยยิ้มง่ายๆ จริงใจ ไม่มีพิษมีภัย ผมจึงยิ้มตอบไปพร้อมกับคิดในใจ
[‘ขอให้เป็นคนง่ายๆ จริงใจกันจริงๆ ด้วยเถอะ’]
—
หลังได้เพื่อนใหม่และนั่งคุยกันประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็ตกลงแยกย้ายกันกลับบ้าน
พวกเรากลุ่ม F4 ชื่อที่โคสุเกะตั้งขึ้นมาแบบไม่ถามความเห็นใคร แยกกันที่หน้าประตูโรงเรียน ผมเดินกลับเหมือนตอนขามา ส่วนพวกโคสุเกะต้องขึ้นรถไฟอีกทางหนึ่งซึ่งต้องเดินไปราวๆ 15 นาที
พอแยกกันผมก็หยิบโทรศัพท์มาดูนาฬิกา เพิ่งจะเที่ยง ใจยังไม่อยากกลับบ้าน คิดแบบนั้นเลยตัดสินใจเดินเรื่อยเปื่อยออกนอกเส้นทางเดิม
[‘ถือโอกาสสำรวจที่ทางแถวโรงเรียนไปเลยแล้วกัน’]
ผมเปิดแผนที่ในโทรศัพท์ เลือกเส้นทางหนึ่งแบบสุ่ม และออกเดินทันที
อากาศตอนเที่ยงบวกกับชุดกักคุรันนี่ก็อุ่นเกินพอดี ผมปลดกระดุมเสื้อออกเพื่อรับลม แม้จะดูไม่เรียบร้อยผมก็ไม่สนใจ เพราะข่าวลือเสียๆ หายๆ ของนักเรียนที่นี่เยอะจนคนอื่นเหมารวมว่านักเรียนทุกคนเป็นเด็กเกเรไปแล้ว
“แค่เห็นใส่เครื่องแบบโรงเรียนอาคิรุไดก็โดนเหมาว่าเป็นเด็กไม่ดีซะแล้ว ปู่กับย่าต้องเกลียดเราขนาดไหนเนี่ย ถึงจัดการให้มาเรียนที่นี่”
ผมเดินบ่นไปเรื่อยพร้อมกับกินไอศกรีมที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อ
ตอนที่ข้ามสะพานก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันดังมาจากข้างล่าง พอชะโงกไปดูเพราะสงสัยก็เห็นนักเรียนอาคิรุได 7-8 คน ล้อมนักเรียนอาคิรุไดคนนึงไว้ ดูแล้วน่าจะเป็นพวกรุ่นพี่
[‘ทะเลาะกันหรอ แต่ไหงรุมคนๆ เดียวล่ะ?’]
จังหวะที่กำลังสงสัยอยู่ รุ่นพี่คนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาพอดี
“โอ้ว มารุ มาช้านะ นี่กะให้ฉันลุยเดี่ยวเลยรึไง ฮ่าๆๆ”
ไม่พูดเปล่า จังหวะที่อีก 7-8 คนที่ล้อมรุ่นพี่คนนั้นอยู่เงยหน้ามามองผม เจ้ารุ่นพี่ก็วิ่งขึ้นมาหาผมทันที
“เอ๊ะ?”
ตกใจได้แป๊บเดียว รุ่นพี่คนนั้นก็วิ่งมาถึงผมแล้ว ทำไมวิ่งเร็วได้ขนาดนั้นเนี่ย
เมื่อมองใกล้ๆ ถึงรู้ว่าเป็นปี 3 กำลังจะเอ่ยปากถามว่าใครคือมารุ พวกที่เหลือก็วิ่งตามมากันแล้ว
รุ่นพี่ปี 3 เห็นผมหน้าเหวอก็ไม่พูดอะไรมาก ยิ้มขำๆ ให้แล้วก็พูดคำที่ผมคิดอยู่เหมือนอ่านใจผมได้งั้นแหละ
“หนีเร็ว”
ผมหันหลังกลับทันที รุ่นพี่วิ่งนำข้ามสะพานที่ผมเดินมาเมื่อกี้ไปแล้ว
[‘บ้าเอ๊ย ทำไมเร็วนักนะ’]
วิ่งข้ามสะพานตามรุ่นพี่ไป พอเลี้ยวโค้งเพื่อจะเข้าสู่ถนนหลักก็เห็นรุ่นพี่ยืนเกาหัว ข้างหน้ามีผู้ชายสองคน ท่าทางจะเป็นหัวโจก ดูจากกระดุมเสื้อแล้วนี่ก็รุ่นพี่ปี 3 ด้านหลังสองคนนั้นมีคนอีก 6 คน น่าจะเป็นพวกปี 2 หันหลังกลับพวกที่วิ่งตามมาก็ตามมาถึงซะแล้ว
“หนีไม่รอดแล้วนาคาจิมะ ตำแหน่งราชาของนายน่ะ เดี๋ยวพวกฉันจะเป็นให้เอง”
1 ใน 2 คนที่ดูแล้วเป็นหัวโจ๊กพูดกับรุ่นพี่คนนั่น ท่าทางนั่นยังกับนักเลงยุค 90 ในหนังยังไงยังงั้น
“ไม่เอาน่านาคาซากิ นายก็รู้ว่าคนแค่นี้เอาฉันไม่ลงหรอก แถมวันนี้ฉันมีมารุมาด้วย นายคิดจะสู้กับฉันจริงๆ หรอ”
[‘โห รุ่นพี่ ปากดีเอาเรื่อง ว่าแต่ใครคือมารุ?’]
กำลังจะเอ่ยปากถาม คนที่ชื่อนาคาซากิก็ชิงพูดซะก่อน
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคน 10 คน กับพวกฉันอีก 2 คนจะล้มแกไม่ได้ ต่อให้แกมีผู้ช่วยก็เถอะ”
[‘เดี๋ยวนะ ผู้ช่วย? ใครช่วยใคร?’] ผมที่กำลังสับสนหันซ้ายหันขวาอยู่เพราะไม่เข้าใจที่พูดกัน แต่มั่นใจได้อย่างนึงว่าอีกเดี๋ยวเป็นเรื่องแน่ๆ
ยังไม่ทันพูดอะไร ผมก็ต้องรับเท้าของใครไม่รู้เข้าเต็มหลัง เล่นเอาหน้าคะมำ เงยหน้ามาก็เจออีกเท้าเหวี่ยงมาตรงหน้าแล้ว อารามทำอะไรไม่ทันผมยกแขนซ้ายกันหน้า กัดฟันแน่นเตรียมกับแรงกระแทก
พลัก!
ผมกลิ้งไปตามแรงเตะ ไม่มีเวลาให้คิดมาก สมองสั่งให้รีบลุกขึ้น ไม่งั้นตายแน่ ยืนขึ้นมาได้ก็เจอหมัดลอยมาแต่ไกล
“เชี่ยเอ๊ย”
สบถไปพร้อมกับหลบหมัดที่ลอยมา มือยื่นออกไปจับหน้าอีกฝ่ายดันกลับไปเต็มแรง
เหลือบตาไปมองรุ่นพี่ตัวปัญหา คิดว่าน่าจะโดนรุมยับ แต่กลับเห็นภาพตัวการ์ตูนมังงะนักเลงที่พระเอกใส่เดี่ยวกับตัวร้ายแบบ 1 ต่อ 10
[‘บ้า เก่งเกินไปแล้ว ไม่ได้ดีแค่ปากนี่หว่า’]
กำลังตกใจกับภาพราวกับมังงะอยู่ หางตาก็เห็นหมัดพุ่งเข้ามาอีก คราวนี้หลบไม่ทัน เล่นเอาหน้าหันไปเลย
แต่ใครจะไปยอมโดนฝ่ายเดียว จังหวะที่ยอมโดยก็ยื่นมือออกไปคว้าผมของอีกฝ่าย พอจับได้อีกมือก็เหนี่ยวคอฝ่ายตรงข้ามลงมาพร้อมกับเสยเข่าอัดหน้าเข้าให้เต็มๆ ตามด้วยลูกถีบเข้าหน้าท้องแบบไม่ออมแรง
ไม่มีเวลาให้พัก มีหมัดลอยมาอีกด้านทางซ้าย หนนี้มีสมาธิหลบได้ อาศัยแรงเฉื่อยของอีกฝ่ายเหนี่ยวแขนให้เสียหลักแล้วเตะตัดขาให้หน้าคะมำ ล้มแล้วก็ตามกระทืบซ้ำให้ลุกไม่ขึ้น
กระทืบได้สองที ก็คนมาถีบจากด้านหลัง หันไปเจออีกฝ่ายกรูกันเข้ามา 5 คน เหลือบมองทางรุ่นพี่เห็นฝ่ายนั้นซัดหมอบไป 6 คนแล้ว เหลือแค่หัวโจก 2 คน ที่ดูตึงมือ
หันกลับมาทางตัวเองก็เจอเท้าอีกแล้ว หลบเท้าแรกได้ก็เจอหมัดคนที่สอง ขนาดกัดฟันแล้วยังรู้สึกได้ถึงรสเลือดในปาก คนที่สามกับสี่เข้ามาพร้อมกัน เลยต้องถีบยันไว้คนนึงแต่ก็โดนอีกคนถีบกลับ ถึงจะจุกแต่ก็จับเท้าอีกฝ่ายได้
ถอยหลังลากขาอีกฝ่ายให้กางออกจนเสียหลักล้มลง แล้ววิ่งเข้าเสยเข่าเข้าที่หน้าจังๆ กะเอาให้หลับในทีเดียว แต่คนที่ห้าเข้ามาขวางไว้ แถมเตะตัดลำตัวเข้ามาอีกจึงต้องหลบออกมา
เจ้าคนที่สองก็ซ้ำหมัดมาอีก คราวนี้ผมตั้งใจกันหมัดแล้วพุ่งเข้าใส่ระยะประชิด สับศอกเต็มแรงเข้าที่กราม กะเอาคืนที่โดนหมัดจนได้เลือดไปเมื่อกี้
รู้สึกได้ว่าศอกนี้ไม่ฟันหักก็ต้องมีโยกกันบ้าง ยังไม่ทันได้ดูผลงานชัดเจนก็โดนถีบอีกแล้ว หนที่เท่าไรแล้วนะ ทำเอาเซถลาเกือบจะล้ม ดีที่คุณรุ่นพี่ตัวดีรับไว้ทัน หันไปมองข้างหลังก็เห็นอีกสองคนที่เป็นหัวโจกอยู่ในสภาพยับเยิน แต่ยังวิ่งเข้ามาหาโดยไม่ลดละ
“ไหวไหม มารุ ทนหน่อยนะ พวกนั้นจะถึงแล้ว”
[‘ใครจะถึง? แล้วใครคือมารุ?’] ยังไม่ทันถามผมกับรุ่นพี่ก็แยกกันหลบมือหลบเท้าที่ลอยมา ผมสวนกลับไปได้คนนึง อีกคนก็อัดผมกลับ ส่วนรุ่นพี่อัดไปสองคนแล้ว ตัวเองโดนแค่หมัดเดียว
ตอนที่กำลังคิดในใจว่าเมื่อไรจะจบสักที เสียงเฮดังลั่นก็ดังมาจากฝั่งถนนหลัก กลุ่มนักเรียนในเครื่องแบบกักคุรันไม่ติดกระดุม 7-8 คนวิ่งกรูกันเข้ามา
[‘อะไรอีกวะเนี่ย!?’]
เห็นภาพนั้นแล้วผมตะลึงคิดอะไรไม่ออกไปแวบนึง รุ่นพี่ที่สู้อยู่ข้างกันอัดอีกคนล้มลงแล้วเดินมาตบไหล่ผมพร้อมรอยยิ้มเจิดจ้า
“รอดแล้ว มารุ”
“…”
—
หลังจากเหตุการณ์เกือบถูกรุมกระทืบตาย และกลุ่มของนักเรียนที่มาทีหลังซึ่งรุ่นพี่นาคาจิมะบอกว่าเป็นคนที่มาขอติดตามตนช่วยเอาไว้ ผมก็ถูกรุ่นพี่ลากตัวออกมา
นาคาจิมะ ยูทากะ รุ่นพี่ปี 3 พี่ใหญ่แห่งโรงเรียนอาคิรุได เจ้าของตำแหน่งราชา หรือผู้แข็งแกร่งที่สุดในโรงเรียน ตอนนี้กำลังนั่งกลุ้ม ตัวสั่นอยู่หน้าผมที่ล้างหน้าล้างตา และเช็ดรอยเท้าบนเสื้อผ้าตัวเอง
“รุ่นพี่นาคาจิมะครับ รุ่นพี่เป็นราชาปกครองนักเลงในโรงเรียนอาคิรุไดจริงๆ หรอครับ”
ผมถามรุ่นพี่ด้วยความสงสัย ถึงจะเห็นฝีมือกับตา แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดี
“ห้ามเรียกฉันแบบนั้นนะมารุ”
“เออิชิครับ”
“นั่นแหละเออิชิ ราชงราชาอะไร ยังกับหลุดมาจากมังงะ น่าอายจะตาย”
“ผมก็คิดว่างั้นครับ เมื่อเช้าผมยังคิดอยู่เลยว่าการแบ่งก๊กแบ่งฝ่าย ยกพวกตีกันเพื่อขึ้นปกครองโรงเรียนเป็นเรื่องในมังงะ”
ผมพูดแล้วก็ยิ้มแหยๆ ให้รุ่นพี่
“แต่เมื่อกี้นี้ไม่ใช่แค่ตีกันเล่นๆ นะครับ มันอาชญากรรมแล้วนะ”
“อ่า ขอโทษด้วย ปกติเจ้าพวกนี้ไม่หาเรื่องใครมั่วซั่วหรอก ที่ทักนายไปตอนแรกก็แค่จะทำให้พวกนั้นสับสนเฉยๆ ต่อให้จับนายได้พอเห็นว่าเป็นปี 1 ก็คงแค่ซักถามแล้วปล่อยไปแบบทุกที”
“แบบทุกที?”
รุ่นพี่นาคาจิมะทำท่าทางหลุกหลิกหลบสายตาอ้อมแอ้มเสียงเบากลับมา
“จริงๆ ฉันไม่ชอบมีเรื่องหรอก แต่พวกนั้นมาหาเรื่องฉันเอง ก็แค่ป้องกันตัวเฉยๆ ไม่ได้ตั้งใจทำร้ายใครนะ”
“แล้วคนที่มาติดตามนั่นล่ะครับ”
คราวนี้รุ่นพี่ยิ้มแหยๆ กลับมาบ้าง
“นั่นน่ะ ตอนแรกๆ ก็รู้สึกว่าเท่ดีอยู่หรอก แต่หลังๆ พอเยอะเข้าก็ไม่ไหว พอบอกว่าให้แยกย้ายกันไปก็โวยวายกันใหญ่โต เล่นเอาฉันลำบากใจเหมือนกันนะ”
“อีกอย่างฉันก็ปี 3 แล้ว ต้องเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วย ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปต้องสอบเข้าไม่ได้แน่ๆ ถ้าสอบเข้าไม่ได้ต้องโดนมินามิทิ้งแน่เลย ทำไงดีล่ะมารุ”
“เออิชิครับ! อาคิยามะ เออิชิ”
“น่าๆ อย่าจริงจังนักเลย ว่าแต่กี่โมงแล้วล่ะมารุ”
เฮ้อออ…ผมถอนหายใจ พร้อมกับดูนาฬิกา
“บ่ายโมงสามสิบเจ็ดครับ”
“หืมมม…ฉิบหองแล้วมารุ ไปเร็ว เดี๋ยวไม่ทัน ขืนไปสายได้โดนฆ่าแน่” รุ่นพี่นาคาจิมะรีบลุกขึ้นออกวิ่ง มือนึงลากผมไปด้วย อีกมือยื่นถุงน้ำแข็งประคบเย็นมาให้ ไปเอามาจากไหนล่ะเนี่ย
หลังจากโดนลากมากว่า 15 นาที ตอนนี้ผมก็ยืนอยู่ในรถไฟกับรุ่นพี่ที่ดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไร
“เราจะไปไหนกันครับรุ่นพี่”
“บันโชวน่ะ”
“ห้างบันโชวที่อยู่อีกเมืองน่ะหรอครับ?”
“ใช่ๆ รู้จักด้วยหรอเนี่ย”
ต้องรู้จักอยู่แล้วซิ ห้างนั่นใหญ่ที่สุดในเมืองนั้นแล้ว สมัยก่อนพ่อกับแม่ก็พาไปออกจะบ่อย กี่ปีแล้วนะ
“แล้วจะไปทำอะไรกันที่นั่นล่ะครับ ต้องนั่งรถไฟเกือบชั่วโมงเลยนะครับ นัดใครไว้หรอครับ?”
“อื้ม นัดแฟนไว้น่ะ”
ได้คำตอบแบบนี้ทำเอาผมตาโตมองรุ่นพี่เหมือนเห็นสิ่งมหัศจรรย์ลำดับที่ 8 ของโลก แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อตอนล้างเนื้อล้างตัวเหมือนรุ่นพี่จะบ่นว่าจะถูกทิ้งถ้าเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้นินะ งั้นก็เข้าใจแล้ว
“ท่าทางจะเป็นคนน่ากลัวนะครับ”
“เสียมารยาท”
รุ่นพี่ดุผม เล่นเอาเกร็งขึ้นมาทันที คนๆ นี้ ตอนมีเรื่องยังกับเทพเจ้า โดนโกรธขึ้นมาทำไงล่ะเนี่ย ต้องขอโทษก่อน
“ขอโทษครับ”
“อื้มๆๆ มินามิน่ะใจดีนะ สวยด้วย เรียนก็เก่ง เป็นถึงประธานนักเรียนเชียวนะ”
ฟังรุ่นพี่นาคาจิมะอวยแฟนไปสักพักก็รู้สึกว่ารุ่นพี่ที่โหดขนาดล้มคนเกือบ 10 ได้ด้วยตัวคนเดียวนี่เป็นพวกคลั่งรักซินะ ถึงมาอวยแฟนตัวเองให้รุ่นน้องที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงสองชั่วโมงฟังได้เป็นวรรคเป็นเวร
“สรุปคือจะไปเดตซินะครับ”
“ก็ไม่เชิงเดตหรอก แค่นัดเจอกันปกติแหละ วันนี้ทั้งฉันทั้งยัยนั่นไม่มีเรียนบ่ายเหมือนกัน เลยว่าจะมาเจอกันน่ะ”
ฟังแล้วมันก็เดตหลังเลิกเรียนไม่ใช่รึไง ใจอยากจะเถียงไปแบบนั้นแต่ไม่กล้า ผมเลยเลี่ยงประเด็นไปอีกเรื่องที่สงสัยอยู่
“แล้วรุ่นพี่ลากผมมาด้วยทำไมล่ะครับ”
“ก็ฉันยังไม่ได้ขอบคุณที่นายช่วยฉันตอนมีเรื่องเลย”
[‘ผมช่วยตัวเองต่างหากล่ะครับ’]
ได้แต่คิดในใจแบบนั้น
“อีกอย่างมินามิไม่ชอบให้ฉันมีเรื่อง ถึงทุกครั้งจะเป็นการป้องกันตัว แต่ก็โดนบ่นทุกครั้งเลย คราวนี้มีนายมาด้วยจะได้ช่วยฉันอธิบายไง”
[‘นั่นคือจุดประสงค์หลักซินะครับ’]
ผมมองเห็นภาพอนาคตอันใกล้ของตัวเองลางๆ แล้ว
“แล้วฉันก็อยากแนะนำมารุกับมินามิด้วย นายเป็นคนแรกเลยนะที่ช่วยฉันทั้งที่ไม่รู้จักกันเลย คนก่อนๆ มีแต่วิ่งหนีหรือไม่ก็ยืนดูเฉยๆ ฉันดีใจมากเลยนะที่เจอนายวันนี้น่ะ”
รุ่นพี่ยิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มซื่อๆ ทำเอาผมรู้สึกผิดในใจแต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไร
“รุ่นพี่ครับ ผมชื่ออาคิยามะ เออิชิ ครับ”
“ฮ่าๆๆ รู้อยู่แล้วน่า”
รุ่นพี่หัวเราะดังลั่น เล่นเอาคนในขบวนหันมามอง ผมได้แต่ก้มหน้าประคบน้ำแข็งไปพลาง ฟังรุ่นพี่อวยแฟนตัวเองต่อไปพลาง
เพิ่งรู้จักกับรุ่นพี่นาคาจิมะได้ไม่ถึง 2 ชั่วโมง แต่กลับคุยกันได้อย่างสนิทใจ แถมยังยอมให้รุ่นพี่ลากไปลากมาอีก คิดแล้วก็แปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อย
[‘นี่เราเข้ากับคนอื่นง่ายขนาดนี้เลยหรอ’]
คิดไป ประคบน้ำแข็งที่หน้าไปพลาง รู้สึกร่างกายจะระบมขึ้นมานิดๆ แล้ว พรุ่งนี้ต้องระบมกว่านี้แน่เลย กลับบ้านไปจะโดนอะไรบ้างนะ
แวบนึงนึกกลัวจะโดนแม่บ่น แต่นึกได้ว่าตอนนี้อยู่กับปู่กับย่าแล้วก็โล่งใจ พวกท่านไม่น่าจะสนใจอะไร แค่ไม่ทำผิดกฎหมายก็คงไม่มีปัญหาแล้ว
[‘กลับบ้านตอนนี้ก็ไม่มีใครรออยู่ งั้นตามถือโอกาสตามรุ่นพี่ไปเที่ยวเลยแล้วกัน’]
—
เรามาถึงห้างบันโชวตอนสามโมงสิบห้านาที เลยเวลานัดมา 15 นาที รุ่นพี่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ขณะวิ่งไปที่จุดนัดพบ
ทันทีที่ผมตามมาถึงก็เห็นรุ่นพี่ผู้แข็งแกร่งดุจเทพเจ้าคนนั้นกำลังก้มหัวปลกๆ ให้เด็กนักเรียนหญิง ม.ปลายคนหนึ่ง
ความประทับใจแรกของผมต่อผู้หญิงคนนี้คือความสง่า ออร่าที่เธอแผ่ออกมาทำให้ผมรู้สึกว่าเธอมีบางอย่างคล้ายแม่ของผม
ผมเดินไปยืนหลังรุ่นพี่เล็กน้อย จังหวะนั้นรุ่นพี่ก็หันมาแนะนำผมกับแฟนสาวตัวเองทันที
“มินามิ นี่มารุ คนที่มาช่วยฉันตอนมีเรื่องเมื่อกี้นี้ ถ้าไม่ได้มารุนะ ฉันแย่แน่ๆ เลย”
รุ่นพี่จำชื่อผมได้จริงหรือเปล่าเนี่ย
“แล้วก็นี่มินามินะ แฟนฉันเอง เป็นไง เหมือนที่ฉันบอกใช่ไหมล่ะ”
รุ่นพี่แนะนำแฟนตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ ทำเอาผมรู้สึกเขินแทนเธอเลย
“สวัสดีครับ ผมอาคิยามะ เออิชิ ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
ผมแนะนำตัวเองใหม่อีกครั้งเพราะรุ่นพี่บอกชื่อผมไปผิดๆ
“สวัสดี ฉันคาวากุจิ มินามิ ปี 3 โรงเรียนมัธยมปลายฮิบิยะ ส่วนนี่รุ่นน้องฉัน อยู่ปี 1 โอโตเมะ อามายะ”
แฟนรุ่นพี่ตอบกลับมา และยังแนะนำรุ่นน้องที่มาด้วยกัน ซึ่งผมสังเกตเห็นตั้งแต่มาถึงแล้วแค่ไม่ได้มองละเอียดเท่าไรนัก
พอมองไปที่คุณโอโตเมะแบบชัดๆ ผมก็หรี่ตาเล็กน้อย ในหัวแวบภาพเด็กผู้หญิงที่วิ่งหายเข้าไปในสถานีรถไฟเมื่อเช้าขึ้นมา
“คุณคนที่สถานีรถไฟเมื่อเช้านี้นิ”
พอผมทักไปแบบนั้น เธอก็ทำตาโตมองผมแบบตื่นๆ อึกอักไม่พูดอะไร ทำเอาผมใจเสียเหมือนกัน
“มารุเคยเจอโอโตเมะจังด้วยหรอ”
รุ่นพี่นาคาจิมะหันมาถามผม แฟนรุ่นพี่คุณคาวากุจิก็มองมาด้วยสายตาสงสัย ผมจึงเล่าเรื่องที่เห็นเธอที่สถานีรถไฟในตอนเช้าให้ทั้งสองฟัง
รุ่นพี่นาคาจิมะไม่ติดใจอะไร ร้อง อ้อ คำเดียว ส่วนคุณคาวากุจิหันไปคุยกับคุณโอโตเมะสองสามคำก็หันกลับมา แต่สายตาคุณโอโตเมะที่มองมาที่ผมนี่ดูเคืองกันชัดๆ ท่าทางผมจะไปเหยียบกับระเบิดเข้าซะแล้ว
พูดคุยกันเล็กน้อยก็สรุปได้ว่ารุ่นพี่อยากจะเลี้ยงขอบคุณผมสักหน่อยเลยตัดสินใจพากันเข้าร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ เป็นร้านอาหารครอบครัวบรรยากาศสบายๆ
รุ่นพี่ทั้งสองให้ผมกับคุณโอโตเมะไปนั่งรอระหว่างที่ตัวเองไปสั่งอาหาร ถึงผมจะท้วงว่าเดี๋ยวสั่งเองแต่ก็ดูเหมือนจะไม่เข้าหูรุ่นพี่ จึงได้แต่ตามคุณโอโตเมะไปนั่งรอเงียบๆ
บรรยากาศในร้านค่อนข้างสบาย ผมนั่งมองซ้ายมองขวา ดูแล้วคนไม่เยอะมาก คงเพราะไม่ถึงช่วงเวลาครอบครัว
“นี่ นายน่ะ เป็นเด็กเกเรใช่ไหม?”
อยู่ดีๆ ก็ได้ยินคำถามที่ไม่คิดว่าจะได้ยินลอยมาจากข้างหน้า ผมนี่เกือบสำลักน้ำกันเลยทีเดียว แต่พอคิดดูอีกทีก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสักเท่าไร
ผมก้มมองชุดตัวเอง แล้วเอามือลูบหน้าที่เริ่มบวม ก่อนจะยิ้มเจื่อนมองคุณโอโตเมะ
[‘ดวงตาเธอสวยจังแฮะ’]
ผมคิดในใจก่อนจะตอบคำถามของเธอ
“ผมเป็นเด็กธรรมดาๆ นี่แหละครับ เรื่องที่เกิดวันนี้เป็นเหตุสุดวิสัย ผมแค่ผ่านไปตรงนั้นพอดี เลยโดนลากเข้าไปพัวพันด้วย”
“ใช่หรอ? โรงเรียนนายมีแต่นักเลงทั้งนั้น นายเองก็อาจจะเป็นนักเลงด้วยก็ได้ คนที่อ้างว่าเป็นแฟนรุ่นพี่นั่นก็ด้วย ดูยังไงก็นักเลงชัดๆ”
ได้ยินแบบนี้ผมก็รู้สึกเคืองนิดๆ นี่เธอเพิ่งเจอผมเมื่อสิบห้านาทีก่อนเองนะ
ผมมองหน้าเธอตรง พูดด้วยเสียงเรียบๆ
“แล้วแต่จะคิด ฉันไม่รู้หรอกว่าโรงเรียนฉันมันเป็นยังไง ฉันเองก็เพิ่งไปเรียนวันนี้วันแรก คงบอกอะไรเธอไม่ได้”
“นายจะบอกว่าตัวเองไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโรงเรียนที่ตัวเองเลือกเรียนต่อเนี่ยนะ หลอกเด็ก เด็กยังไม่เชื่อเลย”
“ใช่ เพราะฉันไม่ได้เลือกเรียนต่อที่นี่ ที่ที่ฉันตั้งใจจะไปน่ะ…”
“มาแล้ววววว..”
รุ่นพี่นาคาจิมะกับคุณคาวากุจิกลับมาพร้อมชุดอาหารสำหรับสี่คน ผมจึงจบบทสนทนากับคุณโอโตเมะแล้วรับถาดอาหารจากคุณคาวากุจิ
“ขอบใจนะ”
คุณคาวากุจิขอบใจผมและนั่งลงข้างคุณโอโตเมะ ส่วนรุ่นพี่นั่งข้างผม
เราสี่คนนั่งทานอาหารกันพร้อมกับคุยกันสัพเพเหระ ผมพูดคุยและตอบคำถามคุณคาวากุจินิดหน่อย ส่วนคุณโอโตเมะนั่งเงียบจนทานเสร็จ
หลังออกจากร้าน ผมขอแยกตัวกลับด้วยข้ออ้างไม่อยากเป็น กขค การเดตของพวกรุ่นพี่ ส่วนอีกเหตุผลคือไม่อยากอยู่ใกล้คุณโอโตเมะ ผมรู้สึกว่าเธอไม่ชอบผม และผมเองก็ไม่ชอบที่เธอพูดกับผมก่อนหน้านี้ด้วย
ผมแยกตัวออกมาคนเดียวและเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย สมัยก่อนมาที่นี่กับพ่อแม่บ่อย ตอนนั้นสนุกมาก ผมนึกถึงความทรงจำเหล่านั้นพร้อมกับเดินไปตามทางที่จำได้
หลายอย่างหายไป หลายอย่างยังอยู่ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป ผมเดินอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง ก็ตัดสินใจกลับบ้าน
ตอนมามีรุ่นพี่ชวนคุยตลอดเลยรู้สึกไม่นาน แต่ตอนกลับตัวคนเดียวก็รู้สึกว่านานเอาเรื่อง กว่าจะถึงบ้านก็เกือบสองทุ่ม
“กลับมาแล้วครับ”
ไร้เสียงตอบรับเหมือนทุกที ผมเดินเข้าห้องตัวเอง คิดว่าจะไม่กินข้าวเย็น เพราะยังอิ่มจากที่รุ่นพี่เลี้ยงอยู่ ตั้งใจว่าอาบน้ำเสร็จก็จะนอนเลย
สามทุ่มสิบห้า ผมจัดกระเป๋าหนังสือและเตรียมชุดนักเรียนสำหรับพรุ่งนี้ก่อนจะปิดไฟและล้มตัวนอนบนฟูกที่ปูไว้
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน แถมเป็นวันที่แสนยุ่งเหยิงเหมือนมังงะที่เคยอ่านไม่มีผิด จะว่าไปเมื่อเช้าก็ตื่นเต้นคิดอยากเจอเหตุการณ์เหมือนมังงะอยู่เลยนินา
คิดมาถึงตรงนี้ก็ขำตัวเอง แต่แอบเจ็บแผลที่หน้าเหมือนกัน จนต้องซี๊ดเบาๆ
[‘ช่างมันเถอะ ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป พรุ่งนี้ว่ากันใหม่’]
ผมหลับตาลงพร้อมกับเห็นภาพดวงตาที่เป็นประกายสวยงามคู่นั้นลอยขึ้นมา
[‘ถ้ามองมาด้วยสายตาที่เป็นมิตร จะสวยขนาดไหนนะ’]
ผมคิดแบบนั้นแล้วก็หลับไป