จุดเริ่มต้นนั้น เป็นเรื่องราวเดิม ๆ
หมู่บ้านของชาวนาที่อัตคัดขัดสนพลอยติดร่างแหจากความน่ากลัวของสงคราม ทั้งทรัพย์สิน ทั้งอาหาร ทั้งชีวิตต่างถูกพรากไป เหล่าชาวบ้านผู้หิวโหยจากผลเก็บเกี่ยวที่ไม่ดีติดต่อกันถูกบุกโดยผู้รุกรานอย่างไร้เมตตา
เสียงกรีดร้องและโหยหวนดังขึ้นทั่วทุกที่ในหมู่บ้าน จากนั้นก็เงียบไป
หลังจากย่ำยีจนสาแก่ใจก็จุดไฟเผาบ้านจนไม่เหลือสิ่งใด ครอบครัวที่หาช่องทางหนีถูกลูกธนูยิงเข้ากลางหลังและล้มลงกับพื้น
ในโลหกุมภีนี้ ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้นทั้งนั้น
ภายในเพลิงนรกที่ร้อนระอุนั้น
มีเด็กสาวผอมแห้งดวงตาว่างเปล่าคนหนึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ในกระท่อมเก่า ๆ
เธอไม่มีกำลังหรือแรงพอจะเคลื่อนไหว ครอบครัวของเด็กสาวพยายามหนีแต่แล้วก็ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม
เด็กสาวที่ไม่สามารถทำงานไร่ ไม่เพียงเป็นปัญหาต่อชาวบ้านเท่านั้น แต่ต่อครอบครัวของเธอด้วย ถูกมองว่าหากตาย ๆ ไปได้เสียยังเป็นเรื่องดี
เพราะอย่างนั้นจึงถูกทิ้งไว้แค่คนเดียวอยู่ในบ้าน และเป็นเหตุผลที่รอดจนถึงตอนนี้ด้วย ไม่มีใครหนีจากหมู่บ้านนี้ที่ถูกล้อมไว้ได้
การถอดใจ ความสิ้นหวัง ความเสียใจ ความโศกเศร้า ในหัวใจของเด็กสาวมีความรู้สึกอันหลากหลายผสมปนเปกัน
ทว่า มีเพียงอย่างเดียวที่เด็กสาวรู้สึกได้มากกว่า หนึ่งความปราถนาที่กลบทุกอย่าง
นั่นคือ ‘ท้องหิว’ ความปราถนาอันน่าเศร้าและน่าสมเพชที่ถูกเรียกได้ว่าเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์
ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้กินจนอิ่มท้อง ในพื้นดินแห้งแล้งนี้ไม่สามารถเก็บผลผลิตได้มากพอ ยิ่งกว่านั้นยังมีการเก็บภาษีแบบขูดรีดอีกด้วย คนหนุ่มถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ในหมู่บ้านจึงมีแต่คนสูงอายุ ผู้หญิง เด็ก และผู้พิการ อาหารที่มีเหลือน้อยนิดถูกมอบให้คนที่ทำงานได้ก่อน คนที่ออกไปล่า คนที่ทำงานไร่ คนที่คอยเลี้ยงเด็ก
เด็กสาวที่ไม่สามารถทำได้สักอย่างได้เพียงเศษอาหารเท่านั้น แต่แค่มีชีวิตอยู่รอดได้ก็ถือว่ามีความสุขแล้ว
เนื่องจากหมู่บ้านอื่นถึงขั้นเคยต้องฆ่าคนในหมู่บ้านเพื่อลดจำนวนปากท้องที่ต้องเลี้ยง
―เพราะอย่างนั้น แม้ตอนที่ผู้รุกรานเข้ามาในบ้าน เด็กสาวก็ยังไม่ขยับตัว แม้ตอนที่ผู้รุกรานยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มอันน่าสยอง เธอก็ไม่ได้เบือนหน้าหนี ทหารรูปร่างกำยำกดเธอลงกับพื้น แต่เธอก็ไม่ได้ปัดออก
แม้ยมทูตถือเคียวขนาดใหญ่กำลังจ้องมองลงมาเธอก็ไม่รู้สึกกลัว นั่นเป็นแค่ภาพหลอน หรือยมทูตตัวจริงกำลังรอเก็บเกี่ยววิญญาณอยู่กันแน่นะ
ยมทูตสวมผ้าคลุมและหน้ากากสีขาว แต่ว่าถึงจะมียมทูตน่ากลัวโผล่มา ความหิวของเธอก็ยังไม่ลดหายไปอยู่ดี
ภาพของยมทูตและชายที่กดเธอลงซ้อนทับกัน ดูเหมือนสายตาจะแย่ลงจริง ๆ เสียแล้ว
เมื่อโลกรอบตัวเริ่มที่จะเลือนไป เด็กสาวก็ได้พึมพำในหัวใจว่าหิวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เสื้อผ้าเก่า ๆ ของเด็กสาวถูกฉีกออก เด็กสาวไม่สนว่าจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้ห้องหิวอยู่ เธอหันมองรอบ ๆ เพื่อหาว่ามีอะไรให้กินบ้าง
เมื่อเห็นท่าทีอันแปลกประหลาดของเด็กสาว ทหารที่กดเธอลงจึงทำหน้าสงสัยออกมา เมื่อสายตาของเขาบรรจบกับเด็กสาว ชายคนนั้นก็ถอยกลับไปโดยไม่รู้ตัว ทหารผ่านศึกที่ฆ่าคนมานับไม่ถ้วนกำลังถูกกดดันอยู่
“กะ แก อะไรของ―”
“…..ร่อย”
“หะ หา!?”
“คุณ น่าอร่อย”
ขณะที่จ้องชายผู้ถูกยมทูตสิงสู่ สิ่งที่ปรากฏขึ้นในใจของเด็กสาวนั้นคือ
ขณะที่เบนริมฝีปากของตนอย่างเริงร่า สิ่งที่คิดอยู่ระหว่างขบฟันแน่นนั้นคือ
‘คอนุ่ม ๆ ของหมอนี่ น่าอร่อยสุด ๆ’ นั่นเอง
การแก่งแย่งชิงความเป็นใหญ่ในทวีปมุนโดโนโวระหว่างอาณาจักรยูซกับจักรวรรดิคีย์ลันด์อยู่ในจุดที่พร้อมจะเกิดการปะทุได้ทุกเมื่อ
จุดเริ่มต้นเกิดจากการที่เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไม่ดีในปริมาณมากเมื่อปีที่แล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่ของอาณาจักรยูซเป็นพื้นดินที่ไม่ดี
ส่งผลให้ต้องนำเข้าเสบียงอาหารจากประเทศอื่น
แต่ทว่า จู่ ๆ คู่ค้าอย่างสหพันธ์กลุ่มประเทศดอลแบคส์กลับคว่ำบาตรใส่
พร้อมกันนั้น จักรวรรดิคีย์ลันด์ก็ฉีกสนธิสัญญาเลิกสงครามฝ่ายเดียว
สหพันธ์นั้นเดิมทีเป็นแคว้นปกครองตนเองของอาณาจักรยูซ และถึงแม้จะมีการเลิกสงครามอยู่ แต่ที่ชายแดนของจักรวรรดิก็เกิดการปะทะกันบ่อย ๆ การที่อาณาจักรล่มจมไปนั้นมีแต่จะเป็นผลดีทั้งสิ้น ไม่ใช่ข้อเสียแต่อย่างใด เพื่อที่จะกำจัดอาณาจักรให้หายไปจากผืนแผ่นดิน ทั้งคู่จึงร่วมมือกันกดดันอาณาจักรโดยมุ่งหมายให้ล่มสลายจากภายใน
จากการคว่ำบาตรทำให้สถานการณ์การเงินของอาณาจักรอยู่ในจุดลำบาก ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเพิ่มการเก็บภาษีอย่างหนักกับประชาชน มีผู้คนจำนวนมากต้องหิวตายภายในอาณาเขตของอาณาจักร
จักรวรรดิได้ลงมือต่อโดยการมอบอำนาจให้เจ้าหญิงอัลทูร่า บุตรีผู้กำพร้าของพี่ชายของราชาองค์ปัจจุบันได้สำเร็จ
เธอได้รับการสนับสนุนทั้งด้านการเงิน กองกำลังทหาร และก่อตั้ง “กองกำลังปลดแอกนครหลวง” ขึ้น
ทางจักรวรรดิได้ส่งนายทหารหนุ่มคนหนึ่งไปเพื่อเป็นมันสมอง และแต่งตั้งเจ้าชายลำดับที่สองของจักรวรรดิเป็นพลโท
ซึ่งแน่นอนว่าในอนาคตเขาต้องได้สมรสกับเจ้าหญิงและเข้ายึดอาณาจักร
กองกำลังปลดแอกต้องการคนหนุนหลังอย่างเลี่ยงไม่ได้ และไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธความช่วยเหลือ พวกเขารู้ดีถึงอันตรายของการตกเป็นหุ่นเชิด แต่สำหรับพวกเขาที่แพ้ในศึกแก่งแย่งสืบทอดตำแหน่งและถูกกดขี่อย่างหนักหน่วง ราชาองค์ปัจจุบันนับเป็นศัตรูยิ่งเสียกว่าจักรวรรดิ
ในด้านจำนวน กองกำลังปลดแอกมีอยู่ราวสามหมื่นนาย ซึ่งไม่มากนัก
เดิมทีแล้วอาณาจักรไม่ได้สนใจ ถูกมองว่าจะขยี้เมื่อไหร่ก็ได้ ให้ความสำคัญไปกับการปะทะกับจักรวรรดิมากกว่า
แต่แล้วกองกำลังปลดแอกที่ตั้งมั่นอยู่ในฐาน “ป้อมปราการซัลวาดอร์” ก็ได้ขยายอำนาจไปเรื่อย ๆ เพิ่มกำลังคนจากผู้ที่ถูกอาณาจักรขูดรีดมาให้เข้าร่วม
นับวันจำนวนยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเมินไม่ได้ในที่สุด ผู้นำของอาณาจักรประเมินว่าถ้าปล่อยให้ขยายกำลังไปแบบนี้ต่อจะต้องกลายเป็นปัญหาแน่นอน
อาณาจักรจึงเริ่มลงมือในที่สุด รีดเอาทรัพย์จากผู้ที่จำเป็นต้องใช้ยิ่งกว่าเก่า และตัดสินใจส่งทหารออกไป
แนวรบหน้าแห่งอาณาจักรยูซ ปราสาทย่อยอันติกัว
ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพื้นที่ส่วนกลาง เป็นฐานหลักสำคัญที่สามารถสังเกตการณ์ชายเขตกับจักรรรดิได้อย่างดี ทางตอนเหนือจากตรงนี้คือป้อมปราการซัลวาดอร์ ที่มั่นหลักของกองกำลังปลดแอก กำแพงของอันติกัวได้รับการเสริมความทนทานโดยการทุ่มทุนการทหารไปมหาศาล และปราการอันแข็งแกร่งนี้ได้ป้องกันการโจมตีจากจักรวรรดิมานับครั้งไม่ถ้วน
ทหารเกณฑ์หน้าใหม่กว่าครึ่งถูกส่งมาที่นี่ เรียกทหารเลวก็คงไม่ผิดนัก
จากนี้จะมีตัวเลือกให้ตายระหว่างการปะทะ หนีทหารแล้วถูกประหาร หรืออยู่ให้รอดแล้วได้เงินแค่หยิบมือ
แน่นอนว่ามีคนประหลาดบางพวกที่สมัครใจเข้ามาเอง แต่ทหารส่วนมากเป็นชายหนุ่มที่ถูกบังคับมา
ท่ามกลางเหล่าทหารใหม่หน้าซีด มีหญิงสาวคนหนึ่งทำสีหน้ายิ้มแย้ม เอาขนมปังกับเนื้อตากแห้งยัดปากตัวเองอยู่ เธอคนนี้นับเป็นหนึ่งในพวกประหลาดที่ว่ามา
“เธอนี่ ยังทำท่ากินอร่อยเหมือนทุกทีเลยนะ ไอ้นั่นมันไม่ได้อร่อยขนาดนั้นนี่นา”
“อร่อยสิคะ ก็กินได้เยอะนี่นา เพราะทุกคนไม่ค่อยกินกัน”
“กินอิ่มก็เรื่องนึง แต่อร่อยหรือไม่อร่อยมันอีกเรื่องเลยต่างหาก ให้ตายสิ แปลกคนซะจริง”
ผู้บังคับหมวดที่ดูแลด้านทหารใหม่พึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจ แต่หญิงสาวก็ยกเครื่องดื่มขึ้นดื่มจนหมดในอึกเดียวโดยไม่สนแม้แต่น้อย
“ช่างเรื่องของชอบเชอร่าเขาเถอะครับ ก็เหมือนทุกทีนี่นา ที่สำคัญกว่านั้นนะผู้บังคับหมวด ข่าวลือนี่จริงรึเปล่าครับ”
นายทหารที่ยังไม่เคยออกรบถามด้วยความกังวล
“…..ข่าวลืออะไร”
ผู้บังคับหมวดถามกลับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เรื่องที่จะเริ่มบุกโจมตีพวกทหารกบฏแล้วไงครับ เหมือนจะมีพวกยศสูงมาด้วย”
พวกยศสูงที่ชายหนุ่มกล่าวออกมาคือพวกนายพลหรือพลเอกที่มีเหรียญตราติดเต็มอก มีทหารอารักขาระดับสูง มีทหารเสนาธิการ แล้วก็พลทหารติดไปไหนมาไหน
เป็นกองกำลังเสริมจากทางตะวันออกของเบลต้า และถ้ารวมกับทหารกองหนุนอันติกัวก็จะมีจำนวนราวหนึ่งแสนนายทีเดียว นับเป็นการเดินทัพขนาดใหญ่ที่ไม่มีมานานแล้ว
จำนวนมีมากพอ อุปกรณ์มีพอใช้ได้ ส่วนประสบการณ์นั้นคงไม่จำเป็นต้องบอกว่ามีต่ำ พวกทหารที่ถูก ๆ จับยัดมามีกว่าครึ่งของจำนวนทั้งหมด
“…..อา อีกไม่นานก็น่าจะมีคำสั่งมาแล้วล่ะ พวกเราเองก็ต้องเตรียมตัว ฝึกให้หนักก็ดี พวกแกจะรอดหรือตายก็ขึ้นอยู่กับที่ฝึกกันทุกวัน แล้วก็ดวงด้วยล่ะนะ”
“หวา ใช่จริงด้วย ผมยังไม่อยากตายนะ….”
“ขอบคุณสำหรับอาหารค่ะ”
เด็กสาวที่ชื่อเชอร่าประกบสองมือเข้าหากันด้วยความพึงพอใจ พอเห็นเช่นนั้น ชายหนุ่มก็อดที่จะบ่นไม่ได้
“เธอเนี่ยน้า อย่าเอาแต่กินอย่างเดียวสิ คิดถึงเรื่องในอนาคตสักหน่อยเถอะ ขนมปังหรือเนื้อในวันนี้ก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตในวันหน้าหรอกนะ”
“แต่สำหรับฉันขนมปังกับเนื้อในวันนี้สำคัญกว่านี่นา สำคัญกว่าที่ต้องนั่งฟังคุณบ่นด้วย”
“ยัยบ้าพูดพล่ามนี่!”
“แค่ยัยบ้าก็พอ”
“เฮ้ย พอได้แล้วทหารใหม่ เอ้า ถ้ากินเสร็จแล้วก็รีบกลับไปฝึกต่อซะ!”
หลังผู้บังคับหมวดตะโกนออกไป ทั้งสองคนก็ทำวันทยหัตถ์แล้ววิ่งกลับไปที่สนามฝึก
ชายหนุ่มนั่นเป็นแค่คนธรรมดา ถ้าโชคดีหน่อยก็ไม่ตาย ถ้าร้ายก็ไม่รอด เป็นแค่ทหารธรรมดาสำหรับใช้แล้วทิ้ง ไม่เหลือแม้แต่ชื่อไว้ในประวัติศาสตร์
ไม่ต้องบอกว่าทางเราก็ไม่ต่างกัน ที่รอดมาได้จนถึงตอนนี้ก็เพราะดวงทั้งนั้น
ผู้บังคับหมวดสูบบุหรี่ พ่นควันออกมาระคายตา
แต่ว่า เด็กหนูนั่น ไม่เข้าใจทหารหญิงที่อายุน้อยพอจะเรียกเด็กสาวคนนั้นเลย เป็นคนประหลาดที่พอสมัครเข้ามาในกองทัพด้วยตัวเอง
อายุราวสิบหกปีกระมัง บ้านเกิดเหมือนจะเป็นหมู่บ้านชาวนาที่ถูกพวกทหารกบฏบุก เหตุผลที่สมัครเข้าก็น่าหัวเราะ ‘เพื่อที่จะได้กินจนอิ่ม’ มีเหตุผลแค่ข้อเดียวที่รับเด็กสาวที่ถือดาบยังแทบไม่ได้แบบนี้เข้ามา
เพราะเธอมาพร้อมกับหัวของทหารกบฏสิบนายโดยเลือดท่วมไปทั้งตัว หัวกับหลักฐานยืนยันตัวตนของพวกมันถูกยัดมาอยู่ในกระสอบหนังขนาดใหญ่ แถมยังเอาธงของพวกที่เรียกตัวเองว่ากองกำลังปลดแอกมาด้วย
แน่นอนว่าน่าสงสัยอย่างมาก แต่ว่านี่เป็นมหาอาณาจักรที่พวกเราภูมิใจนี่นะ ตราบใดที่สามารถฆ่าศัตรูได้ก็ไม่มีปัญหา ทำให้เธอถูกรับเข้ามาในทันที
ตอนนั้นเหมือนจะมีเงินรางวัลเล็กน้อย ๆ เป็นรางวัลที่ฆ่าศัตรูได้ด้วย
แล้วชะตาก็พาเธอมาอยู่ใต้คำสั่งของหมวดนี้
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ชายที่ทำหน้าที่บัญชาหมวดนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจ
“ให้ตายสิ ไม่เข้าใจสักนิด รู้สึกลางไม่ค่อยดีเลยแฮะ”
ชายคนนั้นดูเคียวขนาดใหญ่ที่เด็กสาวใช้ฝึกแล้วก็อดถอนหายใจอีกรอบไม่ได้
ตอนที่ให้ดาบไปกลับใช้ไม่ได้เรื่อง แต่พอเป็นเคียวที่เอามาจากไหนไม่รู้กลับใช้ได้คล่องแคล่ว
ตอนที่เด็กสาวเข้าร่วมการฝึกครั้งแรก เขาบอกไปว่า ‘อย่าใช้ของที่มันเกินตัวเลย’ แล้วพยายามจะหยิบมา แต่ก็ทำเคียวตกเพราะน้ำหนักมหาศาลของมัน ต้องใช้ทหารถึงสองนายกว่าจะยกมันขึ้นมาได้ (อย่าว่าแต่จะเหวี่ยงเลย)
ทำไมเด็กสาวที่ดูผอมแห้งแบบนั้นถึงใช้เคียวได้สบาย ๆ ได้นั้นยังคงเป็นปริศนา แต่อย่างหนึ่งที่แน่ใจคือเธอใช้มันสู้ได้ดีกว่าดาบ เด็กสาวนั่นไม่มีฝีมือดาบเลยแม้แต่น้อย
ไม่มีทางอื่นนอกจากต้องยอมให้เป็นกรณีพิเศษ แต่สุดท้ายมันก็ดูเป็นอาวุธที่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ อยู่ดี สู้ระยะหอกไม่ได้ ด้านการฟันก็แพ้ดาบ ถึงจะดูดีแต่ก็ได้แค่นั้น
สาเหตุที่เราไม่ใช้เคียวในการรบจริงก็ง่าย ๆ เพราะมันไม่เหมาะสำหรับฆ่าคนนั่นเอง
แต่ว่า พอเห็นเด็กสาวทำหน้ายิ้มแย้ม กวาดเคียวไปมา ใช้ใบมีดแทงหุ่นฟางทะลุ ก็นึกถึงตัวตนหนึ่งที่ทุกคนต่างกลัว
ตัวตนประหลาดในชุดสีดำผู้ล่าวิญญาณมนุษย์ สัญลักษณ์แห่งโชคร้ายที่จะปรากฏยามใกล้ตาย
―ยมทูตนั่นเอง
“นี่เชอร่า เธอจะใช้เคียวนั่นสู้จริงเรอะ? ทั้งเทอะทะ ถือลำบาก ไม่ดีสักอย่าง ถึงเธอจะแรงเยอะสักเท่าไหร่ก็เถอะ”
ชายหนุ่มจากก่อนหน้านี้ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง แม้ปากจะเสียนิดหน่อยแต่จริง ๆ แล้วเป็นคนดี
“ช่วยไม่ได้นี่นา ดาบธรรมดาไม่เหมาะกับฉันเท่าไหร่ ถ้าเป็นอันนี้ฉัน “คุ้นชิน” กว่าน่ะ เพราะอะไรกันนะ”
เชอร่ายกเคียวขึ้นด้วยมือเดียวแล้วตัดหัวหุ่นฟางกระเด็นออกไป
ผมสีดำผสมน้ำตาลอ่อน ๆ ของเธอสั่นไหวไปมาตามแรง ไม่ยาว แต่ก็ไม่สั้น ผมของเธอยาวจนถึงบ่า เธอใช้มือซ้ายปัดผมออกด้วยท่าทีเหมือนรำคาญนิด ๆ
พอได้เห็นใกล้ ๆ ชายหนุ่มก็ส่ายหน้าซ้ายขวาด้วยใบหน้าตกตะลึง
“ให้ตายสิ ไปเอาของแบบนั้นมาจากไหนกันน่ะ? อย่าบอกนะว่าสั่งทำมา”
“เก็บได้น่ะ”
“อย่ามาโกหกน่า! ไอ้ของอันตรายอย่างนั้นมันจะตกอยู่ตามพื้นได้ยังไง!”
“ยังไงก็อยากจะรู้ให้ได้จริง ๆ เหรอ?”
“ถ้าเธอบอกก็จะฟัง ก็คุยเรื่องนี้กันแล้วนี่นา”
“…..คือจริง ๆ แล้วนะ”
จู่ ๆ เชอร่าก็ลดเสียงลงต่ำแล้วยิ้มอ่อน ๆ ออกมา ต่างไปจากตอนปกติอย่างสิ้นเชิง
พอเห็นท่าทางแบบนั้น ชายหนุ่มก็กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
“จะ จริง ๆ แล้ว?”
“―ฉัน เป็นยมทูตน่ะ”
เมื่อรู้ตัวว่าถูกหยอกเล่นด้วยคำกระซิบข้างหู ชายหนุ่มก็โวยวายออกมาด้วยหน้าแดงก่ำ
“ยัยบ้านี่! คนเขาอุตส่าห์ตั้งใจฟัง!”
“ไหน ๆ ก็บอกไปแล้ว ช่วยเลี้ยงขนมปังด้วยล่ะ ถ้ามีชีสด้วยยิ่งดีเลย สัญญาแล้วนะ”
เชอร่ายื่นมือออกไป แต่ก็ถูกปัดออก
“หนวกหู! หล่อนไปกินหญ้าเถอะ!”
ชายหนุ่มหันหลังกลับอย่างหัวเสียแล้วเดินไปหาหุ่นฟางตัวอื่น หลังมองเสร็จ เชอร่าก็กลับไปฝึกต่อ
“ถ้าเป็นหญ้าก็เคยกินหลายรอบแล้ว แต่ไม่อร่อยเลย ทั้งขม แถมกินแล้วไม่อิ่มอีก คนเราไม่ใช่วัวใช่ม้าสักหน่อย…….ของอร่อยที่สุดที่เคยกินมาคงเป็น”
“―ยมทูตเมื่อตอนนั้นล่ะมั้งนะ”
เธอเหวี่ยงเคียวลงจากด้านบน ฉีกหุ่นฟางออกเป็นสองส่วน
กองบัญชาการของทัพที่ 3 กองทัพอาณาจักรยูซ ใต้การบัญชาของพลเอกยัลเดอร์ ได้ตัดสินใจที่จะเริ่มลอบโจมตีทันทีที่ตกค่ำ การเดินทัพตอนกลางคืนมีความเสี่ยงสูง แถมยังมีโอกาสให้คนหนีทัพได้อีกด้วย
การลอบโจมตีนี้นำโดยกองทัพที่ประกอบไปด้วยนายทหารกว่าหนึ่งหมื่นนาย ภายใต้การนำของพลตรีจีร่า ผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นระดับสูงแห่งทัพที่ 3 แผนการคือการรวมกลุ่มกับทหารกองหนุนจากอันติกัว แล้วบุกโจมตีสถานที่เก็บเสบียงในพื้นที่ใกล้เคียงฐานทัพศัตรู
ถ้าปฏิบัติการนี้เป็นไปตามแผนย่อมต้องสร้างความเสียหายให้กองกำลังปลดแอกได้อย่างมากมายแน่นอน
แน่นอนว่าศัตรูเองก็ต้องคอยระวังตัวอยู่ด้วยเช่นกัน แต่ว่า ‘ถ้าเป็นกองทัพชั้นยอดของเราต้องจัดการได้แน่’ ยัลเดอร์ว่าไว้เช่นนั้น ทำให้เหล่าทหารชั้นสัญญาบัตรต่างโหวตเห็นชอบ และเริ่มการปฏิบัติการครั้งนี้ในที่สุด
―หมวดที่เชอร่าประจำอยู่ก็ได้รับเกียรติให้เข้าร่วมในการลอบโจมตีครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
แต่สำหรับทหารเหล่านี้ถือเป็นเรื่องอันโชคร้าย ถ้าสู้ก็ตาย เพราะคนที่ตายคือทหารที่มารวมกันพวกนี้
การลอบโจมตีมีขั้นตอนอยู่สองขั้น
พวกทหารเสนาธิการได้คาดการณ์ไว้ว่าหลังลอบโจมตีสำเร็จ พวกทหารกบฏต้องไล่ตามมาอย่างแน่นอน
ระหว่างทางที่ถูกไล่ตามมานั้นก็จะกระจายทัพที่ 3 ครึ่งหนึ่งคอยซุ่มโจมตีอยู่ในป่า
หลังจากนั้นก็เข้าล้อมศัตรูเอาไว้ ก่อนจัดการให้เหี้ยน
ถ้าแผนไปได้สวย ครั้งนี้จะถอนรากเจ้าพวกที่เรียกตัวเองว่ากองกำลังปลดแอกนครหลวงได้ภายในครั้งเดียว
“…..จะสำเร็จรึเปล่านะ ลอบโจมตีครั้งนี้ รู้สึกกังวลไงไม่รู้สิ”
“อือ ไม่รู้สิ แต่ฉันตั้งตารอคลังเก็บเสบียงอยู่นะ สถานที่เก็บอาหาร ต้องมีอาหารให้เลือกกินเพียบไม่ผิดแน่”
ชายหนุ่มที่สวมชุดเกราะคุณภาพต่ำกับเชอร่าเดินทัพระหว่างคุยกันเสียงเบา พื้นที่โดยรอบมืดสนิท การลอบโจมตีต้องไม่มีแสงไฟใด ๆ อย่างแน่นอน เหล่าทหารต่างกลั้นหายใจมุ่งหน้าผ่านป่าอันเงียบงัน
“…..ฉันคิดมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ในหัวเธอมีแต่เรื่องกินอย่างเดียวรึไง? มันต้องมีคิดอย่างอื่นบ้างสิ”
“ก็ใช่อยู่ อยากรู้มั้ย?”
“ให้ตาย อิจฉาความลั้ลล้าของเธอจริง ๆ …….ฉันน่ะนะ ได้แต่กลัว รู้สึกเหมือนว่าจะไม่ได้กลับบ้านอีกครั้งแล้ว ยังมีเรื่องที่อยากทำอีกตั้งหลายอย่าง ฉันกลัวที่จะตายจริง ๆ”
ชายหนุ่มกำหมัดแน่นเพื่อไม่ให้สั่น
เชอร่าหยิบถั่วคั่วออกมาจากกระเป๋าเล็ก ๆ แล้วโยนเข้าปาก รสฝาดแพร่กระจายไปทั่วปาก ไม่เข้ากับสภาพการณ์โดยรอบแม้แต่น้อย
“ถ้าตายไปก็ไม่ต้องกลัวก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ แค่นั้นก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว”
“…..ถ้าเธอตายก็คงหายหิวเหมือนกัน งั้นก็ดีแล้วสินะ คนตายหิวไม่เป็นนี่”
“ก็ใช่อยู่นะ”
“ใช่มั้ยล่ะ?”
“เฮ้ย เงียบหน่อย! เดี๋ยวศัตรูก็ได้ยินหรอก!”
หลังจากนึกในใจว่าผู้บังคับหมวดนั่นแหละเสียงดังที่สุด ทั้งสองก็มองหน้ากันแล้วเงียบไป
―เราเดินทัพกันมาหนึ่งชั่วโมงรึยังนะ หรือสองชั่วโมงแล้ว ทัพหน้าโจมตีไปแล้วรึยัง เดิมที เราจะลอบโจมตีโดยที่ไม่โดยจับได้ได้จริง ๆ หรือ?
ชายหนุ่มเดินหน้าไปโดยที่ถามคำถามกับตัวเองไปด้วย เขาพยายามทำให้เกิดเสียงน้อยที่สุดอยู่
และแล้วก็รู้คำตอบของคำถามก่อนหน้านี้ในทันที ไม่สิ ควรบอกว่าถูกทำให้รู้มากกว่า
‘―ไอ้พวกโง่จากอาณาจักร! พวกแกทุกคนต้องตายที่นี่!’
‘พลธนู เริ่มยิง! ฆ่าพวกมันซะ!’
ทันทีที่คำสั่งอันดุดันดังขึ้นมาก็มีไฟติดขึ้นมาระหว่างต้นไม้รอบ ๆ
พร้อมกันนั้น ลูกธนูเพลิงก็พุ่งตรงมาหากองทัพของอาณาจักร
“ศะ ศัตรู!! พวกกบฏมันดักซุ่มโจมตี!!”
“อะ อะไรกัน! มันอ่านแผนลอบโจมตีออกเรอะ! ถอย ถอย! ถอยทัพ!!”
จีร่า ผู้ที่เป็นคนนำทัพลอบโจมตี ให้คำสั่งมาพร้อมตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด การ ‘ลอบโจมตี’ คือการเล่นงานตอนที่ศัตรูไม่ทันระวังตัวและไล่ให้หนีไปจนอลหม่าน แต่เมื่อเป็นฝ่ายถูกซุ่มโจมตี ตำแหน่งที่อยู่ก็จะสลับกันแทน เป็นเหยื่อที่ถูกล่อออกมา ผู้บัญชาการต้องรีบสั่งจัดการรูปขบวนใหม่ให้ทันท่วงที มิฉะนั้น―
“ไฟลามเร็วไปแล้ว! ทะ ท่านครับ มีน้ำมันราดอยู่ด้วย! ฟะ ไฟลามไปทั่วป่าแล้ว!”
“รีบเปิดทางเร็วเข้า! ขืนเป็นแบบนี้ต่อตายกันหมดแน่!”
แผนลอบโจมตีถูกฝ่ายทหารกบฏรู้เข้าก่อน จึงมีการเทน้ำมันและฟางแห้งไว้ทั่วป่าที่เป็นเส้นทางเดินทัพ มีการระดมลูกธนูเพลิงจำนวนมากออกมา
กองทัพของจีร่าตกอยู่ในความวุ่นวาย ไม่มีอะไรที่ตนทำได้ มีแค่ถูกเผาจนตายอยู่ในป่า หรือหนีไปข้างนอกแล้วถูกข้าศึกเสียบตาย
ผู้บัญชาการผลตรีจีร่าเอาแต่ตวาดใส่ลูกน้องให้หาทางหนี แต่สุดท้ายแล้วก็ถูกสังหารโดยทหารของทัพกบฏ
บนใบหน้าของเขาไม่หลงเหลือความมั่นใจที่มีเต็มเปี่ยมเหมือนทุกทีแล้ว แต่เหมือนกับกำลังกรีดร้องว่า ‘ไม่อยากตาย’ อยู่
หมวดของเชอร่าที่ตามพวกเขาไปก็ถูกโอบล้อมด้วยเปลวเพลิงเช่นกัน ลูกธนูยังคงถูกยิงมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีช่องว่าง พลทหารในหมวดต่างก็ถูกฆ่าในการปะทะอันดุเดือด
ทหารที่เสียชีวิตไปนั้นเป็นคนรู้จักของเชอร่าเอง มีบางครั้งที่พวกเขาเลี้ยงขนมปังให้เชอร่า เธอหยิบเศษขนมปังเล็ก ๆ ที่อยู่ในกระเป๋าออกมา โยนเข้าปากแล้วเคี้ยว
การที่จะไม่มีคนเลี้ยงขนมแล้ว ช่างน่าเสียดายจริง ๆ
“ถ้าอยู่แบบนี้ต่อต้องโดนเผาทั้งเป็นแน่ เราต้องออกจากป่านี้ให้ได้สักทางนึง เตรียมตัวให้พร้อมซะ”
ผู้บังคับหมวดพูดกับทหารด้วยเสียงกระซิบ
“ตะ แต่ว่าผู้บังคับหมวด ข้างนอกก็ถูกล้อมไว้แล้วนี่ครับ”
“ถ้าถึงตอนนั้นก็ยอมรับว่าตัวเองโชคร้ายแล้วกัน ถ้าไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อก็ได้ ฉันจะไม่เอาเรื่องที่ฝ่าฝืนกฎยุทธวินัย แต่ว่ายืนยันได้เลยว่าพวกแกถูกเผาตายแน่…….พวกที่ยังมีใจสู้ก็ชักดาบออกมาซะ เราจะบุกพร้อมกันตอนที่ฉันให้สัญญาณ”
ผู้บังคับหมวดและทหารวัยหนุ่มสาวเตรียมพร้อมอาวุธของตัวเองแล้วหันไปมองที่ด้านขวา มองเห็นทุ่งหญ้าโล่งผ่านช่องระหว่างต้นไม้ ไม่มีศัตรูสักคนเดียว แต่แน่นอนว่ามีโอกาสสูงที่ศัตรูจะหมอบอยู่กับพื้น
ควันไฟ เสียงกรีดร้อง และเปลวเพลิงปะทุขึ้นที่ด้านหน้า ทหารทุกนายถูกบังคับให้ต้องเลือกในตอนนี้
อีกหมวดหนึ่งที่อยู่ข้างหลังส่งเสียงแปลก ๆ ออกมาแล้วกระโจนออกไปยังทุ่งราบ พร้อมกับตอนที่ผู้บังคับหมวดให้สัญญาณ
“เริ่มโจมตีได้!! บุกตรงไปเลย!!”
“อุว้ากกกกกกกกกกกกกกก!!!”
“ตรงไป ตรงเข้าไป! อย่าหันหลัง―”
‘―ยิง!’
ฝนลูกธนูลอยตรงมายังหมวดที่พุ่งออกไปอย่างอาจหาญ เหล่ากองกำลังปลดแอกกำลังเฝ้ารอช่วงเวลานี้อย่างใจจอใจจ่อ ไม่มีทหารที่ซุ่มโจมตีคนไหนเผยตัวให้เห็นอยู่แล้ว ทั้งพรางตัว ทั้งง้างธนูรอ เตรียมหอกพร้อม ปกปิดการจ้องจะฆ่าไว้อย่างมิดชิด
อีกหมวดหนึ่งที่ตามหลังมาถูกสังหารจนเรียบไปแล้ว ร่างไร้วิญญาณที่ถูกลูกธนูแทงทะลุกระจัดกระจายไปทุกที่
ผู้บังคับหมวดที่พุ่งออกไปก่อนถูกลูกธนูยิงเข้ากลางหัว ลูกธนูอีกหลายดอกปักเข้าตามตัวระหว่างช่องว่างของเกราะ แล้วผู้บังคับหมวดก็ตายไปโดยไม่แม้แต่ได้ส่งเสียงสักนิด
ชายหนุ่มนั้นจะเรียกว่าโชคดีหรือโชคไม่ดีกัน ถูกยิงเข้าแค่ตรงไหล่และเข่าขวา ไม่มีบาดแผลถึงตาย แต่สุดท้ายชะตาของเขาก็ยังคงเดิม ต่างแค่ช้าหรือเร็ว ทหารของศัตรูเปลี่ยนจากธนูมาถือหอกและกำลังรุดใกล้เข้ามา สมาชิกในหมวดคนอื่นรอบตัวต่างก็ไม่อยู่ในสภาพที่สู้ได้อีกต่อไป
ไม่มีกำลังเสริมใด ๆ หมวดที่อยู่ด้านหลังล้วนไปสู่ดินแดนของคนตายเรียบร้อยแล้ว
“วะ หวาา!”
เขาชี้ดาบไปหาศัตรูโดยที่เสียท่วงท่าอยู่ แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เขาคิดที่จะโยนดาบทิ้งแล้วยอมแพ้แต่ก็สลัดความคิดนั้นทิ้งไปทันที พวกมันไม่จับตัวทหารไปเป็นเชลยหรอก
―เราตายที่นี่แน่
ชายหนุ่มภาวนาจากเบื้องลึกในใจว่าตนไม่อยากตาย
“ผู้บังคับหมวด ตายซะแล้วแฮะ เลี้ยงอาหารให้มาตั้งหลายอย่าง น่าเสียดายจัง”
“―เอ๊ะ?”
ในตอนที่นึกว่าได้ยินเสียงเชอร่าเหมือนทุกทีอยู่ข้างหูนั้นเองก็มีบางอย่างพุ่งไปที่ทหารของศัตรู เร็วมากเสียจนชายหนุ่มทำได้เพียงมองตามด้วยสายตา
จากนั้น ก็มีเลือดสีแดงฉานกระฉูดขึ้น พร้อม ๆ กับเสียงร้อง
“อุ อ้ากกกกกกกกกกก!!”
“เอ้าฮึบ”
“―อะ อะไ…!”
แขนขวาของทหารถูกตัดออกด้วยเคียวอันใหญ่ แล้วตัดหัวชายที่ยืนตะลึงอยู่ข้าง ๆ เขา
เคียวอันนั้นคมราวกับว่าสามารถตัดหัวกองกำลังปลดแอกง่ายเหมือนตัดหญ้า
ชายคนที่ถูกตัดแขนไปล้มลงกับพื้น เหมือนกับว่ายังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกัน
เลือดออกมาก คงตายจากการเสียเลือดแน่
“เฮ้ย ทำอะไรกันอยู่! อีกฝ่ายก็แค่คนเดียว! ล้อมมันแล้วก็แทง―”
คมมีดของเคียวแทงทะลุเข้ากลางหน้าของชายที่น่าจะเป็นหัวหน้าที่กำลังสั่งการอยู่ แล้วถูกตัดออกจนรูปหน้าบิดเบี้ยวไป ดูเหมือนเขาจะอยู่ในระยะเคียวโดยไม่รู้ตัว
“วะ เหวออออออ!”
เสียงร้องของทหารดังก้องออกมา ไม่ว่าใครต่างก็ต้องเป็นแบบนั้นหลังได้ความสยดสยองเมื่อครู่นี้
“มีเยอะขนาดนี้ก็น่ารำคาญเหมือนกันนะ แต่ว่า จะฆ่าไม่ให้เหลือสักคนเลยล่ะ พวกทหารกบฏต้องตายทั้งหมด”
ขณะที่พูดพึมพำกับตัวเองไปด้วย เธอก็ฟันสวนหอกที่แทงมาอย่างพริ้วไหวไปด้วย ทุกครั้งเธอจะแทงเคียวลึกเข้าไปกลางหัวศัตรู พื้นที่รอบ ๆ กลายเป็นทะเลเลือดอย่างรวดเร็ว เศษซากศพกระจายไปทั่ว
เหล่ากองกำลังปลดแอกตกอยู่ในสภาวะแตกตื่น ยิงธนูมาโดยทั้ง ๆ ที่ยังตัวสั่น เชอร่าควงเคียวของเธอและปัดธนูออกอย่างสบาย ๆ
ราวกับว่าเป็นยอดวีรชนจากตำนาน ชายหนุ่มคิดเช่นนั้น
หนึ่งคน แล้วก็อีกหนึ่งคน ทหารศัตรูเริ่มจะหนีกลับไปเรื่อย ๆ
เมื่อสูญเสียกำลังใจสู้ไป กองทหารก็ถล่มไปไม่ต่างกับหิมะถล่ม
ในตอนที่เชอร่ายิ้มออกมาแล้วก้าวขาขวาออกไปนั้น
“―ชะ ช่วยด้วย จะ เจ้านั่นมันยมทูต!!”
“สะ สัตว์ประหลาด!! จะชนะได้ยังไง!”
“ฉันไม่อยากตายในที่แบบนี้!!”
ผู้รอดชีวิตไม่กี่คนกรีดร้องแล้วพากันหนีไป
เชอร่าเล็งเป้าไปที่หนึ่งในนั้น แล้วขว้างเคียวในมือออกไปอย่างรุนแรง
เคียวปักเข้ากลางต้นไม้ที่อยู่ด้านหน้า ส่วนร่างของทหารที่อยู่ระหว่างทางก็แยกออกเป็นสองส่วน เครื่องในไหลออก ตายในทันที
ขณะที่ชายหนุ่มกับสมาชิกในหมวดคนอื่นกำลังตะลึง เชอร่าก็วิ่งเหยาะ ๆ ไปหยิบเคียวยักษ์ของเธอคืน เป็นภาพของสาวน้อยที่วางเคียวไว้บนไหล่อยู่เบื้องหน้าไฟที่ลุกช่วง ยิ้มออกมาด้วยความสุขล้น
หน้าของเธอเต็มไปด้วยเลือด เช่นเดียวกันชุดเกราะ ที่เคียวมีชิ้นเนื้อและเครื่องในติดอยู่ เป็นภาพที่ไม่อาจมองได้ตรง ๆ
“………….”
“วะ เหวอ!”
“….เป็นอะไรเหรอ? หน้าซีดหมดแล้วนะ?”
กลิ่นของเลือดกระจายไปตามอากาศ ยมทูตตรงหน้าก้าวเข้าหาชายหนุ่ม เงาของเชอร่าสั่นไหวไปมาตามแสงจากไฟ
ในสายตาของชายหนุ่มมองเห็นอสุรกายแห่งความตายสวมชุดสีดำ เคียวอันชั่วร้ายส่ายไปมา ราวกับว่ากำลังหาเหยื่อรายถัดไปอยู่
และนั่น เป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่ชายหนุ่มจะประคองสติไว้ได้
สวัสดีครับ นักแปลหน้าใหม่ที่ไม่เคยดองงานเก่าแต่อย่างใดครับ
จริง ๆ เรื่องนี้เห็นคนแปลไว้ก่อนแล้ว แต่เห็นไม่ได้อัพมา 7 ปีแล้วก็ขอเดาว่าคงไม่ต่อเร็ว ๆ นี้ แล้วก็ที่เลือกแปลแต่แรกมันจะได้ชินมือ + แปลเนื้อเรื่องแบบที่ผมเข้าใจ
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะแปลซีรี่ย์สาวน้อยของอาจารย์นานาซาวะให้ครบ 4 เรื่อง (มิตสึบะค่อยคิดทีหลัง) ถ้าไม่ขี้เกียจไปก่อนครับ