ตอนที่ 2 ชีสอร่อยสุด ๆ ไปเลย

เด็กสาวผู้กลืนกินยมทูต

ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับอาการเจ็บที่หัวไหล่ เขาอยู่ท่ามกลางคนเจ็บที่กำลังร้องครวญครางออกมา เมื่อได้สติชัดเจนมากขึ้น ลมหายใจก็ยิ่งหอบกว่าเดิม วิสัยทัศน์ส่ายไปมา เขาสูดหายใจลึก เตรียมใจเอาไว้แล้วมองลงดูร่างกายตัวเอง มีร่างกายส่วนไหนขาดหายไปหรือเปล่านะ―นั่นเป็นสิ่งเดียวที่กังวล การที่พอรู้ตัวอีกทีแขนขาก็หายไปแล้วเป็นโศกนาฏกรรมที่พบเห็นได้ทุกวันใกล้ ๆ ตัวนี่นา

 

โชคยังดีที่ยังขยับร่างได้ทุกส่วน ไม่มีชิ้นไหนหายไป เขานอนอยู่บนเตียงคุณภาพต่ำ พร้อมผ้าพันแผลพันรอบไหล่และเข่าที่ถูกธนูยิง ดูเหมือนว่าเขาจะรอดชีวิตมาได้ ต้องใช้เวลาเล็กน้อยก่อนที่ชายหนุ่มจะรู้สึกโล่งใจได้

 

ขณะที่กำลังยกมือทั้งสองขึ้นมาปิดหน้าด้วยความดีใจที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้ช่วยชีวิตที่ตนไม่กล้าเจอก็โผล่มาจากด้านหลัง เธอถือถาดที่มีเหยือกน้ำกับขนมปังสองก้อนมาด้วย

 

“อรุณสวัสดิ์ หิวหรือเปล่า?”

 

“….ทะ ที่นี่คือ?”

 

“ปราสาทย่อยอันติกัว บ้านของพวกเราไง แล้วก็ หิวหรือเปล่า?”

 

“…..ไม่ล่ะ แค่น้ำก็พอ ตอนนี้ยังกินอะไรไม่ลง”

 

เมื่อชายหนุ่มปัดมือไปเบา ๆ เป็นการปฏิเสธ เชอร่าก็ชี้ไปที่ขนมปังแล้วถามขึ้น

 

“ก็คือไม่เอาขนมปังอันนี้เหรอ?”

 

“อา เธอกินได้เลย ฉันไม่อยากกิน”

 

“งั้นก็ขอบคุณ ถ้าตอนกินได้ไม่ยอมกินเดี๋ยวก็ลำบากทีหลังหรอก ถึงจะมาขอคืนทีหลังก็ไม่คืนให้หรอกนะ”

 

หลังเธอเอาแก้วน้ำให้ชายหนุ่ม เชอร่าก็กัดลงบนขนมปังที่ดูไม่น่าอร่อยเท่าไหร่ เธอค่อย ๆ เคี้ยวขนมปังแห้ง ๆ แข็ง ๆ ด้วยสีหน้ามีความสุข

แม่นี่ต้องดีใจมากแน่ ๆ ชายหนุ่มคิดเช่นนั้น

 

“…..นี่ หลังจากตอนนั้น หมวดของเราเป็นยังไงต่อ”

 

“ทัพจีร่าแตกไปครึ่งนึง ทหารที่รอดมาได้ก็ยับเยินกันหมดเลยล่ะ ในหมวดเราที่รอดมาได้ก็มีแค่ฉัน คุณ กับคนอื่น ๆ อีกสามคนล่ะมั้ง น่าเสียดายที่แบกผู้บังคับหมวดกลับมาไม่ได้”

 

“……ผู้บังคับหมวด ตายแล้วงั้นเหรอ”

 

“คงเลี้ยงขนมฉันไม่ได้แล้ว น่าเสียดายจริง ๆ”

 

“…………”

 

ผู้บัญชาการของกองทัพจีร่าอันรุ่งโรจน์ถูกฆ่า แล้วกองทัพส่วนมากก็ถูกทำลายหมด

ทัพที่ 3 และพลเอกยัลเดอร์ที่ซ่อนตัวรอโจมตีอยู่ หลังได้ข่าวว่าพวกนั้นแพ้ก็แตกตื่นจนต้องหนีไป พวกเขากลับมาที่ป้อมปราการแล้วปิดประตูแน่น

กลับกัน กองกำลังปลดแอกนครหลวงได้รับทหารที่แพ้มา กำลังใจเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

ทหารหนุ่มชั้นสัญญาบัตรผู้สังหารจีร่า ฟินน์ คาเทฟ ได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษแห่งกองกำลังปลดแอก

ทาจักรวรรดิที่กำลังคอยดูอยู่ก็เร่งการเพิ่มกองกำลังทหาร ไม่ซ่อนความคิดที่จะข้ามแม่น้ำอาร์เชียที่ไหลแบ่งอาณาเขตอีกต่อไป ดูเหมือนว่าพวกเขาเริ่มรวมรวมทัพที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือแล้วด้วย

ตอนนี้ยังแค่ดูเชิงกันเท่านั้น แต่หากประกาศสงครามขึ้นเมื่อใด สงครามขนาดใหญ่จะปะทุทั้งทวีป สถานการณ์ในตอนนี้ยังเป็นแค่สงครามภายในอาณาจักร ยังไม่ถึงระดับประเทศอื่น

ทว่า ไม่ว่าใครก็รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ก็อยู่ที่เวลา

 

“จนกว่าจะมีคนใหม่มาเพิ่ม ฉันจะเป็นผู้บังคับหมวดรักษาการณ์เอง ฉันได้เลื่อนยศจากพลทหารธรรมดาเป็นร้อยตรีชั่วคราวน่ะ หรือก็คือฉันตำแหน่งสูงกว่าคุณแล้ว ถึงได้มาที่นี่ไง”

 

“มุขเธอแค่เคียวนั่นก็มากพอแล้ว ฉันเจ็บแผลเปล่า ๆ”

 

“เปล่าโกหกนะ ดูเหมือนว่าหัวหน้าศัตรูเมื่อตอนนั้นจะยศสูงอยู่ พอฉันเอาเขากลับมาพร้อมเครื่องยืนยันตัวก็ได้รับคำชมด้วยล่ะ แถมได้ข้าวอร่อย ๆ ด้วย”

 

ท่ามกลางความพ่ายแพ้ของเรา เชอร่าได้กลับมาพร้อมกับหัวของทหารศัตรู ยิ่งกว่านั้นยังแบกเพื่อนคนอื่น ๆ กลับมาอีกด้วย

เธอได้รับคำชมเชยจากผู้บังคับกองร้อยโดยตรง และได้รับการฝากฝังให้สั่งการหมวดจนกว่าจะหาคนสั่งการคนใหม่ได้

จะว่าเป็นการเลื่อนขั้นก็ไม่เชิง อันที่จริงแล้วจะเป็นใครก็ได้ คนที่เป็นคนคุมทหารกองหนุนที่จับยัด ๆ มาแบบนี้จะเป็นใครก็ไม่สำคัญหรอก

 

“……จริงเหรอเนี่ย โลกจบสิ้นแล้วสินะ”

 

“แผลที่คุณได้มา คงทำหน้าที่ต่อไม่ได้สักพักล่ะนะ กลับบ้านไปใช้ชีวิตสงบสุขดีกว่านะ ช่วยตั้งใจทำนาแล้วส่งอาหารกลับมาให้ฉันที”

 

การที่แขนถนัดกับเข่าบาดเจ็บทำให้เขากลายทหารที่ใช้การไม่ได้ อีกไม่นานก็คงถูกส่งกลับไปบ้านเกิด และเมื่อฟื้นฟูจนหายแล้วก็จะถูกส่งกลับมาอีกครั้ง

นั่นล่ะคือของใช้แล้วทิ้ง แต่ก็นะ แค่ถูกส่งกลับไปถือว่าดีมากแล้ว กรณีเลวร้ายสุดคือถูกทิ้งไว้กลางสนามรบ ชายหนุ่มรู้สึกโล่งอกอย่างมาก ตอนนี้เขารอดมาได้ คงบอกได้ว่าโชคดีพอ

 

“………ฟู่”

 

“ถ้างั้นก็ ดูแลตัวเองด้วยนะ ถ้าออกจากที่นี่ไปแล้วอาจจะไม่ได้เจอกันอีกก็ได้”

 

เชอร่าหยิบถาดขึ้นมาแล้วหันหลังกลับไป ชายหนุ่มรีนร้อนเรียกเธอไว้ เพราะลืมพูดบางอย่างที่สำคัญออกไป

 

“อ๊ะ ระ รอเดี๋ยวสิ”

 

“….มีอะไรเหรอ”

 

“ทะ ที่ช่วยไว้ ขอบคุณนะ ถ้าไม่มีเธอฉันคงตายไปแล้ว เพราะงั้น ขอบคุณจริง ๆ”

 

ชายหนุ่มก้มหัวลง เลี่ยงการสบตา เขากลัวว่าเคียวของยมทูตจะตัดผ่านคอของเขาได้ทุกเมื่อ ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำกับคนที่ช่วยตัวเองไว้ ทว่า เขากลัว

 

“คราวหน้าก็เลี้ยงอะไรหน่อยก็แล้วกัน แน่นอนว่าใส่ชีสด้วยนะ อย่างนั้นจะเยี่ยมเลย”

 

เชอร่าโบกมือเล็กน้อย ก่อนจะออกจากโรงพยาบาลสนามที่มีคนเจ็บอยู่ไปพร้อมเคี้ยวขนมปังของเธอไปด้วย

 

 

 

―กองบัญชาการ ปราสาทย่อยอันติกัว

ท่ามกลางเหล่าทหารเสนาธิการที่ทำหน้ามัวหมองอยู่ มีเพียงชายวัยกลางคนหน้าแดงก่ำคนหนึ่งกำลังตวาดพวกเขาอยู่

เขาคือพลเอกยัลเดอร์ ผู้บัญชาการของทัพที่ 3 ถึงแม้เขาจะเป็นชายที่โมโหง่ายและไร้ความสุขุม แต่เขาก็มั่นใจว่าหากเทียบกันในอาณาจักรแล้ว ด้านทัพโจมตีไม่มีใครสู้เขาได้

กองกำลังที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ทหารราบเกราะหนักและทหารม้าหนัก มีชื่อเล่นอีกชื่อว่ากองพลเหล็กกล้า มุ่งเป้าไปที่การโจมตีย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ไม่หยุดยั้ง เป็นกำแพงเหล็กที่ไม่วันพังทลายอันน่าภูมิใจ ยัลเดอร์ทุ่มเททุกอย่างให้กับการฝึกพวกเขา

พวกเขาได้รับชัยชนะอย่างน่าประทับใจมาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งการผู้ก่อจราจลหรือโจร ทั้งการปะทะระหว่างจักรวรรดิ ยังคงสร้างผลงานมาเรื่อย ๆ

เขาถูกศัตรูดักเล่นงานในการลอบโจมตี เสียจีร่าที่ตนใว้วางใจและทหารอีกหมื่นนายถูกกวาดจนเรียบ เขาโกรธเสียจนกัดฟันจนเลือดไหลจากริมฝีปาก เหมือนกับว่าเส้นเลือดจะแตกออกมาได้ทุกเมื่อ

 

“โธ่เว้ย!! ไอ้พวกขบถน่ารำคาญ!! ชื่อเสียงของทัพที่ 3 อันรุ่งโรจน์ต้องหลั่งน้ำตาแล้ว!”

 

“ท่าน ใจเย็นลงก่อนเถอะครับ จริงอยู่ที่เราเสียคนไปหมื่นกว่าคน แต่กองกำลังหลักเรายังปลอดภัยอยู่นะครับ สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือเราต้องเสริมการป้องกันปราสาทแห่งนี้ก่อน”

 

ซิดาโม่ อาร์ท หัวหน้าทหารเสนาธิการได้แนะนำอย่างใจเย็น

แม้เขาจะเกิดมาในตระกูลขุนนางตกยาก แต่ก็สามารถไต่เต้าขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ด้วยความสามารถของตนเอง

แน่นอนว่าการสร้างสัมพันธ์ถือเป็นเรื่องลำบากมาก และเกียรติของเขาต้องแปดเปื้อนนับครั้งไม่ถ้วน

แต่คงเป็นเพราะความอุตสาหะทำให้เขาสามารถคว้าตำแหน่งทหารเสนาธิการของทัพที่ 3 มาได้ และได้รับความเชื่อใจจากยัลเดอร์ด้วย

เขายังคงหนุ่มแน่นอยู่ด้วยอายุเพียงสามสิบปี เป็นชายที่มีแววพัฒนาได้ไกลหากมีคนหนุนหลังให้

 

ถึงแม้เขาจะคัดค้านแผนลอบโจมตีของยัลเดอร์ตั้งแต่แรก แต่เขาก็ไม่สามารถห้ามผู้มีศักดาได้ หากไปทำให้ผู้บังคับการไม่พอใจเข้า ตำแหน่งของซาดาโม่คงปลิวหายในพริบตา

ส่วนผลลัพธ์นั้นตรงเผงกับสิ่งที่ซิดาโม่กลัวไม่ผิดเพี้ยน แต่เป็นสิ่งที่เขาดีใจไม่ได้ ความตกต่ำของยัลเดอร์ก็มีผลแบบเดียวกับเขาเช่นกัน

 

“เรื่องนั้นไม่ต้องบอกก็รู้!! แต่ว่า จะให้เอาทหารหมื่นนายที่ได้รับฝากฝังจากฝ่าบาทมามุดหัวอยู่อย่างนี้ได้ยังไง!! คนอื่นเขาจะหัวเราะเยาะเอาน่ะสิ!!”

 

ยัลเดอร์ระบายความโกรธออกมาจนน้ำลายกระเด็น

 

“เหมือนกองกำลังปลดแอก―ไม่สิ พวกทหารกบฏมันจะรับพลหทารจากทัพของจีร่าที่แพ้เข้าไป ยิ่งกว่านั้นพวกมันกำลังขยายพื้นที่อำนาจของมันอยู่ด้วยครับ”

 

ทหารเสนาธิการอีกนายรายงานสภาพการณ์ของกองกำลังปลดแอก

 

“ถ้าเราไม่ลงมืออะไร ไอ้พวกกบฏมันยิ่งกำเริบใหญ่แน่ ไอ้พวกโง่ลืมบุญคุณอาณาจักร!! พวกมันทุกตัวต้องตายให้หมดยันรากเหง้า!!”

 

ยัลเดอร์ทุบโต๊ะอย่างรุนแรง เอกสารกระจายไปทั่ว แล้วเจ้าหน้าที่พลเรือนก็ต้องตามเก็บ

 

“ตอนนี้ไม่มีการเคลื่อนไหวจากกองทัพจักรวรรดิครับ แต่ว่าบางทีก็มีสัญญาณควันแปลก ๆ จุดขึ้นที่หอสังเกตการณ์…..”

 

“ฮึ ของพรรค์นั้นก่อนหน้านี้ก็เคยมี ไม่มีทางที่ไอ้พวกจักรวรรดิจะโจมตีเราจริง ๆ จัง ๆ หรอก มันคงพยายามช่วยพวกกบฏเต็มที่จากเบื้องหลังซะมากกว่า กำลังพยายามรักษาดินแดนตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ไม่ผิดแน่”

 

ทหารเสนาธิการคนหนึ่งพูดออกมา แล้วก็มีเจ้าหน้าที่พลเรือนคัดค้าน

 

“แต่ว่า มีรายงานจากสายของเราว่าพวกมันกำลังเสริมสร้างกำลังรบมากขึ้นกับเพิ่มการฝึกฝนด้วยนะครับ”

 

“ก็คงรายงานเท็จหรือโดนหลอกมานั่นล่ะ จนถึงตอนนี้เกิดเรื่องแบบนั้นกี่ครั้งกันแล้ว! อย่าบอกนะว่าพวกแกลืมตอนที่เพิ่มการป้องกันแล้วเสียเวลาเปล่าทุกครั้งไปแล้วน่ะ!!”

 

“การทำให้การป้องกันเขตแดนมั่นคงเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว เรียกว่าเป็นการเสียเวลาเปล่าจะไม่เกินไปรึครับ? ถ้าหากพวกจักรวรรดิมันฝ่าเขตแดนเข้ามาแล้วโจมตีจะทำยังไงกันครับ!”

 

“เฮอะ ต่อให้จักรวรรดิมันรวมพลังทั้งหมดของมันมาก็ยังไม่เท่าครึ่งของอาณาจักรหรอก สงครามมันขึ้นอยู่กับจำนวน หรือก็คือไม่ว่าเราจะแพ้ศึกเล็ก ๆ กี่ครั้ง อาณาจักรยูซของเราก็จะชนะ เจ้าหน้าที่พลเรือนอย่างพวกแกคงไม่เข้าใจหรอก”

 

ทหารเสนาธิการหลุดปากพูดข่มออกมาด้วยข้อมูลที่ไม่รู้ไปเอามาจากไหน

 

“ไม่ถึงครึ่ง? ไปเอาข้อมูลนั่นมาจากไหนกัน! พวกจักรวรรดิกำลังฝึกทหารมามากยิ่งกว่ากว่านะครับ!”

 

“แล้วยังไงล่ะ! จะเอาพวกกระจอกมาอีกสักเท่าไหร่ก็ไม่สำคัญหรอก!!”

 

ด้วยประกายไฟนี้ ทหารเสนาธิการกับเจ้าหน้าที่พลเรือนก็เริ่มเถียงกันตามใจ ซิดาโม่ไม่ได้ห้ามเช่นเคย หากเข้าไปแทรกกลางคงโง่เต็มทน

 

“ท่านครับ นี่เป็นโอกาสดีที่สุดของเราแล้ว ตอนที่พวกมันกำลังหลงระเริงกับชัยชนะอยู่ เรามีจำนวนมากกว่าอย่างล้นหลาม ไม่จำเป็นต้องใช้วางกลยุทธ์อะไร ขยี้มันตรง ๆ เลยเถอะครับ!”

 

ผู้บัญชากองพลคนหนึ่งตะโกนออกมาอย่างกล้าหาญ แล้วทหารเสนาธิการนายอื่น ๆ ก็ตะโกนใช่แล้วใช่แล้วตาม ซิดาโม่ถึงกับประหลาดใจว่าไม่เคยเรียนรู้กันบ้างเลยรึ แต่ก็ไม่แสดงออกทางสีหน้า เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตลอดในทัพที่ 3

 

“อืม ขอยอมรับข้อเสนอของพวกแก! ไปแสดงให้พวกมันได้เห็นถึงความน่าเกรงขามของกองพลเหล็กกล้าของเรากัน! หัวหน้าทหารเสนาธิการซิดาโม่ มีความเห็นอะไรหรือเปล่า!”

 

“ครับ ป้อมปราการซัลวาดอร์ที่ทหารกบฏมุดหัวอยู่นั้นเสื่อมสภาพจากความเก่าแล้ว ไม่เหมาะสำหรับตั้งรับ เป็นไปได้สูงว่าพวกนั้นจะโจมตีเราที่ที่ราบอัลเชียซึ่งเป็นเส้นทางเดินทัพของเราครับ”

 

เขากางแผนที่ออกบนโต๊ะ แล้วชี้ไปยังตำแหน่งของที่ราบ

 

“ถ้าอย่างนั้น ทหารม้าหนักของเราจะกวาดมันให้เรียบ!”

 

ทหารเสนาธิการนายหนึ่งดันตัวหมากรูปทรงม้าของทหารอาณาจักรไปจนถึงป้อมปราการซัลวาดอร์

 

“ถือเป็นโชคร้ายของเจ้าพวกทหารปลาซิวพวกนั้นล่ะนะ ถ้ามันหลบอยู่ในปราการเราก็จะขยี้มัน ต่อให้มันรู้ว่าตัวเองเสียเปรียบแล้วมาที่ทุ่งราบ ชัยชนะก็จะเป็นของเราอยู่ดีไม่ผิดเพี้ยน แบบนี้หมายความว่าเราชนะแน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่รึไงกัน”

 

ยัลเดอร์หัวเราะออกมาอย่างยินดี ยกน้ำในขวดหรูหราขึ้นดื่ม

 

“ศัตรูต้องเตรียมแผนมาแน่นอนครับ เราต้องระวังกลยุทธ์ไฟของมันให้ดี จะตกชะตากรรมเดียวกันกับพันตรีจีร่าไม่ได้”

 

“ถ้าเราสู้ตรงที่ราบก็ไม่ต้องกลัวเรื่องกองกำลังดักซุ่ม หรือต่อให้มีก็คงมีแค่หยิบมือ เราขยี้มันได้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

 

“ศัตรูเองก็อ่านทางเดินของเราล่วงหน้า ผมมั่นใจว่าต้องมีกับดับอะไรสักอย่างอยู่ด้วยแน่”

 

“ขี้กังวลจังนะครับหัวหน้าเสนาธิการ เดี๋ยวก็ตายไวหรอก”

 

ผู้บัญชาการกองพลแหย่ขึ้นมา แล้วทหารเสนาธิการคนอื่นก็หัวเราะ

 

“―ท่านครับ ระวังไว้ย่อมดีกว่า เราควรส่งฝ่ายสอดแนมแล้วเพิ่มการระวังให้มากที่สุดครับ”

 

“เข้าใจแล้วเข้าใจแล้ว ที่หัวหน้าเสนาธิการพูดมาก็ไม่ผิด อย่างที่ว่า เอาเป็นเราระวังให้พอแล้วจัดการพวกมันให้หมดเป็นไง เท่านี้ดีพอรึเปล่า?”

 

“ครับ ขอบพระคุณที่รับฟังความเห็นอันต้อยต่ำของผมด้วยครับ!”

 

พอซิดาโม่ก้มหัวให้ ยัลเดอร์ก็พยักหน้าซ้ำ ๆ

 

“เอาล่ะ ตัดสินแผนของทัพที่ 3 ได้แล้ว เราจะบั่นหัวไอ้พวกกบฏ แล้วล้างชื่อให้จีร่า! เราจะยกพลไปแปดหมื่นนาย ส่วนอีกหนึ่งหมื่นที่เหลือจะอยู่ปกป้องปราสาท เริ่มเดินทางวันมะรืน! ทุกนายจงเตรียมพร้อม!!!”

 

“ครับ!”

 

ทหารเสนาธิการทำวันทยหัตถ์แล้วออกจากกองบัญชาการ

ซิดาโม่คิดอยู่ชั่วครู่ แต่แล้วก็ส่ายหน้าแล้วเดินออกไป

 

 

 

 

 

 

 

―ปราสาทย่อยอันติกัว ค่าย

เนื่องจากกองทัพใหญ่ที่มีทหารกว่าหนึ่งแสนนายที่ถูกรวมมาจากพื้นที่ข้างเคียงถูกยัดมาที่นี่ กลุ่มของพวกเชอร่าจึงต้องออกค่ายไปที่อื่น พวกเขาถูกบีบให้ต้องมาใช้เต็นท์โกโรโกโส นั่งล้อมวงกองไฟ

 

“ให้ตายสิ ถึงจะเพื่อคุณ ๆ นักเรียนเหล่าจากเมืองหลวงก็เถอะ แต่หนาวจนตัวจะแข็งอยู่แล้ว อา หนาวหนาว ได้หนาวตายจริง ๆ แน่”

 

“ถ้ามีคนได้ยินที่บ่นคงโดยคุณท่านสารวัตรทหารเทศน์ยับแน่ อย่าลากตูเข้าไปเกี่ยวด้วยสิ”

 

“แกสาบานว่าจะอยู่ด้วยกันทั้งตอนตายทั้งตอนโดนบ่นไม่ใช่เรอะ อย่าทิ้งกันเซ่”

 

“หนวกหูน่า ไปไกล ๆ ส้นไป ตูไม่ได้มีรสนิยมอย่างนั้น”

 

“บ้าเอ้ย อาหารก็น้อยลง อย่างนี้ทำอะไรไม่ได้แน่ แล้วก็คุณหัวหน้าหมวดคนใหม่นี่มันอะไร พวกเบื้องบนคิดอะไรอยู่กันวะ”

 

“ฮะฮะ ถ้ามีเนื้อหนักกว่านี้หน่อยก็ดีสิ ทั้งที่กินไปตั้งเยอะขนาดนั้น มันสูบหายไปไหนหมดกัน สำหรับฉัน ถ้ามีหน้าอกกว่านี้สักหน่อยคงดี”

 

“ฉันชอบก้นมากกว่าล่ะนะ แต่น่าเสียดายที่หัวหน้าหมวดพวกเราไม่มีทั้งคู่”

 

 

หมวดที่ถูกสร้างจากการจับรวมกลุ่มที่ถูกทำลาย นั่นคือหมวดที่เชอร่าเป็นผู้บังคับการ แม้จะเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีแค่ราว ๆ สิบคนก็ตาม

 

“……พวกฉัน ถูกเชอร่า― ไม่สิ ถูกผู้บังคับหมวดเชอร่าช่วยไว้ ถึงภายนอกจากดูเป็นอย่างนั้น แต่พลังน่ะของจริงเลยล่ะ แค่คนเดียวก็สังหารหมู่ทหารศัตรูได้ พวกแกเองรู้ไว้ด้วยก็ดี”

 

“เออเออ ได้ยินมาหลายรอบแล้วน่า เอาเถอะ ถ้าอยู่ในหมวดที่มีผู้บังคับการยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เราอาจจะรอดได้นานก็ได้”

 

“ดูจะพึ่งพาได้ ที่สำคัญคือถ้าไม่ตาย จะยังไงก็ได้ล่ะนะ ช่วยคอยดูไม่ให้ฉันบุกเข้าไปโง่ ๆ เพราะอยากทำเท่ด้วยล่ะ”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า มาดื่มให้คุณวีรสตรี ผู้บังคับหมวดเชอร่ากัน!”

 

“ชนแก้ว!”

 

เหล่าทหารเริ่มดื่มเหล้าพร้อมยิ้มกว้างออกมา

ส่วนทหารที่เคยอยู่กลุ่มเดียวกันกับเชอร่า กลับนั่งตัวสั่นพร้อมกำซุปที่อยู่ในมือจนแน่น

 

“……….”

 

“เป็นอะไรน่ะ?”

 

“ปะ เปล่า ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรหรอก”

 

“แปลกคน ซุปมันเย็นหมดแล้ว รีบ ๆ กินเข้าซะ ตอนนี้มันเวลาดื่มเหล้าฉลอง”

 

คนที่ช่วยออกมาคือเชอร่า ถ้าไม่มีเธออยู่ก็คงตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

เพราะอย่างนั้น จะให้บอกว่าคิดว่าหล่อนเป็นเหมือนยมทูต ก็คงพูดออกไปไม่ได้

ต่อให้เห็นเงาของยมทูตก็ไม่อาจพูดออกไป ถ้าพูดไปล่ะก็ ต่อไปต้องเป็นคิวเราแน่นอน เพราะอย่างนั้นถึงหลุดปากออกไปไม่ได้ ไม่งั้นจะโดนยมทูตหมายหัว

 

หลังจากซดซุปเหลว ๆ ลงไป ทหารก็ยื่นมือทั้งสองออกไปเพื่อรับไออุ่นจากกองไฟ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ในระหว่างนั้น เชอร่ากำลังเดินอย่างสบาย ๆ ผ่านลมหนาวพร้อมติดยศร้อยตรีที่ได้รับมาอย่างภาคภูมิ

ถึงแม้จะไม่พอใจที่ได้กินข้าวน้อยลง แต่เธอก็ได้ขนมปังกับชีสมาจากเพื่อนที่ช่วยเอาไว้ เธอกำลังดื่มด่ำกับมื้ออาหารสุดหรูอยู่บนปราสาทพร้อมจ้องมองดวงดาวทั่วฟ้า

 

“…..พบเงาคนน่าสงสัย ยังไงก็ว่างอยู่แล้วนี่นะ อาจจะได้ของอร่อย ๆ มากินก็ได้ นาน ๆ ทีก็อยากกินผลไม้บ้าง ช่วงนี้มีแต่ของแห้งอย่างเดียวเลย”

 

เชอร่าจ้องมองไปพร้อมเลียริมฝีปาก

มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังลุกลี้ลุกลนมองซ้ายขวา และพยายามเดินแบบไม่ให้เกิดเสียง

บนไหล่ทหารแบกถุงขนาดใหญ่ไว้ เหมือนกับว่ากำลัง ‘หนีกลางคืน’ กันอยู่ จำนวนที่เห็นราว ๆ สิบคน แต่รายละเอียดไม่รู้แน่ชัด

 

เชอร่าใช้นิ้วดีดตรายศร้อยตรีเบา ๆ ก่อนจะวิ่งลงบันไดไปหากลุ่มคนที่แอบย่องอยู่เงียบ ๆ

เมื่อแสงจันทร์สาดกระทบเคียวยักษ์ ใบมีดโค้งของมันก็สะท้อนแสงเหี้ยมโหดออกมาราวกับว่ากำลังหาเหยื่อรายถัดไปอยู่