สิ่งที่ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยอยากจะร้องไห้ยิ่งกว่าเดิมก็คือโลกยุคนี้ไม่มีในประวัติศาสตร์ใดๆ เลย… สำหรับนางแล้ว มันช่างแปลกใหม่อย่างมาก… ความทรงจำต่างๆ ที่รบกวนจิตใจของนาง ทำให้นางรับรู้ได้ว่าตอนนี้ นางอยู่ในจักรวรรดิจ้านหลง 

และเจ้าของร่างกายที่นางกำลังอาศัยอยู่ในตอนนี้ ก็เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฮ่อเหลียนหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของจักรวรรดิจ้านหลงที่มีชื่อและสกุลเดียวกันกับนาง  

เดิมทีภูมิหลังอันทรงอิทธิพลเช่นนี้คงจะสามารถเดินอย่างเชิดหน้าชูตาได้ 

แต่ว่าหลังจากที่ท่านตาของนางเสียชีวิต บิดาของนางก็แต่งอนุภรรยาเข้าบ้านทันที และลืมคำสัญญาที่เขาเคยให้ไว้ตอนที่แต่งงานกับตระกูลเฮ่อเหลียน เขาเคยบอกว่าจะไม่มีวันทำให้ท่านแม่ของนางเสียใจ มิเช่นนั้น เขาจะต้องถูกฟ้าผ่าตาย 

อนุภรรยาคนนั้นบอกกับทุกคนทั้งน้ำตาว่าท่านแม่ของเฮ่อเหลียนเวยเวยมักจะกดขี่ข่มเหงนางอยู่เสมอจนนางแทบทนไม่ได้ แต่หลังจากนั้นหนึ่งปี ท่านแม่ของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ป่วยหนักจนไม่อาจลุกจากเตียงได้ และในที่สุดนางก็ตรอมใจตาย 

ด้วยเหตุนี้ ตระกูลเฮ่อเหลียนจึงตกไปอยู่ในมือของคนนอก 

เฮ่อเหลียนเวยเวย ซึ่งเป็นทายาทสายตรงของตระกูลนั้นยังเด็กเกินกว่าจะแยกแยะความดีความชั่วออก แล้วนับประสาอะไรกับกลอุบายที่เกิดขึ้นภายในตระกูลเช่นนี้ 

นางรู้สึกว่าอนุคนนั้นดูแลนางอย่างดี เพราะนางไม่เคยดุด่าหรือทุบตีเฮ่อเหลียนเวยเวยเลยสักครั้ง แต่นางไม่รู้เลยว่าแผนการที่ร้ายกาจที่สุดนั้น… คือการฆ่านาง 

หลังจากที่อนุคนนั้นยึดตระกูลได้แล้ว นางก็สั่งสอนเฮ่อเหลียนเวยเวยให้กลายเป็นผู้หญิงที่จองหองและโง่เขลา เฮ่อเหลียนเวยเวยจะทำตัวมีปัญหาตลอดเวลา จนในที่สุด ไม่ว่าใครที่ได้เห็นนาง ปฏิกิริยาแรกก็คือรู้สึกรังเกียจกับความเจ้าอารมณ์และใบหน้าที่ถมึงทึงของนาง พวกเขาต่างก็บอกว่านางเป็นคางคกที่อยากกินเนื้อหงส์[1] ไม่คู่ควรกับสิ่งที่นางวาดหวังไว้เลยสักนิด 

แม้แต่เรื่องการแต่งงานของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังตกไปเป็นของน้องสาวต่างมารดา เพราะทุกคนต่างก็เชื่อว่านางรังแกเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่ตอนนี้ อาจจะได้แต่งงานก่อนนางด้วยซ้ำ 

การแสดงของบิดาและอนุภรรยาราคาถูกคนนั้นช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก 

หากไม่ใช่เพราะแม่เลี้ยงและน้องสาวต่างมารดาที่ชั่วร้ายของนาง นางก็คงไม่ต้องสูญเสียพลังลมปราณและกลายเป็นคนไร้ค่าที่บ้าผู้ชายจนสังคมรังเกียจเช่นนี้ 

หือ บ้าผู้ชายหรือ ไร้ค่าหรือ สองคำนี้ช่างไม่ใช่ตัวนางเลย 

“ข้าไม่เป็นไร” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดพร้อมกับจับหญิงชราคนนั้น น้ำเสียงของนางปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ ตลอดหลายปี นางได้เรียนรู้ที่จะสงบสติอารมณ์และประเมินสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าของตนเองอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม 

ถึงแม้ว่าตอนนี้ตระกูลเฮ่อเหลียนจะตกอยู่ในมือของคนนอก แต่บิดาผู้เสแสร้งของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังคงไว้ชีวิตนาง เพราะเขาต้องทำตัวให้สมกับการเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่จากตระกูลอันสูงส่ง และรักษาชื่อเสียงของตัวเอง มิเช่นนั้น ทุกคนจะขนานนามว่าขุนนางของราชสำนักเป็นคนเนรคุณและโหดเหี้ยม ที่ไม่ปรานีแม้แต่ลูกในไส้ที่เป็นสายเลือดเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูลเฮ่อเหลียน 

หรือในทางกลับกัน ก็เพราะเขาเป็นคนหน้าซื่อใจคด เขาจึงระมัดระวังการกระทำของตนและไม่ทำอะไรเกินขอบเขตไป เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าการสูญเสียพลังลมปราณของนางเป็นเรื่องน่าละอายของตระกูลเฮ่อเหลียน ดังนั้น ทุกคนจึงเลือกหันหลังให้นางและเข้าข้างเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่เป็นน้องสาวต่างมารดาแทน 

นางไม่มีสิทธิ์ได้เข้าร่วมแม้แต่งานเลี้ยงประจำตระกูลที่ทุกคนเข้าร่วมด้วยซ้ำ 

ช่างน่าหัวเราะยิ่งนัก ในเมื่อนางเป็นสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลเฮ่อเหลียนที่ยังมีชีวิตอยู่ หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ เกรงว่านางคงจะฆ่าตัวตายไปหลายครั้งแล้ว กล่าวได้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สามารถพึ่งพาใครได้เลยสักคน 

ดูเหมือนว่า สถานการณ์ของนางจะไม่สู้ดีนัก 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเม้มริมฝีปากบางและหรี่ตาลงขณะกำลังวิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจุบัน นางเป็นคนไร้ค่าที่ไม่สามารถไว้ใจใครได้ รวมทั้งมีแม่เลี้ยงและน้องสาวต่างมารดาที่คอยจับตาดูนางอยู่ตลอดเวลา นั่นคือสิ่งที่นางกำลังเผชิญ 

“ในเมื่อคุณหนูไม่เป็นไรแล้ว ก็รีบลุกขึ้นเถอะเจ้าค่ะ มีแขกคนสำคัญอยู่ในคฤหาสน์ หากเหล่าคุณหนูคุณชายเหล่านั้นมาเห็นสภาพของคุณหนูในตอนนี้ เกรงว่าชื่อเสียงของคุณหนูจะ…” 

คำพูดของแม่นมเหมยถูกขัดจังหวะด้วยเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นไม่ไกล ตามมาด้วยเสียงร้องของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ “ข้าจำได้แม่นว่าตอนที่ข้าออกไปหยกยังอยู่บนมือของข้า แล้วทำไมตอนนี้มันถึงไม่มีแล้วเล่า” 

“พี่สาวไม่ต้องกังวล ตอนที่พวกเราออกไป นังคนไร้ค่ายังอยู่ที่นี่ ตอนนี้หยกหายไปแล้ว นางจะต้องเป็นคนเอาไปอย่างแน่นอน ไปหานางเพื่อเอาคืนกันเถอะ อย่าปล่อยให้นางรังแกท่านได้ตลอดเวลา” เฮ่อเหลียนเหมยกล่าว นางหันหลับมา และเดินนำกลุ่มหญิงสาวจากตระกูลขุนนางให้ตามนางมายังริมทะเลสาบ พวกนางมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างฉุนเฉียว หากไม่ใช่เพราะรายงานจากข้ารับใช้พวกนั้น นางก็คงยังไม่รู้ว่านังผู้หญิงไร้ค่าคนนี้จะได้รับการช่วยเหลือ และไม่ได้จมน้ำตาย 

บรรดาเด็กสาวจากตระกูลขุนนางต่างก็มองเฮ่อเหลียนเวยเวยตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วแต่ละคนก็คลี่พัดออกเพื่อปิดบังรอยยิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะเอ่ยถามอย่างถากถางว่า “เฮ่อเหลียนเวยเวย เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหรือ แม้ว่าจะถูกซื่อจื่อถอนหมั้น แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกระโดดน้ำฆ่าตัวตายนี่ ทำไมเจ้าถึงทำให้ตัวเองดูน่าสมเพชเช่นนี้ได้” 

แม้ว่านางจะถูกหญิงสาวกลุ่มใหญ่เยาะเย้ย แต่นางก็ไม่ได้พยายามแม้แต่จะลุกขึ้นมา ขาด้านซ้ายของนางงอเล็กน้อย นางยื่นมือไปปัดผมยาวที่เปียกโชกเอาไว้หลังใบหู ท่าทีที่ดูธรรมดาทั่วไปนั้น กลับทำให้นางดูเย่อหยิ่งและสง่าผ่าเผยอย่างบอกไม่ถูก นางจ้องมองเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ด้วยดวงตาที่เฉียบคม และเอ่ยถาม “นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการหรือ” 

“พี่สาว ท่านกำลังพูดเรื่องอะไร เจียวเอ๋อร์ไม่เข้าใจ ข้ามาที่นี่เพื่อตามหาหยกของข้า” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เม้มริมฝีปากและเอ่ยอย่างน่าสงสาร ดวงตาที่งดงามของนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา 

เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเย้ยหยันในใจ นางช่างแสดงได้สมบทบาทจริงๆ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าในสมัยโบราณนั้น พรหมจรรย์สำคัญยิ่งกว่าชีวิต 

และจากการหมั้นหมายที่ถูกยกเลิกนั้น ก็ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยกลายเป็นตัวตลกที่ถูกหัวเราะเยาะไปทั่วเมืองหลวงตอนนี้ เนื้อตัวของนางก็เปียกโชก และมีผู้คนมากมายมุงดู ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเสียงที่ดังขนาดนี้ จะต้องไปรบกวนเหล่าคุณชายในตระกูลขุนนางที่อยู่ในห้องหนังสือนั้นอย่างแน่นอน 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่เพียงแค่พยายามแย่งชิงการแต่งงานของเฮ่อเหลียนเวยเวยเท่านั้น แต่สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ต้องการคือทำลายชีวิตของนางให้ย่อยยับอีกด้วย 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์รู้สึกผิดปกติกับคำถามของเฮ่อเหลียนเวยเวย ดวงตาของนางเบิกกว้างอย่างไรก็ตาม เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งแววตาของนางช่างน่าสงสาร นางกัดริมฝีปากของตัวเองเล็กน้อยพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่กำลังกลั้นน้ำตาว่า “พี่สาว ท่าน… ท่านจะระบายความโกรธแค้นในใจของท่านก็ได้ แต่… แต่ทำไมท่านต้องกล่าวหาข้าด้วย” หลังจากพูดจบเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็สะอื้นไห้และเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเฮ่อเหลียนเหมย 

เฮ่อเหลียนเหมยที่เป็นคนเจ้าอารมณ์อยู่แล้วตะโกนร้องเสียงดังอย่างโกรธเคือง “ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี เจ้าคิดว่าสามารถกลั่นแกล้งรังแกพวกเราแบบนี้ได้เพราะสถานะของเจ้าเช่นนั้นหรือ เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้าไม่กลัวว่าสวรรค์จะลงโทษเจ้าหรืออย่างไร” 

เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่าเด็กสาวต่างก็มองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับว่าพวกนางกำลังมองดูโคลนตมที่มีกลิ่นเหม็นและเปื้อนรองเท้าของตนเองที่ไม่อาจซักออกได้  

เฮ่อเหลียนเวยเวยกอดอกและเม้มริมฝีปากอย่างเย็นชา ดวงตาของนางหรี่ลงเล็กน้อยพร้อมกับจ้องสองพี่น้องที่แสดงท่าทางแบบนั้นออกมา จากประสบการณ์ของนางแล้ว ปัญหาเช่นนี้คงไม่จบลงง่ายๆ 

แน่นอนว่าเสียงรอบข้างไม่ได้เบาลง แล้วเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ส่งเสียงร้องลั่นว่า “พี่สาว สิ่งที่ส่องประกายวิบวับบนตัวท่านนั้นคืออะไรกัน” 

“มันคือหยก” เกือบเป็นเวลาเดียวกัน เฮ่อเหลียนเหมยก็แสร้งตะโกนออกมาเสียงดัง น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยการดูถูก “ข้าบอกแล้วว่านางเอาไป เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้าก็รู้ว่าหยกอันนี้เป็นของพี่รอง แต่เจ้าก็ยังเอาไปซ่อน นี่เป็นพฤติกรรมของขโมยชัดๆ ข้าจะตบเจ้า” หลังจากที่เฮ่อเหลียนเหมยพูดจบ นางก็พุ่งตัวเข้าหาเฮ่อเหลียนเวยเวย พร้อมกับง้างมือจะตบอีกฝ่าย แต่ก่อนที่นางจะได้สัมผัสแขนเสื้อของเฮ่อเหลียนเวยเวย เสียงตบหน้าก็ดังขึ้น ทำให้นางหยุดการเคลื่อนไหวลงทันที 

…………………………………………………………………. 

[1] คางคกอยากกินเนื้อหงส์ เป็นสำนวน มีความหมายว่า คิดฝันไกลเกินไป หวังในสิ่งที่เกินตัว มักใช้เป็นคำเยาะเย้ยเหน็บแนม