เฮ่อเหลียนเหมยจับใบหน้าด้านซ้ายของตนเอง และมองไปยังหญิงสาวที่เข้ามาหานางอย่างไม่เชื่อสายตาพลางคิดในใจ “นางคนนี้เป็นบ้าไปแล้วหรือ” ก่อนจะพูดขึ้นว่า “นังแพศยา เจ้ากล้าตบข้า เจ้า…” 

เพี๊ยะ! 

เสียงตบหน้าดังขึ้นอีกครั้ง 

ชุดของเฮ่อเหลียนเวยเวยพลิ้วไหวตามสายลม นางเม้มปาก และเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นชา “น้องสาว” 

ทุกคนต่างก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วมากจนพวกเขาตอบสนองไม่ทัน แม้แต่ในตอนนี้พวกเขาก็ไม่แน่ใจว่านางกำลังพูดถึงใคร 

เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะใส่เฮ่อเหลียนเหมยที่ทำหน้าแปลกประหลาด พร้อมกับเป่าปลายนิ้วมือของตนเองเบาๆ ก่อนจะยิ้มกว้างและพูดขึ้นว่า “น้องสาวควรไปถามคนอื่นดูว่า ในเมืองนี้ มีน้องสาวคนใดบ้างที่กล้าพูดจาไร้มารยาทเช่นนี้กับพี่สาวคนโตของตระกูล หากเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วก็แค่พูดออกมา” 

“เจ้า เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงเรียกตัวเองว่าพี่สาวคนโต เจ้ามันก็เป็นแค่คนไร้ค่า” เฮ่อเหลียนเหมยกัดฟันกรอด เห็นได้ชัดว่านางไม่พอใจ “เจ้า… โอ๊ย” 

เฮ่อเหลียนเวยเวยหมุนตัวกลับมา และใช้มือซ้ายจับเข้าที่คอของเฮ่อเหลียนเหมยทันที รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างกายของนางขณะจ้องมองอีกฝ่าย 

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่อยากพูดได้อีกต่อไปแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยเย้ยหยันด้วยท่าทีแข็งกร้าว ผมที่เปียกหมาดๆ ของนางทิ้งตัวลงมารับกับกรอบหน้าอันงดงามของนาง หญิงสาวดูราวกับภูติพรายที่เพิ่งเดินขึ้นมาจากผืนน้ำ บรรยากาศที่เยือกเย็นลงนั้นทำให้ผู้คนรอบข้างต่างสั่นสะท้าน 

ไม่มีหญิงสาวคนใดกล้าก้าวเท้าไปข้างหน้า เมื่อสบตากับเฮ่อเหลียนเวยเวย พวกนางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ  

เฮ่อเหลียนเวยเวยความหนาวเย็นนี้ราวกับมาจากนรก และดูเหมือนว่าจะสามารถฆ่าพวกนางได้ 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่มองดูเหตุการณ์นั้นอยู่ไกลออกไปเล็กน้อย ใบหน้าของนางงอง้ำด้วยความหงุดหงิด 

เกิดอะไรขึ้นกับนางผู้หญิงไร้ค่าคนนั้น 

พวกนางถูกหญิงสาวที่ไม่มีแม้แต่พลังลมปราณข่มขู่เช่นนั้นหรือ น่าตายนัก 

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จะอ้าปาก นางก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำและฟังดูเคร่งขรึมดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง “นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน” 

ทุกคนหันกลับไปมองและพบว่าเขาคนนั้นก็คือประมุขของตระกูล เฮ่อเหลียนกวงเย่า 

เขาไม่ได้มาเพียงคนเดียว แต่มีคุณชายอีกสองสามคนเดินตามมาข้างหลัง 

ในบรรดาพวกเขาเหล่านั้น มีคนที่เพิ่งล้มเลิกงานแต่งกับเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างมู่หรงฉางเฟิงอยู่ด้วย เขาสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีน้ำเงินเข้ม ใบหน้าของเขาหล่อเหลาสะอาดสะอ้านและดูโดดเด่น โดยเฉพาะดวงหงส์คู่นั้น ดูราวกับศิลาหมึกโบราณที่ดูลึกลับและหนักแน่น จนผู้คนที่พบเห็นไม่อาจละสายตาจากเขาได้เลย 

เฮ่อเหลียนเวยเวยกวาดตามองผู้หญิงทุกคนที่อยู่ที่นั่น และเห็นว่าพวกนางทั้งหมดกำลังมองดูมู่หรงฉางเฟิงด้วยแววตาหลงใหล พร้อมกับใบหน้าที่แดงระเรื่อ นางเริ่มมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด ก่อนจะตระหนักได้ว่าทำไมเวยเวยคนก่อนถึงหลงรักเขา ผู้ชายคนนี้หน้าตาดี ไม่แปลกใจเลยที่หญิงสาวเกือบทุกคนจะคลั่งไคล้เขา โดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย 

แต่หญิงสาวมองเห็นเพียงความน่ารังเกียจและความหยิ่งยโสจากอีกฝ่ายเท่านั้น เพียงแค่มองปราดเดียว นางก็สามารถเห็นสิ่งเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน 

ชายคนหนึ่งนั่งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากริมแม่น้ำที่อยู่ไกลออกไป เขาค่อยๆ วางถ้วยชาในมือลง เสื้อคลุมที่สวมใส่อยู่เปิดออกครึ่งหนึ่ง ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อยขณะที่ปลายนิ้วของเขาเคาะลงบนถ้วยกระเบื้องเคลือบสีน้ำเงินขาวชั้นดี ภายใต้หน้ากากสีเงินนั้นแผ่กลิ่นอายความกดดันอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้ใครๆ ต่างก็ต้องยอมแพ้ เขามองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างสนใจ พร้อมกับปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่บนเสื้อคลุมของตนอย่างแผ่วเบา ท่าทีอันสุขุมและไร้กังวลของเขานั้นดูเกียจคร้าน ริมฝีปากของเขาโค้งเป็นรอยยิ้มในขณะที่แววตาคู่นั้นดูจะสนุกไปกับพวกเขา 

อีกด้านหนึ่ง ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเหมยเริ่มบวม นางจ้องเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างโกรธแค้น 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยดวงตาแดงก่ำ และขนตาของนางก็มีน้ำตาเกาะอยู่ 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เป็นลูกสาวคนโปรดของเฮ่อเหลียนกวงเย่า เมื่อเห็นนางทำท่าเหมือนถูกรังแก เขาจึงโกรธอย่างมาก ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อของตนไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นจึงพูดขึ้นอย่างเย็นชา “เกิดอะไรขึ้นกันแน่” 

“ท่านพ่อ” เฮ่อเหลียนเหมยปิดใบหน้าของนางและร้องออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “หยกของพี่รองหายไป และตอนนั้น ก็มีพี่ใหญ่อยู่ริมแม่น้ำเพียงคนเดียวเท่านั้น เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนเอาหยกไป แต่นางกลับปฏิเสธและยังตบหน้าข้าอีกด้วย” 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ดึงแขนเสื้อของเฮ่อเหลียนเหมยเบาๆ และส่ายศีรษะก่อนจะพูดขึ้น “น้องสาม อย่าพูดอะไรอีกเลย มันเป็นเพียงหยกชิ้นหนึ่งเท่านั้น หากท่านพี่ชอบ ข้าก็จะยกให้นาง เพียงแค่กลัวว่าข้าจะทำให้ท่านพ่อผิดหวังก็เท่านั้น เพราะหยกชิ้นนี้เป็นของที่ท่านพ่อไปหามาอย่างยากลำบากจากแคว้นตะวันตก ปกติแล้ว ข้าเองก็ไม่กล้าแขวนมันไว้ แต่จะเอาออกมาแขวนเฉพาะในโอกาสพิเศษเท่านั้น ข้าต้องรบกวนท่านพี่ดูแลมันเป็นพิเศษด้วย ช่วยเช็ดทำความสะอาดมันเป็นระยะๆ ด้วยเจ้าค่ะ ส่วนใบหน้าของเจ้านั้น เมื่อพวกเรากลับไปแล้ว ข้าจะช่วยทายาให้เอง ฉะนั้น อย่าไปรบกวนท่านพี่อีกเลย… พวกเราไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้นหรอก…” 

ยิ่งนางพูดเช่นนี้ ความโกรธของเฮ่อเหลียนกวงเย่าก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น หลายปีที่ผ่านมา เขายอมทนกับความเอาแต่ใจของเฮ่อเหลียนเวยเวยมาโดยตลอด 

สำหรับเฮ่อเหลียนกวงเย่าแล้ว เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นเพียงความอัปยศในชีวิตที่เขาไม่อยากเอ่ยถึงด้วยซ้ำ 

เพราะหญิงไร้ค่าผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ ทำให้เขาถูกตอกย้ำเสมอว่าเขาไม่ใช่ทายาทที่แท้จริง และเป็นเพียงแค่ ‘ลูกเขย’ ที่แต่งงานกับตระกูลเฮ่อเหลียนเท่านั้น 

แต่ตอนนี นางกล้ารังแกลูกสาวสุดที่รักของเขา 

หากวันนี้เขาไม่ได้สอนบทเรียนให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเสียบ้าง เขาก็คงไม่อาจระงับความโกรธที่ปะทุอยู่ภายในได้ 

เมื่อคิดได้ดังนั้น เฮ่อเหลียนกวงเย่าก็ยกแส้ในมือขึ้นมา และกำลังจะฟาดไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย 

ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ลงก่อนเรียวขาของนางจะเตะแส้เส้นนั้นออกไป 

เฮ่อเหลียนกวงเย่าตกตะลึง เขาไม่คิดว่าบุตรสาวคนโตที่ไร้ความสามารถมาโดยตลอดจะตอบโต้ได้เช่นนี้ 

“เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้า… เจ้ากล้ามาก ากล้าไม่เชื่อฟังแม้แต่ท่านพ่อของเจ้า” 

เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ “ข้าแค่ไม่อยากถูกเฆี่ยนตีโดยไร้เหตุผล จะเป็นการไม่เชื่อฟังได้อย่างไรกัน” 

“พี่ใหญ่ จนป่านนี้แล้วท่านยังไม่ยอมแพ้อีกหรือ” เฮ่อเหลียนเหมยรีบวิ่งเข้ามาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง “พี่รองเห็นว่ามีสิ่งที่เป็นประกายบนตัวท่านแล้ว” 

ริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าหมายความว่าสิ่งที่เปล่งประกายนั่นจะต้องเป็นหยกเช่นนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้น ทำไมเจ้าไม่บอกว่าของทุกอย่างที่ส่องแสงได้ก็คือทองเล่า หากเป็นเช่นนั้น ดูจากความระยิบระยับที่เปล่งกระกายออกมาจากตัวของเจ้าแล้ว เจ้าไม่ต้องเปลี่ยนชื่อเป็นเป้าฟาเหมย [1] หรือ” 

“หึ” 

หญิงสาวที่เป็นผู้ชมอยู่รอบข้างหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว 

เฮ่อเหลียนเหมยชอบสวมใส่ทองและเครื่องเงินอยู่ตลอดเวลา เมื่อก่อนพวกนางคิดว่านางแต่งตัวได้อย่างเฉิดฉาย แต่ทว่าตอนนี้ เมื่อพวกนางพินิจดูอีกครั้ง มันกลับดูเยอะจนเกินงามไป 

“ท่านพี่… หยุดรังแกน้องสามได้แล้ว” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นอย่างใสซื่อ ใบหน้าอันอ่อนหวานของนางเต็มไปด้วยความสงสาร “ตระกูลที่รักใคร่กลมเกลียวกันถึงจะมีความสุข ครั้งหน้าหากพี่สาวเห็นอะไรแล้วชอบ ก็เพียงบอกข้ามา ท่านไม่จำเป็นต้องทำให้ท่านพ่อโกรธเคืองเช่นนี้” 

เมื่อเฮ่อเหลียนกวงเย่าได้ยินดังนั้น ในมือก็กำแส้แน่นขึ้น และพูดด้วยความโกรธเคือง “พอได้แล้ว เฮ่อเหลียนเวยเวย หากเจ้ายังไม่ยอมรับความผิดก็ออกไปเสีย ตระกูลของพวกเราไม่อาจมีโจรขโมยได้” 

“หืม ออกไปหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วและยิ้มอย่างเย็นชา “ถ้าข้าไม่พูดถึง ก็ดูเหมือนว่าทุกคนที่นี่จะลืมไปแล้วว่าข้าคือเฮ่อเหลียนเวยเวย เป็นทายาทที่แท้จริงของตระกูลเฮ่อเหลียน และท่านก็เป็นแค่ลูกเขยเท่านั้น” 

……………………………………………………………………. 

[1] เป็นการเล่นกับคำว่า เป้าฟา爆发 ที่หมายถึงคนที่ร่ำรวย และคำว่า เหมย ที่เป็นชื่อของ เฮ่อเหลียนเหมย รวมกันจะมีความหมายประมาณ เหมยผู้ร่ำรวย