บทที่ 2 คุณย่าผู้ปกป้อง

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 2 คุณย่าผู้ปกป้อง
บทที่ 2 คุณย่าผู้ปกป้อง

ชีวิตก่อนหน้านี้ ซูเสี่ยวเถียนไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน คุณปู่ของเธอเป็นคนไม่ค่อยพูด นั่นเป็นผลให้ซูหม่านเซียงจองหองพองขนมากขึ้นเรื่อย ๆ และครั้งนี้ก็ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นที่บ้านของตน

ในชีวิตนี้มันแตกต่างกันเหลือเกิน!

“หลาน ๆ พาอาของพวกแกออกไป อาของพวกแกเป็นคนเมือง ชาวนายากจนอย่างเราไม่อาจเอื้อมถึง!” คุณปู่ซูไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระและตัดสินใจอย่างเฉียบขาด

ตระกูลซูมีหลานชายทั้งหมดเก้าคน มีเพียงครอบครัวสามเท่านั้นที่ให้กำเนิดเด็กผู้หญิง นั่นคือซูเสี่ยวเถียน

ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสในครอบครัวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพี่ชายทั้งเก้าที่ทั้งรักทั้งเอ็นดูน้องสาวเพียงคนเดียวของพวกเขา ปกป้องเธอราวกับแก้วตาดวงใจ จะปล่อยให้เธอทุกข์ทรมานได้อย่างไร?

ในหมู่บ้าน ผู้ใดบ้างเล่าจะไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรหากไปยั่วยุเด็กแสบเก้าคนของตระกูลซู แต่กับซูเสี่ยวเถียน อย่าได้คิดจะแตะต้องหล่อนแม้แต่ปลายผมเชียว!

มิฉะนั้น พี่น้องเก้าคนของหล่อนจะสอนบนเรียนของการเป็นมนุษย์ให้พวกคุณทันที

เมื่อเหล่าพี่ชายเห็นน้องสาวถูกรังแก หัวใจจึงร้อนรนดั่งไฟสุ่มอก เพียงแต่ยังเห็นซูหม่านเซียงเป็นอาวุโส จึงไม่ได้กระทำการอุกอาจ

ตอนนี้พวกเขาได้รับคำสั่งจากคุณปู่ซูแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจอีกต่อไป และตอบรับอย่างรวดเร็วหนึ่งเสียง น้ำเสียงนั้นสม่ำเสมอและมั่นคง!

เด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีวิ่งไปหยุดข้างกายซูหม่านเซียงฉับไว ล็อกแขนทั้งสองข้างของนาง ไม่สนท่าทางดิ้นรนเอาตัวรอด และลากหล่อนออกจากห้องไป

“เจ้าเด็กเหลือขอสองคนแกจะทำอะไร ฉันเป็นอาของแกนะ!” ซูหม่านเซียงไม่อยากจะเชื่อ เธอถูกปฏิบัติเช่นนี้เมื่อกลับมาบ้านพ่อแม่!

หลานชายคนโตตระกูลซูพ่นลมเย็นชา

อางั้นรึ? อาคนนี้มีดีตรงไหนกัน?

บ้านใดบ้างที่ไม่มีอา?

นอกจากนี้ อาบ้านใดบ้างที่มีนิสัยเหมือนหล่อน?

แต่งกายโอ้อวดทำตัวอยู่เหนือผู้อื่น ทั้งยังสรรหาวิธีหยิบฉวยของจากบ้านบิดาและมารดาไปให้บ้านสามี ไม่เคารพพี่ชายและพี่สะใภ้ ไม่มีความรักต่อหลานชายและหลานสาวของหล่อนแม้แต่น้อย!

เด็กหนุ่มสองคนที่อายุน้อยกว่าเล็กน้อยมองซูหม่านเซียงถูกลากออกไป ดวงตาสีดำขลับสองคู่สบประสานกัน รุดขึ้นหน้าลากคังเหม่ยฮวาที่กำลังร้องไห้กระจองอแงตามไปด้วย

“นายทำแบบนี้ไม่ได้ ฉันเป็นแขก! ถ้านายรังแกฉัน พ่อของฉันจะไม่ปล่อยพวกนายไว้แน่” คังเหม่ยฮวาคาดไม่ถึงว่าหล่อนจะถูกโยนออกมาเช่นกัน

หล่อนร้องไห้ฟูมฟาย โดยไม่ลืมที่จะเตือนสติพวกเขาว่าตนเป็นแขก และมีสถานะสูงศักดิ์!

“คุณพ่อคะ คุณแม่คะ เพียงเพื่อนังเด็กล้างผลาญถึงกับไม่ต้องการลูกสาวแบบฉันแล้วรึ?” ซูหม่านเซียงหันศีรษะกลับมาตะโกนเสียงดังลั่น

“เธอน่ะสิตัวล้างผลาญ ทุกครั้งที่กลับมาขอเพียงเป็นสิ่งที่กินได้ก็นำกลับไป ไม่เคยมีของติดไม้ติดมือมาให้ฉันกับพ่อของแกเลย! วันนี้เทศกาลตวนอู่ เธอนำบ๊ะจ่างมาหรือไม่?” คุณย่าซูตะโกนกึกก้องโดยไม่ไว้หน้าลูกสาว!

ซูเสี่ยวเถียนโผลเข้าอ้อมกอดของคุณย่า และชื่นชมเธออย่างช่วยไม่ได้!

คุณย่าเก่งมาก!

“คุณย่าคะ คุณย่าแสนดีที่สุด!” ซูเสี่ยวเถียนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา

“สาวน้อยตัวแสบ แล้วปู่เล่า?” คุณปู่ซูหยอกล้อหลานสาวตัวน้อย

“คุณพ่อ คุณแม่ พ่อรอง แม่รอง พ่อใหญ่ แม่ใหญ่ รวมทั้งพี่ชายของหนูด้วย!” ซูเสี่ยวเถียนเอ่ยเสียงออดอ้อน ไม่ให้ตกหล่นแม้แต่คนเดียว

พวกเขาดีต่อเธอทั้งในชีวิตนี้และในชีวิตก่อนหน้า

เธอเป็นเด็กหญิงเพียงคนเดียวในครอบครัว จึงถูกเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ เหล่าพี่ชายไม่เคยดุด่าเธอสักคำ ไม่แม้แต่ให้ยื่นมือเข้าไปจับต้องงานทั้งหมดในครอบครัว กระทั่งถูกตามใจจนเสียนิสัย

ถูกประคบประหงมมาตั้งแต่เด็ก นิ้วทั้งสิบของเธอไม่เคยแตะต้องสิ่งใด ครั้นถึงเวลาแต่งงานออกเรือน ยังไม่อาจซักผ้าหรือทำอาหารได้เลย

“ช่างพูดเชียว เจ้าเด็กตัวน้อยของย่า!” คุณย่าซูลูบใบหน้าของซูเสี่ยวเถียนโดยไม่รู้ตัว ในขณะนั้นสีหน้าของคุณย่าซูเปลี่ยนไปทันใด “น้องเถียนเป็นไข้!”

“อะไรนะ?” สีหน้าของคุณปู่ซูเปลี่ยนไปเช่นกัน

เหลียงซิ่ว แม่ของซูเสี่ยวเถียนรีบเช็ดหน้าผากลูกสาวของเธอ โดยมีสายตาคนอื่นมองตามด้วยความเป็นห่วง

บรรยากาศมีชีวิตชีวาเมื่อครู่หายไปฉับพลัน

“รีบไปตามหมอมาเร็วเข้า!” ยังเป็นคุณย่าซูที่เอ่ยปาก

พี่น้องที่ส่งซูหม่านเซียงและคังเหม่ยฮวาออกไปเพิ่งกลับมา เมื่อได้ยินคุณย่าบอกว่าซูเสี่ยวเถียนมีไข้ พวกเขาจึงหมุนตัวกลับวิ่งไปหาหมอเท้าเปล่าในหมู่บ้านทันที

เด็กชายที่เหลือภายในบ้านต่างวิ่งตามพวกพี่ชายของตนไปทันที

ซูเสี่ยวเถียนจำได้ว่าในชีวิตที่แล้ว ซูหม่านเซียงจากไปหลังจากก่อความวุ่นวาย บรรยากาศในบ้านตึงเครียด ครั้นพบว่าเธอมีไข้ก็ถึงเวลามื้อเย็นพอดี

ในขณะนั้น ซูเซียวเถียนไข้ขึ้นอยู่หนึ่งชั่วโมง สติของหล่อนเลือนรางลงเรื่อย ๆ

ต้องขอบคุณทักษะทางการแพทย์ที่ดีของหมอในหมู่บ้าน ทำให้เขาสามารถช่วยชีวิตเธอเอาได้ แต่หลังจากฟื้นขึ้นมาเธอก็ต้องป่วยอยู่บนเตียงหลายวัน

“ฉันเอาผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำเย็นมาแล้ว เช็ดก่อน!” ฉีเหลียงอิงผู้เป็นแม่รองรีบนำผ้าเช็ดหน้าเปียกไปให้เหลียงซิ่ว

เธอยังกล่าวอีกว่า “ฉันได้ยินคนพูดว่าใช้เหล้าเช็ดตัวจะช่วยลดไข้ได้ ฉันจำได้ว่าที่บ้านยังมีเหล้าข้าวโพดอยู่บ้าง”

“รอหมอมาดูอาการก่อน ฉันไม่รู้ว่าเหล้าข้าวโพดจะใช้ได้หรือไม่” ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ คุณปู่จึงยื่นคำขาด

หลังจากที่เหลียงซิ่วเช็ดมือและเท้าของลูกสาวสามครั้ง เด็กหนุ่มหลายคนก็ลากหลี่หมิงไฉ หมอเท้าเปล่าจากหมู่บ้านไปที่ลานบ้าน

โดยมีซูโส่วเวินพี่ใหญ่สุดถือกล่องยาของหลี่หมิงไฉตามมา

แม่ใหญ่อย่างหวังเซียงฮวาเห็นว่าหมอเฒ่าหอบหายใจจนพูดไม่ได้ จึงจ้องไปที่เด็กหนุ่มสองสามคนซึ่งไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินหนา*[1] เสียเลย จากนั้นจึงเชิญหลี่หมิงไฉไปยังห้องหลักด้วยรอยยิ้ม

เธอกุลีกุจอเทน้ำให้หมอเฒ่าดื่มอย่างสุภาพ

หลังจากดื่มน้ำติดต่อกันหลายอึก ลมหายใจของหมอเฒ่าก็กลับมาเป็นปกติ หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ

“เด็กแสบพวกนี้ เกือบคร่าชีวิตคนแก่อย่างฉันแล้ว” หมอเฒ่ากล่าวพลางยืดเส้นยืดสาย

“พวกเขากำลังรีบร้อน โปรดท่านให้อภัย” หวังเซียงฮวากล่าวขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่า

หลี่หมิงไฉเข้าใจได้ว่าเมื่อมีคนในครอบครัวเจ็บป่วย ความร้อนรนกังวลใจย่อมเป็นเรื่องสมควร

“มีผู้ใดในบ้านป่วยหรือ? ถึงได้กระวนกระวายเช่นนี้!”

“วันนี้น้องเสี่ยวเถียนตกน้ำ ตอนนี้จึงไข้ขึ้น รบกวนท่านช่วยดูอาการหล่อนหน่อยเถอะ” คุณปู่ซูพูดอย่างเคร่งขรึม

เรื่องที่ซูเสี่ยวเถียนตกน้ำ เขาได้ยินมาบ้าง แต่ไม่คิดว่ามันจะร้ายแรงถึงเพียงนี้

อย่างไรก็ตาม อาจเป็นตระกูลซูที่ตื่นตูมกันไปเอง

มีเด็กชายหลายคนในตระกูลซู ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีเด็กหญิงตัวน้อยกำเนิดขึ้นในครอบครัว ทั้งบ้านปกป้องนางดุจไข่ในหิน

“ฉันจะลองดู!” หลี่หมิงไฉพูด และเดินไปยังห้องขนาดเล็กถัดจากห้องโถง

ห้องนอนของซูเสี่ยวเถียนอยู่ในห้องหลัก ถึงแม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีพื้นที่อิสระส่วนตัว

ในห้องมีเตียงเตาหนึ่งเตียง มีตู้ไม้อยู่บริเวณหัวเตียง บนตู้มีกล่องเก่าใบเล็กวางไว้

เจ้าของร่างเล็กกำลังนอนอยู่บนเตียง ขณะที่คุณย่าซูและเหลียงซิ่วนั่งอยู่ข้าง ๆ คอยเช็ดมือเช็ดเท้าให้

ช่วงเวลาขณะหนึ่ง ใบหน้าของซูเสี่ยวเถียนก็ขึ้นสีแดงจัด

ครั้นหลี่หมิงไฉเห็นว่าผู้คนเดินตามเข้ามาห้อมล้อมเด็กหญิงตัวน้อย จากนั้นเขาก็โบกไล่พวกเขาออกไปพัลวัน

“เลิกมุงกันได้แล้ว ประเดี๋ยวเธอจะหายใจไม่ออก ไปให้พ้น ไปให้พ้น!”

“พวกเจ้าออกไปเร็ว ๆ มัวพิรี้พิไรอยู่ได้!” คุณย่าซูโบกมือไล่หลาน ๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าหลานชายคนโตจะไม่เต็มใจและต้องการปกป้องน้องสาวของพวกเขา หากแต่ก็รู้ถึงระดับความสำคัญและทำได้เพียงถอยออกไปเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม พวกเขายังต้องการทราบข่าวของน้องสาวของเขาโดยเร็วที่สุด

“มองดูแล้วอาการค่อนข้างหนัก เด็กหญิงร่างกายอ่อนแอ เหตุใดถึงตกไปในน้ำได้เล่า?” หลี่หมิงไฉพึมพำ โดยไม่รอให้ครอบครัวของซูตอบ เขาหยิบหมอนใบเล็ก ๆ ออกมารองข้อมือซูเสี่ยวเถียนแล้วเริ่มวัดชีพจร

ผู้คนในตระกูลซูต่างรอคอยผลลัพธ์อย่างใจเย็น ไม่แม้แต่จะกล้าหายใจเสียงดัง

หลังจากนั้นไม่นาน หลี่หมิงไฉก็ถอนมือออกด้วยท่าทางเคร่งขรึม

*[1] เป็นสำนวนตรงกับสำนวนไทยที่ว่า ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ซึ่งมีความหมายว่า ความแตกต่างทางฐานะและชนชั้น