พอฉันเปิดประตูออกแล้วเดินผ่านเข้ามา อากาศรอบตัวฉันก็เปลี่ยนไปในทันที

 

“โห มืดจังเลย”

 

โทริโกะพึมพำอยู่ข้างหลัง

ฉากที่อยู่ต่อหน้าเราเป็นภาพของตึกที่ทิ้งร้างในตอนเย็น ฝ้าเพดานและกระดาษบุผนังข้างในก็ร่วงลงมาแล้ว ทั้งเตาแก๊สทั้งอ่างล้างจานก็มีฝุ่นพอกจนดำ ใบแจ้งค่าไฟ ค่าน้ำ และค่าอื่นๆ อีกมากมายวางกระจายอยู่บนโต๊ะที่ฝุ่นหนาเตอะ กระดาษก็เหลืองเก่าจนอ่านตัวอักษรบนนั้นไม่ออกแล้ว

พอฉันหันกลับไป ประตูด้านหลังก็ปิดไปแล้ว มันคือประตูทางเข้า/ทางออกของที่พักเล็กๆ หลังร้านขายเซ้ง ตรงข้ามกันก็มีย่านการค้า ตามปกติ ประตูนี้เมื่อเปิดออกไปก็จะเจอกับซอยแคบๆ

นี่คือทางผ่านไปสู่โลกเบื้องหลังที่ฉันหาเจอ

โทริโกะมองไปรอบๆ ห้อง  ก่อนจะถาม

 

“ที่นี่ที่ไหนน่ะ?”

“เขตโอมิยะ ทางตะวันออกของสถานีน่ะ―”

“หวา! ที่ไซตามะเหรอ!? ไม่นึกว่าจะเดินมาไกลขนาดนั้นเลยนะเนี่ย”

“โทริโกะเข้ามาจากทางไหนเหรอ?”

“จิมโบโจ ― ในโตเกียวน่ะ ที่นั่นจะต้องมีอะไรแปลกๆ ในมิติแน่เลย”

 

ฉันได้ยินเสียงลอยมาจากย่านการค้าข้างนอก : เสียงก้าวเท้าที่ผ่านไปมา และเสียงกริ่งน่ารำคาญจากจักรยาน ทุกครั้งที่เสียงประตูหน้าร้านปาจิงโกะเปิดออก ฉันจะได้ยินเสียงกระแทกไปมาของลูกเหล็กดังออกมาด้วย ใช่ ― นั่นคือสิ่งที่หายไปเมื่ออยู่ในโลกเบื้องหลัง เสียงพูดคุย เสียงรถรา เสียงหึ่งจากอุปกรณ์ไฟฟ้า ที่นั่นไม่มีอะไรพวกนั้นซักอย่าง มีแต่เสียงต้มไม้ที่ไหวไปตามสายลม หรือไม่ก็จะมีเสียงร้องแบบนกหรือแมลงดังขึ้นเป็นครั้งคราว ไม่มีเสียงจากการกระทำของมนุษย์เลย

ความเงียบสนิทจนน่าใจหายนี่แหละคืออะไรที่ฉันถูกใจเลย

ที่นั่นเป็นโลกที่เงียบและสงบ ครั้งนึงฉันเคยคิดว่ามันเป็นแค่สถานที่ที่ฉันสร้างขึ้นมาเอง… แต่ว่า…

จู่ๆ ก็มีเสียงบางอย่างครูดกับพื้น ฉันผงะไปโดยไม่ตั้งใจ มันเป็นแค่เสียงที่โทริโกะลากเก้าอี้ที่ฝุ่นจับที่ตั้งอยู่ข้างโต๊ะ ก่อนที่เธอจะทิ้งตัวลงนั่งและถอนหายใจออกมา หลังจากลังเลอยู่นิดหน่อย ฉันก็ดึงเก้าอี้ถอยมาบ้าง ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงเหมือนกัน ตรงข้ามของฉันตอนนี้คือหน้าของโทริโกะทางด้านข้าง ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ตอนนี้ เธอกำลังเท้าศอกบนโต๊ะ พลางเหม่อมองดูเตาแก๊สฝุ่นเกาะตรงนั้น

 

“เคยไปฝั่งนั้นมาแล้วกี่ครั้งเหรอ?”

 

พอฉันพูดออกไป โทริโกะกระพิบตาปริบๆ เหมือนฉันไปปลุกเธอออกมาจากความฝัน ก่อนที่เธอจะหันมาตอบฉัน

 

“ประมาณ 10 ครั้งล่ะมั้ง?”

 

จริงเหรอนั่น? เมื่อกี้เพิ่งจะครั้งที่ 3 ของฉันเองนะ

 

“บ่อยขนาดนั้นเลยเหรอ… ถึงว่าทำไมถึงรู้เรื่องละเอียดขนาดนั้น”

“เปล่า ฉันไม่รู้อะไรละเอียดขนาดนั้นหรอก”

“ฉันหมายถึง เธอจัดการคุเนะคุเนะได้นี่ ฉันไม่รู้เลยว่าทำอะไรแบบนั้นได้ด้วยน่ะ”

“คุเนะคุเนะ? อ๋อ เจ้าตัวน่าขยะแขยงนั่นมันชื่อนั้นเหรอ?”

“จะว่าชื่อก็ไม่เชิง แต่… มันมีข่าวลือแบบนั้นอยู่ มั้งนะ”

“ดูเหมือนตอนนี้ เธอจะรู้ละเอียดกว่าฉันอีกนะ โซราโอะ?”

“แค่มีความรู้พื้นฐานนิดหน่อยเองน่ะ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีอะไรแบบนี้มันจะอยู่จริงๆ”  

 

พอพูดออกไปแบบนั้น มันก็เข้าใจได้อย่างชัดเจนซักทีว่า ประสบการณ์ที่ฉันเพิ่งจะเจอมาน่ะมันเป็นอะไรที่ผิดปกติขนาดไหน

เหตุผลที่ฉันรู้เรื่องของมันก็เพราะฉันลงเรียนเอกมานุษยวิทยาวัฒนธรรมในมหาวิทยาลัย ฉันสนใจเรื่องผีที่มีการพบเห็นกันจริงๆ ในยุคสมัยใหม่ เลยเลือกใช้เป็นหัวข้องานวิจัย: [คุเนะคุเนะ] เป็นเรื่องที่เริ่มถูกเล่าขานกัน ― เริ่มต้นครั้งแรกมาจากบนอินเตอร์เน็ต ― ในช่วงราวๆ ปี 2003 ผู้เล่าได้พบกับร่างเงาที่ขาวที่บิดไปมาอย่างผิดธรรมชาติ และการมองจ้องไปที่มันก็ทำให้สติของเขาต้องปั่นป่วน ― ตำนานที่เล่ากันมาก็จะดำเนินเรื่องประมาณนี้ ฉันรู้สึกว่าเจ้าตัวที่พวกเราเพิ่งเจอกันมานั่นใกล้เคียงกับในเรื่องเล่านั้นเลย

แต่ไม่ใช่ว่าฉันจะคิดว่าคุเนะคุเนะมีอยู่จริงๆ หรอกนะ ในทางมานุษยวิทยาวัฒนธรรมแล้ว เรามองเรื่องของสัตว์ประหลาดหรือคำสาปไม่ใช่ในแง่ของการศึกษาหาตัวตนจริงๆ ของสิ่งเหล่านั้น แต่เป็นในแง่ของการศึกษาวัฒนธรรมของมนุษย์ที่สร้างเรื่องเหล่านั้นขึ้นมาต่างหาก

 

“ก็ ถ้างั้น ดูนี่หน่อยสิ เธอรู้หรือเปล่าว่ามันคืออะไร?”

 

โทริโกะค้นในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง ก่อนจะหยิบของบางอย่างที่ดูเหมือนลูกบาศก์ออกมา อะไรบางอย่างนั่นเป็นทรงหกหน้าสีเงินยาวด้านละประมาณ 5 เซนติเมตร แต่ละหน้าของมันเรียบเนียนเหมือนกระจกเงา และสะท้อนภาพของห้องที่อยู่รอบตัวเราตอนนี้ กระดาษบุผนังที่ขาดหลุดรุ่ย ฝ้าเพดานที่พังลงมา และขยะที่กระจัดกระจายก็สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนทุกอย่าง แต่ว่า สิ่งเดียวที่ไม่ได้สะท้อนภาพให้เห็น กลับมีแค่พวกเรา 2 คนเท่านั้น

 

“หาาาา…?”

 

ไม่ว่าฉันจะพยายามมองมันจากมุมอื่นก็แล้ว เอามือเข้าไปอังใกล้ๆ มันก็แล้ว กลับไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย

 

“นี่มัน… อะไรน่ะ?”

“มันตกอยู่บนพื้น ตรงที่เจ้านั่นเคยอยู่ก่อนหายตัวไปพอดีเลยล่ะ”  

 

โทริโกะตอบมาแบบนั้น พลางหยิบเอาเจ้าทรงหกหน้านั่นขึ้นมาพินิจพิเคราะห์

 

“ถ้าเอาไปขายจะได้สักเท่าไหร่หนอ?”

“ไม่ เดี๋ยวสิ ตกลง เจ้านี่มันคืออะไรกันแน่เนี่ย?”

“ไม่รู้เหมือนกัน แปลกมากเลยนะที่ฉันก็หาเกลือหินที่ปาใส่เจ้านั่นไม่เจอด้วย ไม่แน่มันอาจจะเปลี่ยนสภาพกลายเป็นเจ้านี่ไปแล้วก็ได้นะ”

 

บ้าชัดๆ กระจกที่ไม่สะท้อนภาพของมนุษย์เนี่ยนะ? เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปได้ด้วยเหรอ?

อีกอย่าง เอาของจากฝั่งนั้นกลับมาที่นี่เนี่ยมันดีแล้วจริงๆ เหรอ…?

แต่ถึงฉันจะไม่สบายใจก็ตาม ฉันก็ละสายตาออกจากวัตถุในมือของโทริโกะไม่ได้เลย ฉันคิดว่าตัวเองรู้ดีอยู่แล้วว่าโลกเบื้องหลังเป็นที่ที่ไม่ปกติ แต่เจ้าทรงหกหน้าเล็กๆ ตรงหน้าฉัน ยิ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้ฉันต้องมาทบทวนทุกอย่างใหม่ทั้งหมดอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้เลย

 

ครั้งแรกที่ฉันเจอกับโลกเบื้องหลัง ย้อนไปประมาณ 1 เดือนก่อน

ระหว่างที่ไล่ตามจุดที่มีเรื่องประหลาดที่มีการพบเห็นจริงๆ ฉันสำรวจตามสถานที่ที่ผู้คนลือกันว่าเฮี้ยน ฉันสนุกไปกับการสำรวจตามซากปรักหักพังมาตั้งแต่อยู่มัธยมแล้ว จะเรียกว่าการที่ฉันดำดิ่งเข้าไปตามสถานที่น่าสงสัยพวกนั้นทุกรูปแบบเป็นการลงงานภาคสนามเลยก็ได้ ถึง พอมาคิดๆ ดูแล้ว นั่นมันคึอการบุกรุกเข้าไปอย่างผิดกฎหมายก็เถอะ แต่… ช่างเรื่องนั้นไปก่อน ระหว่างที่ฉันออกสำรวจอยู่อย่างทุกที ฉันก็บางอย่างในตึกร้างหลังนี้ นั่นก็คือประตูออกไปสู่ทุ่งหญ้าประหลาดที่เป็นไปไม่ได้เลยว่าจะอยู่ตรงนั้น

ครั้งแรกสุด ฉันกันประตูเอาไว้เพื่อไม่ให้มันปิดได้ ก่อนจะเดินเข้าไปหนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว ก่อนจะรีบวิ่งหนีออกมา จากเรื่องแค่นั้น ฉันกลับบ้านไปพร้อมกับความงุนงงสงสัยเต็มหัว กับอะไรซักอย่างที่ไม่อยากเชื่อตาตัวเองที่เพิ่งเห็นไป

พอฉันทำใจได้ แล้วเข้าไปที่นั่นเป็นครั้งที่ 2 ฉันพยายามมากขึ้นและเดินเข้าไปข้างในได้ประมาณ 5 เมตร ก่อนที่เท้าจะจมไปในโคลน ทำเอาฉันล้มลง ตัวเปื้อนเหนอะหนะไปหมด สุดท้ายเลยต้องรีบถอยกลับมาจนได้

วันนี้ ครั้งที่ 3 ฉันแต่งตัวมาด้วยเสื้อผ้าที่เหมาะกับการออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่โลกเบื้องหลังนั่น ด้วยประสบการณ์การสำรวจซากปรักหักพังที่มีมา ฉันเลยเลือกเสื้อผ้าอุ่นๆ และรองเท้าที่ช่วยให้เคลื่อนไหวได้ง่าย การแต่งตัวของฉันที่ออกมา ถ้าบอกจะไปเล่นกีฬาก็ดูพกของมาน้อยเกินไป จะว่าไปปีนเขาก็ดูใส่เสื้อผ้ามาดูบางเกินไป มันเลยดูเด่นพอควรเลยตอนที่นั่งรถไฟมาที่นี่ ถ้ามีใครเห็นฉันเดินดุ่มๆ อยู่ตอนกลางคืน เขาคงเข้าใจผิดว่าฉันเป็นโจรแน่เลย ฉันก็ใช้วิธีไม่สนใจสายตาพวกนั้นซะ นี่แหละคือวิธีรวบรวมความกล้าเพื่อจะได้สำรวจโลกเบื้องหลังอย่างจริงจัง

ผลที่ได้คือ ฉันไปเจอกับคุเนะคุเนะ และเกือบตายมา

 

“นี่”

 

ระหว่างที่ฉันกำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง โทริโกะจู่ๆ ก็โน้มตัวข้ามโต๊ะมา และจ้องที่ฉันอย่างใกล้เลย

 

“…อะไรเหรอ?”

“โซราโอะรู้จักที่นั่นได้ยังไงน่ะ?”

“ที่นั่น หมายถึง ‘โลกเบื้องหลัง’ เหรอ?”

“นั่นคือชื่อของที่นั่นสินะ? ใครเป็นคนเรียกแบบนั้นเหรอ?”

“อะ ฉ- ฉันตั้งชื่อแบบนั้นเองน่ะ”

 

ใช่ ที่ฉันเรียกที่นั่นว่า ‘โลกเบื้องหลัง’ มาเนี่ย เป็นแค่ชื่อที่ฉันตั้งขึ้นมาเอง ที่นั่นเป็นเหมือนเงาที่อยู่อีกด้านของโลกเบื้องหน้าที่พวกเรารู้จักมันมาตลอด ความหมายตรงๆ แบบนั้นแหละ

…แต่ พูดกันตรงๆ เลยนะ ฉันมากกว่าที่อยากถามว่าเธอคนนี้เนี่ยรู้เรื่องของโลกเบื้องหลังได้ยังไงน่ะ

ฉันหันไปมองโทริโกะอีกครั้ง ตกลงเธอคนนี้เป็นใครกันแน่?

 

“โทริโกะ เธอ-”

“โซราโอะ เธอเคยเจอใครอยู่ที่นั่นบ้างหรือเปล่า?”

 

ตอนที่ฉันกำลังจะถาม เธอก็บังเอิญถามสวนขึ้นมาก่อนพอดี ทำเอาหมดอารมณ์จะถามต่อเลย

 

“ไม่อะ เธอเป็นคนแรกเลยที่ฉันได้เจอในโลกเบื้องหลังน่ะ”

“โอ งั้นเหรอ?”

 

โทริโกะหรี่ตาลง และเอนหลังกับพนักเก้าอี้

 

“กำลังหาใครอยู่เหรอ”

“ใช่ ประมาณนั้น”

“นั่นสินะ ตอนนั้นเธอก็เรียกชื่อใครอยู่ด้วยนี่ ใช่… คุณซัทสึกิหรือเปล่า?”

 

ตอนที่ฉันพูดชื่อนั้น ทันใดนั้น―

 

*ปึ้ง!* เสียงกระแทกเสียงดังที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นมาทำพวกเราทั้งคู่สะดุ้งเฮือก

มันดังมาจากหลังประตูของตึกร้าง ― ประตูที่เปิดไปหาโลกเบื้องหลังที่เราเพิ่งจะออกมาเมื่อกี้ เหมือนบางคน หรือไม่ก็บางอย่าง อยู่ที่อีกฝั่ง ทุบเข้าที่ประตูอย่างแรง

เสียงนั่นดังขึ้นแค่ครั้งเดียว และหมดแค่นั้น ความเงียบเป็นเป่าสากก็ตามมา บางทีเธอคงตั้งใจจะไปดูว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ เพราะโทริโกะลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างเงียบๆ แต่ฉันอยู่ใกล้กับประตูกว่า ฉันเลยลุกขึ้นและใช้มือข้างหนึ่งบอกให้โทริโกะหยุดก่อน

 

‘จะทำอะไรของเธอน่ะ?’ ฉันทำปากพงาบๆ ถามโทริโกะไปแบบนั้นโดยไม่ส่งเสียงออกมา พร้อมๆ กับที่เธอเดินย่องมาที่ประตูอย่างเงียบๆ เหมือนฉัน

ฉันค่อยๆ เอาหน้าเข้าไปใกล้กับรูตาแมวบนประตูนั่น

นึกถึงในเรื่องผีเรื่องนึงเลยแฮะ เวลาแบบนี้เนี่ย ตอนที่เราส่องดูผ่านตาแมว ก็จะมีใครที่ไหนไม่รู้ส่องกลับมาด้วยสินะ ฉันค่อยๆ มองผ่านรูตาแมวนั่นอยู่หวาดๆ แอบหวังนิดๆ ว่าจะเห็นดวงตาที่แดงก่ำของใครซักคนที่อีกฝั่งนึง

 

…?

 

สีฟ้า

ที่อีกฝั่งของรูตาแมวนั่นมีแต่สีฟ้าทั้งนั้นเลย

โลกที่มีแต่สีฟ้า ที่ไม่ใช้สีฟ้าแบบน้ำทะเล หรือสีฟ้าแบบท้องฟ้า

นี่มันอะไรกันเนี่ย?

 

“นี่ โซราโอะ…! เป็นยังไงบ้าง…?”  

 

โทริโกะถามฉันด้วยน้ำเสียงร้อนรน ฉันก็หันไปตอบเธอแบบไม่ได้คิดอะไร

 

“ไม่รู้สิ ไม่เห็นอะไรเลย มันฟ้าไปหมด-”

 

ทันทีที่ตอบไปแบบนั้น ตาของโทริโกะก็เบิกกว้างเลย

 

“ถอยออกมาเร็ว!”

 

เธอตะโกนออกมาทันที และรูดซิบเสื้อแจ็คเก็ตของเธอลง เอามือล้วงเข้าไปข้างใน แล้วก็…

ควักปืนพกสีดำขลับกระบอกนึงออกมา

ด- เดี๋ยว! ― นี่มันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะ!

 

“อ๊ะ ไม่ต้องห่วงนะ”  

 

เหมือนพอเธอเห็นสีหน้าของฉัน โทริโกะเลยยกมือของเธอขึ้นเพื่อให้ฉันใจเย็นลง

 

“นี่แค่มาคารอฟเอง เก็บได้น่ะ”

 

ปืนเนี่ยนะ!? ไปเก็บได้จากที่ไหนล่ะนั่น!?

 

TN: ขอต้อนรับผู้อ่านทุกท่านเข้าสู่ ชั่วโมง [ปืนอย่างเรียล 101] คาบแรก

ปืนพกมาคารอฟ (Makarov Pistol หรือ PM) เป็นปืนพกกึ่งอัตโนมัติสัญชาติโซเวียต (รัสเซีย) ถูกออกแบบโดยนิโคไล ฟยูโดโรวิช มาคารอฟ เมื่อปี ค.ศ. 1948 ผลิตขึ้นเพื่อใช้ประจำการในประเทศคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็น และได้รับการพัฒนามาเรื่อยๆ รวมทั้งยังคงมีใช้งานอยู่จนถึงปัจจุบัน ใช้กระสุนขนาด 9x18mm Makarov ไม่ก็ .380 ACP

 

“ฉันมีกระบอกสำรองด้วย ไว้คราวหน้าจะเอามาให้แล้วกันนะ โซราโอะ ถึงยังไง ตรงนั้นมันก็อันตรายนี่นะ”

 

‘ไม่เอ๊า! จะเอามาทำไม แถมที่อันตรายน่ะมันตรงนี้ต่างหาก!’… ถึงฉันกำลังจะตอบออกไปแบบนั้น แต่ฉันก็ไม่ได้ระห่ำพอที่จะไปต่อปากต่อคำกับผู้หญิงที่มีปืนอยู่ในมือหรอก ฉันเลยถอยออกมาจากหน้าประตูเงียบๆ

โทริโกะกำด้ามปืนไว้ด้วยมือทั้ง 2 ข้าง ขณะที่ค่อยๆ เข้าไปใกล้ประตูทีละนิด ฉันดูไม่ออกเหมือนกันว่าเธอใช้ปืนเก่งจริงหรือเปล่า แต่ฉันว่าท่าทางการจับปืนของเธอดูดีเลยนะ

เธอแนบตัวเองเจ้ากับบานประตู เหลือบมองผ่านรู ยืนนิ่งอยู่แบบนั้นซักพักไม่ขยับร่างกายซักส่วนเลย

 

“ค- คุณ… โทริโกะ คะ?”  

 

ฉันพูดออกไปด้วยเสียงเบาๆ พยายามจะไม่ไปทำให้เธอหงุดหงิด แล้วเธอก็ตอบกลับมาด้วยเสียงเรียบนิ่ง

 

“อีกฝั่งน่ะ เป็นสีฟ้าหมดเลย ถูกมั้ย?”

“ช- ใช่”

“โอเค งั้นก็”

 

โทริโกะถอนหายใจออกมา ก่อนจะลดปืนลง และบิดลูกบิดประตูช้าๆ

 

“เดี๋ยว! ทำอะไรน่ะ!?”

 

ฉันหยุดเธอไว้ไม่ทัน เธอเปิดผประตูออกไปแล้ว

ลมก็พัดฝุ่นปลิวเข้ามาภายใน

ข้างนอกเป็นพื้นที่ที่มีแต่สีฟ้างั้นเหรอ? ไม่

ข้างนอกเป็นทุ่งหญ้าที่ไม่มีใครเคยสำรวจมาก่อนของแดนต่างโลกงั้นเหรอ? ไม่

ไม่มีอะไรเลย นอกจากตรอกรระหว่างตึกธรรมดาๆ

 

“เอ๋!?”  

 

ฉันกระโจนออกไปหน้าประตู เอาตัวพิงกับบานประตูเอาไว้

ทุ่งกว้างไกลไร้จุดสิ้นสุดของโลกเบื้องหลังนั่น ― มันหายไปแล้ว

ซอกระหว่างอาคารที่ทั้งแคบทั้งสกปรก มีลังเบียร์ที่มีแต่ขวดเปล่าใส่เอาไว้วางอยู่ ถังขยะใบนึง จักรยานที่มีคนเอามาทิ้งจนสนิมจับไปทั้งคัน รวมทั้งมีดนตรีฟังสบายๆ สไตล์ฮาวายเอียนดังลอยมาจากร้านตู้เกมใกล้ๆ

มันเป็นฉากที่ซ้ำซากจำเจจนดูสิ้นหวัง ของโลกเบื้องหน้าอย่างชัดเจนเลย

 

“หา?”

 

ฉันทำได้แต่ยืนงงอยู่ตรงนั้น

มัน หายไปแล้ว

โลกเบื้องหลัง ของฉัน

 

“ดูเหมือนเราจะใช้ทางเข้าทางนี้ไม่ได้แล้วล่ะนะ… เดี๋ยวสิ โอ๊ะ เอ๊ะ ป- เป็นอะไรไปน่ะ?”

 

โทริโกะหันมามองที่หน้าของฉัน แล้วก็ถามออกมาอย่างสับสน

 

“นี่ เดี๋ยวก่อนสิ โซราโอะ”

 

โทริโกะพยายามจะคุยกับฉัน แต่ตอนนี้ฉันก็เอาแต่ส่ายหัวไปมา

น้ำตาฉันจะไหลอยู่แล้ว

มันเคยเป็นลานว่างที่ไม่มีการพัฒนาใดๆ เป็นสถานที่ลับของฉัน แล้วตอนนี้ ฉันก็รู้สึกเหมือนว่า มันถูกพรากไปต่อหน้าต่อตาเลย

 

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เดี๋ยวฉันพาเธอไปตรงที่ที่ฉันเข้ามาแล้วกันนะ โอเคมั้ย?”  

 

โทริโกะพูดด้วยน้ำเสียงดูลำบากใจ แล้วเธอก็เดินเข้ามาหาฉันแล้วลูบหัวเบาๆ

 

ลูบหัวงั้นเหรอ? นี่เธอเป็นอะไรเนี่ย? พวกเพลย์บอยขี้หลีหรือไง? ฉันเตรียมจะทุบเธอแล้วนะ

ถึงฉันจะรำคาญเธออยู่ในใจ แต่ฉันก็เปิดปากเพื่อพูด

 

“ไม่เป็นไร ก็แค่…”

 

เหมือนจะมีเสียงสะอื้นปนอยู่ในคำพูดของฉันเลย ฉันเคลียร์คอตัวเองให้โล่ง ก่อนจะพยายามพูดใหม่อีกที

 

“ไม่มีปัญหา ฉันไม่เป็นไร”

 

ตอนที่ฉันโยกหัวตัวเองหลบออกมา โทริโกะก็ลดมือลงเงียบๆ

พวกเรายืนจ้องธรณีประตูของประตูหลังนั้นกันอยู่ในความเงียบ ไม่มีร่องรอยให้พวกเราเห็นเลยว่าที่ตรงนั้นอาจจะเคยมีอะไรมาก่อนจนถึงเมื่อกี้

 

“ถ้ามันกลายเป็นสีฟ้า มันจะอันตรายงั้นเหรอ? เธอถึงขั้นต้องหยิบปืนออกมาเลย…”

“แค่เคยได้ยินมาเฉยๆ ในโลกฝั่งนั้นน่ะ มีของอันตรายอยู่เต็มไปหมด แต่เขาว่าที่อันตรายที่สุด ก็คือเมื่อมันกลายเป็นสีฟ้านี่แหละ”

 

โทริโกะตอบกลับมา มือก็เอาปืนกลับไปเหน็บที่ข้างตัว แถวๆ ระดับต้นขาของเธอ

 

“ทำไมล่ะ? จะมีอะไรบุกเข้ามางั้นเหรอ?”

“ไม่รู้สิ ไม่เคยเจออะไรแบบนั้นเหมือนกัน แต่ว่า…”

 

จู่ๆ โทริโกะก็ถอนหายใจมาอย่างเหนื่อยหน่าย

 

“วันนี้แค่นี้ก็แล้วกัน ฉันอยากมาเจอกับเธออีกน่ะ ขอเบอร์เธอไว้หน่อยสิ?”

 

เธอพูดมาแบบนั้นขณะที่เก็บปืนไว้ใต้เสื้อแจ็คเก็ตและรูดซิปขึ้นมา

ให้เบอร์เธอไปจะดีมั้ยล่ะเนี่ย? ผู้หญิงมีปืนที่ไหนก็ไม่รู้เนี่ยนะ?

 

“…เธอบอกของเธอมาดีกว่า โทริโกะ”

“ฉันจำเบอร์ของตัวเองไม่ได้น่ะ”

“ก็แค่เช็คในมือถือเองนี่ ไม่ได้เหรอ?”

“ไม่ได้พกมาด้วยน่ะสิ ฉันไม่อยากเผลอทำมันหล่นที่โลกเบื้องหลังล่ะนะ”

“…อ๊า!”

 

ฉันรีบหยิบมือถือที่แช่น้ำมาจนท่วมออกมาจากกระเป๋ากางเกงของตัวเองออกมาดูอย่างลนลาน

ชิบละ ลืมสนิทเลย

ตอนที่ฉันตกลงไปในน้ำที่ไม่มีรสชาตินั้นน่ะ มือถือของฉันก็จมอยู่ใต้น้ำเหมือนกันอยู่แล้วน่ะสิ

ฉันแอบอธิษฐานอยู่ในใจเงียบๆ ก่อนจะกดปุ่มเปิด หน้าจอกระพิบไปเป็นพักๆ ก่อนจะกลับเปิดตามเดิม

‘โล่งอกไปที’ ฉันคิดแบบนั้น แต่ก็กลายเป็นว่า ความโล่งใจของฉันกลับอยู่ได้ไม่นาน

 

“…นี่มัน อะไรกันเนี่ย?”

 

ฉันคร่ำครวญออกมาทันทีที่เห็นหน้าจอที่เปิดขึ้นมาเลย

ทั้งไอคอนทั้งแอปที่คุ้นเคยหายไปไหมหมดแล้วก็หายไปไหนไม่รู้ มือถือของฉัน ที่จุ่มอยู่ในน้ำจากโลกเบื้องหลังก็โดนเปลี่ยนเป็นเครื่องจักรไร้ประโยชน์ที่แสดงภาพสัญลักษณ์แปลกๆ กับตัวอักษรปริศนาที่ดูเหมือนจะเป็นอักษรญี่ปุ่น แต่กลับถอดความไม่ได้เลยซักนิดเดียวไปซะแล้ว

 

TN: เกือบตุย แถมมือถือยังพังอีก ฟาดเคราะห์ไปนะโซราโอะจัง~