1 อาทิตย์ต่อมา ฉันก็เจอกับนิชินะ โทริโกะอีกครั้งที่โรงอาหารมหาวิทยาลัย

ตอนนี้อยู่ระหว่างคาบที่ 3 กับ 4 เลคเชอร์ประวัติศาสตร์แอฟริกาก็เพิ่งจะเลิก และฉันก็เพิ่งจะได้กินมื้อเที่ยง จู่ๆ ก็มีใครที่ไหนไม่รู้มาดึงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับฉันแล้วก็นั่งลงเลยโดยไม่ถามฉันเลย โห นี่ลืมมารยาททิ้งไว้ที่ข้างทางหรือไงเนี่ย… ตอนที่ฉันบ่นอยู่ในใจแบบนั้นแล้วเงยหน้าขึ้นมา ก็ดันเจอกับใบหน้าที่ต่อให้พยายาม ฉันก็ไม่มีทางลืมได้เลย… ผู้หญิงผมบลอนด์คนนั้นที่มีปืนอยู่ในครอบครองอย่างผิดกฎหมายคนนั้น มาโบกมือทักทายให้ฉันอยู่ตรงหน้านี่แล้ว

 

“ดีจ้า”

 

ฉันมองหน้าโทริโกะต่อโดยไม่ได้พูดอะไร เพราะในปากฉันยังเคี้ยวไก่จุ่มซอสหัวไชเท้าขูดอยู่

วันนี้ เธอมาในชุดธรรมดา ไม่เหมือนกับครั้งก่อนแล้ว ― ชุดธรรมดาๆ แบบที่เราจะเห็นคนทั่วไปเขาใส่เดินไปเดินมาในเมืองนี่แหละ เสื้อเบลาส์สีขาวกับกระโปรงจับจีบทรงยาวสีน้ำเงิน ของที่เธอถือมาด้วยคือกระเป๋าโท้ทหนังใบเดียว ก็เป็นเสื้อผ้าที่ดูเรียบง่าย แต่เพราะหน้าตาของเธอที่ดูดีอยู่แล้ว มันเลยดูเข้ากับเธอสุดๆ ไปเลย สำหรับฉันนี่ กลับกันเลย เสื้อผ้าที่ฉันใส่ก็เป็นชุดธรรมดาๆ แบบที่เราคาดหวังว่าพวกนักศึกษาจากอพาร์ตเมนต์ใกล้ๆ จะใส่ให้มันเสร็จๆ แล้วรีบตรงมาเรียนเลคเชอร์ แล้วพอเลิกเรียนก็จะตรงกลับบ้านเลยนั่นแหละฉันใส่แค่เสื้อฝ้ายกับ… เออ กางเกงยีนซักตัวที่อยู่ใกล้ๆ มือเมื่อเช้าน่ะ ส่วนของที่ติดตัวฉันอยู่ก็เป็นกระเป๋าผ้าที่ฉันชอบใช้มาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว ทำไมคำว่า [ธรรมดาๆ] ของพวกเรามันต่างกันขนาดนี้ล่ะเนี่ย…

 

โทริโกะจ้องตรงมาที่ฉันด้วยตาเป็นประกายของเธอ

 

“เธอไม่มีเพื่อนนั่งกินข้าวด้วยเหรอ?”

“ช่างฉันเถอะน่า!?”

 

พอฉันยัวะขึ้นมา ก่อนจะตอบเธอไปแบบไม่สมกับที่เป็นตัวเอง โทริโกะก็เลิกคิ้วขึ้น และมีสีหน้ายิ้มแย้มดูสนุกกับที่ฉันตอบเธอไปแบบนั้น

อ่า บ้าจัง เผลอพูดตอบเธอไปจนได้

ฉันเกลียดคนที่ชอบแกล้งคนอื่นแบบนี้มากเลย คนพวกที่ชอบคิดว่าจะแกล้งพวกคนที่ไม่มีเพื่อน ไม่ชอบเข้าสังคม หรือพวกคนมืดมนไปก็ไม่เป็นไร จริงเลยนะๆ ฉันไม่อยากให้พวกคนประเภทนั้นเข้ามายุ่งกับฉันเลยด้วยซ้ำ ฉันเคยเจอคนแบบนั้นมาเหมือนกันเมื่อตอนมัธยม แต่พอต้องมาเจอคนแบบนั้นตอนมหาลัยด้วย มันเหนื่อยสุดๆ ไปเลย ฉันก็เลยพยายามตีตัวออกห่างจากพวกไร้สาระพวกนั้น จนนี่ก็ผ่านมาจนถึงเดือนพฤษภาของปีที่ 2 ได้ โดยไม่มีเพื่อนซักคนเดียวเลย

ฉันมองดูผมบลอนด์ของเธออย่างเหนื่อยหน่าย มันก็สวยดีนะ สำหรับงานย้อมน่ะ น่าหงุดหงิดจริงๆ

แล้วนี่ยัยนี่มาทำอะไรที่นี่กันล่ะเนี่ย? เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่? ก็จริงอยู่ที่ฉันบอกเธอไปอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่ว่าฉันเรียนที่มหาลัยไหน แต่นี่เธอหาฉันเจอจากข้อมูลแค่นั้นน่ะนะ? ทั้งที่ฉันไม่ได้ให้เธอเลยทั้งเบอร์โทร ทั้งอีเมล ทั้งที่อยู่เลยซักอย่างเนี่ยนะ น่ากลัวเกินไปแล้ว

 

“ขอถามเธออีกรอบนะ”

 

ผู้หญิงปริศนา โทริโกะ พูด

ฉันรู้ทันทีเลยว่ามันต้องเกี่ยวกับเรื่องของโลกเบื้องหลังแน่ๆ ยังไงมันก็เป็นเรื่องเดียวที่พวกเราทั้งคู่มีร่วมกันอยู่แล้ว

 

“ทำไมเธอไม่ไปคนเดียวล่ะ?”

“ไปด้วยกันเถอะนะ ไม่ได้เหรอ?”

“มันไม่เกี่ยวซักหน่อยว่าได้หรือไม่ได้… เราจะดั้นด้นไปที่นั่นไปทำไมก่อน?”

“ของชิ้นนั้นที่เราเอากลับมาด้วยคราวก่อน เจ้าก้อนกระจกเงาแปลกๆ นั่นน่ะ… พอดี  มีคนอยากจะซื้อมันอะนะ”

“อ้อ ไอ้นั่น…”

 

เจ้าก้อนพิลึกๆ นั่นน่ะเอง ก็ไม่แปลกล่ะนะ บางทีก็คงมีใครซักคนอยากได้มันอยู่จริงๆ นั่นแหละ

 

“เขาจะอยากได้ก็เรื่องของเขาสิ ไม่ใช่ว่าเราจะทำอะไรกับเรื่องนั้นได้ซะหน่อย เธอก็แค่บังเอิญเก็บได้ไม่ใช่หรือไง”

“ก็ไม่ได้บังเอิญนี่ ฉันรู้วิธีจะหามันได้เพิ่มอยู่นะ”

“วิธี? เดี๋ยว อย่าบอกนะว่า…”

“คุเนะคุเนะ ชื่อนี้ใช่มั้ยนะ? พวกเราไปล่ามันกันเถอะ”

“หา!?”

 

ฉันเผลอขึ้นเสียงออกมา

 

ล่า? ไอ้ตัวที่ให้คนสติแตกแค่เห็นมันอะนะ?

บ้าหรือโง่เนี่ย? ผู้หญิงคนนี้

 

“เงินดีมากเลยนะคะ คุณขา”

“ค―”

 

ฉันเกือบจะลุกพรวดขึ้นมาแล้ว ก่อนที่จะเพิ่งรู้ตัวว่าเราเริ่มจะดึงดูดความสนใจจากคนในโรงอาหารแล้ว ฉันเลยกลับลงมานั่ง และพูดกับเธอด้วยเสียงเบาแทบกระซิบ

 

“…เธอเอาจริงเหรอ?”

“แน่นอน ฉันไปซื้อวัตถุดิบเตรียมไว้แล้วด้วยนะ นี่ไง”

 

โทริโกะว่า พลางกลิ้งเกลือหินก้อนหนึ่งข้ามโต๊ะมา

 

“น่านะ? ไปหาความสุขด้วยกันเถอะ”

“เอาจริงเหรอเนี่ย…”

 

ฉันกระซิบไป ยังตกใจไม่หายเลย และพอสติฉันกลับมาเข้าร่องเข้ารอย ฉันก็ส่ายหัวอย่างแรงเลย

 

“ไม่ไม่ไม่ ไม่ไหว ไม่เอา ฉันไม่อยากไปใกล้เจ้าตัวอะไรนั่นอีกแล้วนะ คราวก่อนฉันก็เกือบตายเพราะมันแล้วนะรู้มั้ย?”

 

อีกอย่าง เกลือหินนี่มันจะได้ผลอีกหรือเปล่า? โอเค ใช่ คราวก่อนที่เธอเอาไปปาใส่มัน ก็เคยจัดการมาได้ทีนึงก็จริง แต่ก็นะ

โทริโกะทำตาหรี่ลงอย่างน่าเห็นใจ พลางเอามือมาพนมไว้ที่อก

 

“ถ้าฉันไปเองคนเดียวก็อาจจะตายอยู่ที่นั่นก็ได้ เพราะงั้น  ฉันเลยอยากให้เธอไปด้วยกันไงล่ะ โซราโอะ”

“ทำไมต้องเป็นฉันด้วยล่ะ?”

“เพราะเธอดูเชื่อใจได้น่ะสิ”

“ตรงไหนกัน!? เราเจอกันแค่ครั้งเดียวเองนะ! เธอจะไปรู้ได้ยังไงว่า―”

“วันนี้ก็ 2 ครั้งแล้วไง”

 

พอคิ้วฉันย่นเข้าหากัน โทริโกะก็ยิ้มตอบมา

 

“เธอได้ซ่อมมือถือตัวเองไปหรือยัง?”

“หา?”

“ก่อนหน้านี้มันพังนี่ ใช่มั้ยล่ะ?”

“ยังเลย ก็ ไม่มีเงินน่ะ”

 

อีกอย่าง ยังไงก็ไม่มีใครโทรมาหาฉันอยู่แล้ว ฉันเลยใช้ชีวิตผ่านไปอาทิตย์นึงโดยพยายามจะไม่คิดถึงมัน มันก็เลยยังอยู่ในสภาพเดียวกับก่อนหน้านี้

 

“คิดว่ากระจกนั่นก้อนนึงราคาเท่าไหร่ล่ะ?”

 

โทริโกะถาม พลางโยกตัวมาข้างหน้าเหมือนว่าจะบอกความลับให้ฟัง ซึ่งฉันก็เอียงหูให้เธออย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่

 

“…เท่าไหร่?”

 

จำนวนเงินที่เธอบอกนั่นทำเอาฉันตะลึงไปเลย ต่อให้ฉันซื้อสมาร์ตโฟนทุกรุ่นที่อยากได้ไปแล้ว ยังมีเงินเหลือเลยนะ

พอฉันจ้องเธอกลับไปด้วยสายตาที่เหม่อลอย โทริโกะก็ยิ้มกรุ้มกริ่มกลับมา

 

“แบ่งกันครึ่ง-ครึ่งเนอะ”

“เอาจริงเหรอ…?”

ใช่ เธอเอาจริง

พวกเราออกจากมหาลัยด้วยกัน ก่อนจะขึ้นรถไฟสายไซเคียวที่สถานีมินามิ-โยโนะ

ตลอดทาง ฉันกังวลกับการที่ต้องมารับมือกับการพูดคุยกับคนที่ฉันไม่ได้รู้จักมักคุ้นด้วย แต่ แปลกจัง โทริโกะไม่ได้พยายามเริ่มบทสนทนากับฉันเลย พวกเราทั้งคู่ยืนอยู่ข้างประตูรถไฟ มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบๆ ดูเหมือนเธอจะอารมณ์ดีอยู่นะ เพราะเธอก็ยังยิ้มๆ อยู่ มันไม่ได้รู้สึกอึดอัดขนาดนั้นด้วย: จริงๆ ฉันคิดว่าเธอจะทำตัวน่ารำคาญ แล้วก็เอาแต่พยายามหาเรื่องมาคุยกับฉันซะอีก รู้สึกผิดนิดๆ เลยแฮะ

แบบนี้มันก็ง่ายกว่านั่นแหละ ใช่ แต่แบบนี้มันกลับทำให้ฉันสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของเธอขึ้นไปอีกแทน มีหลายอย่างที่ฉันอยากจะถามเธอ แต่ฉันจะเอาเรื่องอะไรมาพูดดีล่ะ…? นานมากแล้วด้วยสิที่ฉันสนใจเรื่องของคนอื่นแบบนี้ ทักษะในการพูดคุยกับผู้คนของฉันเลยไม่เหลือแล้วด้วยเนี่ยสิ หลังจากที่นั่งอยู่ในรถไฟที่โยกไปมา จนในหัวฉันมีแต่คำว่า ‘อ่า’ กับ ‘อืม’ เต็มไปหมด พวกเราก็เปลี่ยนมาขึ้นรถไฟสายมารุโนะอุจิที่อิเคบุคุโระ และลงที่สถานีโอชาโนะมิสึด้วยกัน ที่สำคัญคือ ไม่มีการพูดคุยอะไรกันเลยซักคำเหมือนเดิม

ที่ที่โทริโกะพาฉันมาคือตึกหลังนึงในย่านจิมโบโจ

เป็นตึกสูงๆ บางๆ ที่มีร้านมากมายในย่านหนังสือเก่านี้ มีทั้งหมด 10 ชั้น

 

“ที่นี่เหรอ…?”

 

ฉันมองไล่ขึ้นไปตามตึกนั่นอย่างสงสัย

 

“แบบนี้น่ะดีจริงๆ เหรอ?”

“ก็บอกแล้วไง ไม่เป็นไรหรอก ไปกันเถอะ”

 

พอมองดูหลังของโทริโกะที่มุ่งหน้าเข้าไปในตึกหลังจากทิ้งคำตอบสุดรวบรัดเอาไว้ ฉันก็ชักจะลังเลแล้วสิ

ไม่ค่อยชินกับคนแบบนี้เลยแฮะ รู้สึกเหมือนโดนพวกอันธพาลหมายหัวยังไงไม่รู้

เหตุผลที่ฉันยอมตามเธอมาอย่างไม่เต็มใจนี่ มีแค่ข้อเดียวเลยจากที่ฉันคิดมาแล้ว คือฉันไม่อยากเสียการเชื่อมต่อกับโลกเบื้องหลังไป

ตั้งแต่วันที่ฉันค้นพบโลกฝั่งนั้นแล้ว โลกเบื้องหลังก็เป็นเหมือนทุกอย่างสำหรับฉันเลย ฉันหมายถึง ทุกคนก็น่าจะเป็นเหมือนกันไม่ใช่หรือไง ถ้าเราได้เจอโลกลึกลับ โลกที่เป็นของเราคนเดียว ที่ที่เราสามารถตัดขาดจากสิ่งรบกวน เรื่องผูกมัด และความน่ารำคาญทุกอย่างในชีวิตได้ ใครล่ะจะไม่อยากไปที่แบบนั้นกัน?

หรือ บางที ฉันอาจจะเข้าใจผิดไปเองก็ได้

แต่ถึงยังไง อย่างนึงเลยคือฉันปฏิเสธคำขอของโทริโกะไม่ลงล่ะนะ ทำไม่ได้เลย

‘อ่า ช่างมันแล้วกัน อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิดล่ะนะ’

ท้ายที่สุด พอฉันเตรียมใจพร้อมแล้ว ฉันก็ก้าวเข้าไปในตึกนั่น พวกเราเดินผ่านประตูทางเข้าสกปรก และเดินเข้าลิฟต์ไป พอประตูลิฟต์ปิด โทริโกะก็กดปุ่มขึ้นไปชั้น 4 แต่พอประตูเปิดออกที่ชั้น 4 แล้ว พวกเราก็ไม่ได้เดินออกไป เธอกดปุ่มไปชั้น 2 แทน แล้วก็ต่อด้วยชั้น 6 เหมือนเธอกำลังใส่รหัสลับบางอย่างอยู่เลย เธอกดปุ่มชั้นแล้วชั้นเล่าในลำดับที่แปลกประหลาดสุดๆ

นี่เป็นสิ่งที่คงทำให้เราหงุดหงิดได้เลยถ้ามีเจ้าเด็กเวรที่ไหนมาเล่นอะไรไม่รู้เรื่องแบบนี้ แต่สีหน้าของโทริโกะตอนนี้น่ะจริงจังมากๆ

 

“…กำลังทำอะไรอยู่น่ะ?”

“ถ้ากดปุ่มในลิฟต์ตามลำดับที่ถูกต้องล่ะก็ จะสามารถเปิดไปยังอีกโลกนึงได้”

 

โทริโกะตอบมาโดยไม่ได้หยุดมือเลย

 

“อย่างโซราโอะน่ะ ยังไงก็ต้องเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนอยู่แล้วล่ะ ถูกมั้ย?”

“…ก็ใช่”

 

ฉันพยักหน้า

 

ก็จริงอยู่ที่ฉันเคยได้ยินตำนานเมืองแบบนี้ในอินเตอร์เน็ตมาก่อน ความประทับใจแรกที่ฉันมีให้กับเรื่องนี้คือ [i]‘เรื่องนี่มันเด็กน้อยชะมัด’[/i] ฉันเลยไม่ได้ให้ความใส่ใจกับเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ว่า กระแสเรื่องแต่งออนไลน์เกี่ยวกับวิธีการไปยังโลกอื่นก็ยังติดอยู่ในหัวฉันอยู่

ใครจะไปคิดว่าฉันจะได้มาประสบกับหนึ่งในวิธีการนั่นด้วยตัวเองเลยล่ะเนี่ย

ชั้น 3, ชั้น 2, ชั้น 10… ลิฟต์ยังเลื่อนขึ้นๆ ลงๆ ไม่หยุด ทุกครั้งที่มันมาหยุดตรงชั้นที่หมาย โทริโกะก็จะรีบกดปุ่มปิดประตูทันทีเลย

พอประตูมาเปิดออกที่ชั้น 5 เราก็เห็นผู้หญิงผมดำยาวคนนึง วิ่งเข้ามาหาที่ลิฟต์จากอีกฟากนึงของสุดโถงทางเดิน ฉันเห็นหน้าของเธอคนนั้นไม่ชัด เพราะก่อนที่จะทันได้เห็นหน้าเธอชัดๆ โทริโกะก็กดปุ่มปิดประตูไปก่อนแล้ว

 

“เออ ผู้หญิงคนเมื่อกี้เธอพยายามจะขึ้นมาด้วยนะ รู้ใช่มั้ย?”

 

ฉันบอกเธอไปแบบไม่ชี้ชัดว่าเธอทำอะไรผิดไป แต่โทริโกะแค่ยักไหล่ให้

 

“เธอคนนั้นจะพยายามขึ้นมาที่ชั้น 5 ทุกทีนั้นแหละ”

“…ทุกที?”

“ที่ชั้น 5 เราจะเจอผู้หญิงพยายามจะวิ่งมาขึ้นลิฟต์แน่นอน แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ห้ามให้เธอเข้ามาได้เด็ดขาดเลย”

 

อะไรล่ะนั่น? น่ากลัวเป็นบ้า

ชั้น 1, ชั้น 3, ชั้น 8,

โถงทางเดินในตึกที่ฉันผ่านช่องประตูที่เปิดและปิดเปลี่ยนไปมาเหมือนสไลด์โชว์เลย

ชั้น 2, ชั้น 7, ชั้น 10,

ภายใต้แสงจากหลอดฟลูออเรสเซนซ์ในลิฟต์ที่กระพิบๆ ประตูกระจกฝ้าก็เปิดออก ก่อนที่จะมีรองเท้าผู้หญิงคู่นึงก้าวออกมาในทางเดิน ชายในชุดสูทที่เดินถอยหลังก็หยุดและกำลังจะหันมา แต่ก็ที่เขาจะทันได้ทำอะไร ประตูลิฟต์ก็ปิดลง ตัดฉากจากโถงนั้นไป

ฉันเริ่มจะเข้าใจเรื่องแปลกประหลาดนั่นมากขึ้นเรื่อยๆ นี่แล้ว พวกเราอยู่ในๆลิฟต์ที่แค่เคลื่อนที่ขึ้นๆ ลงๆ ในชั้นที่มีอยู่จำกัด แต่จนถึงตอนนี้ ฉันยังไม่เคยเห็นฉากในอาคารที่โผล่มาซ้ำกันเลยซักรอบ ทุกครั้งที่ประตูลิฟต์เปิดออก ภาพของโถงทางเดินที่ไม่คุ้นตายจะยืดยาวออกไปในสายตาของฉันทุกครั้งๆ เลย

 

“…นี่”

“รู้ตัวแล้วเหรอ?”

 

โทริโกะเหลือบมามองฉันที่อยู่ข้างๆ แล้วก็ยิ้มออกมา นี่เธอคิดว่าตัวเองเป็นใครกันฮะ? ถึงได้ยิ้มออกมายังกับว่าเข้าใจทุกอย่างยังงั้นแหละ พอฉันจ้องไปที่เธอ เธอก็กระพริบตาปริบๆ กลับมาอย่างงงๆ

 

ฉันรู้สึกเหมือนความเร็วการเปิดปิดของประตูมันเร็วขึ้นทีละนิดๆ พอฉันมองไปที่แผงปุ่มควบคุมลิฟต์แล้วก็ช็อกไปเลย ตัวเลขพวกนั้น ฉันอ่านมันไม่ออกแล้ว มันควรจะต้องเป็นเลขอารบิคมาตรฐานสิ แต่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ตรงปุ่มมันกลายเป็นระบบการเขียนบางอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนไปแล้ว

ในที่สุด ลิฟต์ก็หยุดลง หลังจากเวลาผ่านไปพักใหญ่

พอประตูเปิดออก ข้างนอกนั่นก็มืดสนิท มองไม่เห็นอะไรซักอย่าง

แสงที่ลอดออกไปจากห้องลิฟต์ ดูเหมือนรอยเปื้อนรูปสี่เหลี่ยมตัดกับพื้นสีดำนั่นเลย

 

“ท- โทริโกะ แน่ใจนะว่าที่นี่น่ะ?”

 

โทริโกะเอียงคอไปด้านข้างเป็นคำตอบ

 

“เอ? ฉันทำพลาดไปตรงไหนหนอ?”

“หา?”

“ก็ก่อนหน้านี้มันไม่เคยมืดขนาดนี้นี่นา”

“นี่ นี่…”

“แปลกจัง หรือที่อีกฝั่งอาจจะเป็นกลางคืนอยู่ก็ได้มั้ง”

 

ถึงฉันจะเคืองกับการตอบรับที่ไม่ได้ทำให้อุ่นใจขึ้นเลยอยู่นิดหน่อย ฉันก็ทำแค่เอียวตัวไปดูนอกประตู

หัวฉันรีบถอยกลับมาด้วยความเร็วสูงจนฉันเองก็ยังไม่อยากเชื่อ ฉันโซเซถอยมาจนหลังกระแทกกับผนังด้านในของห้องลิฟต์

 

“ปิดเร็ว!!”

 

ตอนที่ฉันตะโกนออกไปแบบนั้น โทริโกะก็กระแทกปุ่มปิดประตูด้วยกำปั้นของเธอเลย

จังหวะพริบตาก่อนที่ประตูจะปิด ฉันได้ยินเสียงอันเย็นยะเยือกของขามากมาย ขยับไปมา ขยับไปมา ขยับไปมา เข้ามาอย่างรวดเร็ว ฉันคิดว่าฉันเห็นกรงเล็บด้วย

นิ้วที่มีกล้ามเนื้อแน่นเป็นมัด และมีกรงเล็บหนาที่แตกแยกออกอยู่ตรงปลายนิ้ว ภาพนั้นปรากฏให้เห็นแค่ให้แค่ชั่วครู่ ก่อนที่ประตูลิฟต์จะแยกพวกเราจากความมืดนั้นอย่างสมบูรณ์

ลิฟต์นั่นสั่นก่อนจะกลับมาเคลื่อนที่อีกครั้ง ค่อยๆ ยกตัวเองขึ้นไป

 

“ม-… เมื่อกี้นี้มันอะไรน่ะ?”

 

ในที่สุด ฉันก็พูดคำถามนั่นออกไปได้ซักที เหมือนจะกัดลิ้นของตัวเองไปหน่อยนึงด้วย

 

“เห็นเมื่อกี้นี้หรือเปล่า โทริโกะ มัน―”

 

พอฉันหันหน้าไปหาเธอ ก็เห็นว่าโทริโกะหยิบปืนออกมา ชี้มันไปทางประตูแล้ว

 

“อ๊าาา!?”

“ว้าย! อย่าทำให้ตกใจแบบนั้นสิ”

“นั่นมันคำพูดของฉันต่างหาก! อย่าเอะอะก็ชักปืนออกมาเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาๆ จะได้มั้ย!?”

“ก็ไม่ใช่ว่าฉันพกมันไว้ตลอดเวลาหรอกนะ ที่พกมาด้วยก็แค่เพราะวันนี้ฉันมาเจอเธอไง”

“แล้วทำไมการมาเจอฉันถึงจำเป็นต้องพกปืนมาด้วยฮะ!?”

“ไม่เป็นไรๆ ใจเย็นๆ ก่อนนะ It’s okay. (ไม่เป็นไรหรอก) ”

 

ไม่รู้ทำไมท่อนสุดท้าย เธอถึงพูดเป็นภาษาอังกฤษซะงั้น

 

“Not OK! (ไม่เป็นไรก็แย่แล้ว!) อีกอย่าง เธอไปเอามันมาจากไหนเนี่ย ซุกมันไว้ในกระเป๋าโท้ทแบบนั้นเฉยๆ เลยงั้นเหรอ!?”

“โซราโอะนี่ พูดอะไรตลกจังเลยนะ”

“หา!? ตรงไหน!?”

“ก็เห็นคอยรีบตบมุกให้ทันทีตลอดเลย… ไม่รู้สิ เหมือนพวกคนชอบปั่นกระแสในทวิตเตอร์เลยนะ”

“…!?!?!?”

 

ตอนที่ฉันถูกทิ้งเอาไว้ในอารมณ์ที่ผสมปนเปไปด้วยความสับสน, ความอาย และความโกรธจนพูดอะไรไม่ออก ลิฟต์ก็กลับมาหยุดนิ่งอีกครั้งนึง

พอเห็นฉากที่ประตูทั้งซ้ายขวาเปิดออกให้เห็น โทริโกะก็พยักหน้าอย่างพอใจกับผลที่ได้

 

“เยี่ยม คราวนี้เรามาถึงแล้ว”

 

ข้างนอกประตูเป็นดาดฟ้าของตึกๆ นึง พื้นของตึกในโลกเบื้องหลังนี่เป็นแผ่นคอนกรีตแตกๆ เห็นรั้วเหล็กสูงระดับเอว และท้องฟ้าที่มีเมฆครึ้มขมุกขมัว

 

“ไปกันเถอะ”

 

โทริโกะพูดพลางก้าวเท้าเดินออกไป

 

“เฮ่ จะไม่เป็นไรจริงๆ น่ะเหรอ?”

“It’s okay, maybe. (ไม่เป็นไรหรอก คิดว่านะ) ”

“อ่าาา I don’t think so. (ฉันไม่คิดว่างั้นนะ) ”

 

ฉันกลัวสุดๆ เลยตอนนี้ แต่เทียบกันแล้ว เรื่องที่จะถูกโทริโกะทิ้งเอาไว้คนเดียวตรงนี้น่ะน่ากลัวกว่ากันเยอะเลย พอทำใจได้แล้ว ฉันก็มุ่งหน้าออกไป

พอออกมาจากลิฟต์แล้ว พวกเราก็เดินตรงไปที่ขอบตึก ลมชื้นๆ วูบนึงก็พัดเข้ามาทำผมฉันโบกไปมาเลย

รั้วเหล็กที่ล้อมรอบดาดฟ้าตึกตึกนี้โดนสนิมกินหมดแล้ว และฉันไม่คิดจะเอาตัวไปอิงบนมันแน่ๆ หลังจากที่ลองแตะมันดูเบาๆ เพื่อให้มั่นใจว่ามันจะไม่จู่ๆ ก็พังลงไป ฉันก็เหลือบมองลงไปจากขอบตึกนั้น

ภายใต้อาทิตย์ทรงกลดที่ฉายแสงออกสลัวๆ ลงมา ด้านล่างนั้นก็เห็นแต่ผืนหญ้าสีเหลืองดาษดื่นที่เห็นยืดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา

ที่ราบกว้างใหญ่นั่นดูไม่ราบเรียบ มองไปก็เห็นพื้นที่ดูสูงๆ ต่ำๆ เป็นลูกคลื่น ตรงนั้นตรงนี้ก็ดูมีโครงสร้างบางอย่างที่ดูเหมือนโครงสร้างบางอย่างที่ถูกสร้างขึ้นมา ตึกพวกนั้นปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์ หินก้อนมหึมาหล่นกระจายไปไม่เป็นทิศเป็นทาง ของที่ดูคล้ายกับโครงเหล็กเส้นของเสาไฟฟ้าแรงสูงก็โผล่หัวขึ้นมาจากป่าทึบอีกฟากนึง ที่ตัดผ่านหนองน้ำนั่นใช่รางรถไฟหรือเปล่านะ? ไกลลิบๆ นั่นเหมือนจะมีทิวเขาเตี้ยๆ อยู่ด้วย

 

“คิดว่าไงล่ะ?”

 

โทริโกะพูดด้วยน้ำเสียงดูภูมิใจเพราะอะไรก็ไม่รู้

 

“…ก็ อย่างน้อย ดูเหมือนพวกเราจะไม่ได้อยู่ที่จิมโบโจกันแล้วล่ะนะ”

 

ฉันหันมองไปรอบๆ มองไปทั่วดาดฟ้านั้น แต่ฉันไม่เห็นบันไดเลย มีอยู่แค่ประตูลิฟต์เอง

 

“แล้วเราจะลงไปยังไงล่ะเนี่ย?”

“ตรงนี้ไง”

 

พอฉันเดินตามโทริโกะไป ก็เห็นบันไดลิงอันนึง ตรงจุดที่รั้วหายไปอยู่ด้วย

 

“ฮะ…? เราจะลงไปทางนี้เหรอ?”

“ขอถามเผื่อไว้ก่อนแล้วกัน เธอกลัวความสูงรึเปล่า?”

“ก็ เปล่าหรอก แต่…”

 

ฉันไม่มีปัญหาหรอกกับการมองลงไปจากขอบตึกแบบนี้ แต่ถ้าเกิดฉันต้องปีนลงจากตึกด้วยบันไดสนิมเขรอะแบบนั้นล่ะก็ มันก็อีกเรื่องนึงเลย

 

“ไม่เป็นไรหรอกน่า หมายถึง ฉันยังไม่เคยร่วงมาก่อนเลย”

 

โทริโกะพูดออกมาอย่างไร้ความรับผิดชอบ ฉันเลยจ้องเธอกลับไป

 

“ฉันชักจะเริ่มเข้าใจวิธีการของโทรกิโกะแล้วล่ะ”

“วิธีการของฉัน? หมายความว่ายังไงเนี่ย?”

“เธอเป็นพวกปล่อยให้วัวหายไปก่อนค่อยตั้งคอกล้อมใช่มั้ยล่ะ?”

“เห็นอย่างนี้ ฉันก็คิดมาแล้วหลายๆ เรื่องเหมือนกันนะ”

“โห เธอน่ะนะ…?”

 

ระหว่างที่ฉันลังเลที่จะพูดอะไรต่อ โทริกะก็ไต่บันไดลงไปแล้ว

 

“ฉันไปก่อนแล้วกันนะ ถ้าฉันอยู่ข้างล่าง เธอจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องตกลงมาด้วย”

“เพราะเธอจะช่วยรับตัวฉันไว้ก่อนเหรอ?”

“เห เธอเป็นคนมองโลกในแง่ดีกว่าที่ฉันคิดนะเนี่ย ฉันหมายถึงว่าอย่างน้อยฉันก็เป็นเบาะรองกระแทกให้เธอเอง”

“…ไม่ล่ะ ขอบใจ ถ้าเกิดฉันร่วงลงไปล่ะก็ รีบถอยออกไปเถอะ”

 

เสียงบันไดดังเอี๊ยดอ๊าดได้น่ากลัวมาก แต่อย่างน้อย ฉันก็ไต่ลงมาถึงพื้นข้างล่างได้โดยไม่ร่วงตกแล้วไปทำให้โทริโกะเป็นโทริกะแซนด์วิชไป หรือไม่ เธอก็อาจจะหลีกทางให้ แล้วฉันก็กลายเป็นแซนด์วิชซะเอง

ระหว่างที่กำๆ แบๆ นิ้วที่ตึงและล้าของตัวเอง ฉันก็ลองมองดูไปรอบๆ

ที่นี่มีดินดำอยู่รอบตุก ทางเท้าแคบๆ ก็ยืดยาวออกไปในกองญ้าสูงตรงนั้น

ฉันรู้สึกขึ้นมาเรื่องนึงระหว่างที่ไต่บันไดอยู่ คือตึกนี้ดูทั้งคล้ายและต่างจากตึกที่เราเข้ามาจากโลกเบื้องหน้าเลย

คือ โครงตึกนี่มันไม่มีกำแพง มีแต่เสา, พื้น ละก็เพดานของแต่ละชั้น เป็นซากตึกที่ทะลุจนโล่งไปหมด เหลือแต่โครงตึกที่เหลืออยู่ ไม่มีบันไดเดินในตึกเลย เพราะงั้นก็ไม่ต้องพูดถึงปล่องลิฟต์ด้วยซ้ำ

โอเค แล้วพวกเรามาจากตรงไหนล่ะเนี่ย? ชั้น 1 มันไม่มีพื้นด้วย เป็นแค่ดินเปล่าๆ เลย

โทริโกะเดินไปที่ถังเผาฟืนที่วางทิ้งอยู่ใกล้เสาๆ นึง พอฉันเดินตามไปดูว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ในนั้นมันก็ดำไปด้วยเขม่าไปหมด ข้างๆ กันนั้นก็มีกองอิฐคอนกรีตกองทิ้งๆ ไว้ตามยถากรรมอยู่กองนึง สงสัยเอาไว้นั่งล่ะมั้ง

 

“เคยมาจุดไฟอยู่ที่นี่เหรอ?”

“ใช่ ก่อนหน้านี้น่ะ”

 

มีพลั่วสนิมเกาะเล่มนึงวางพิงอยู่ที่เสานั่นอีกด้านนึง โทริโกะคว้าพลั่วนั่นมา ก่อนจะลงมือขุดดินลงไปตรงมุมของกองอิฐคอนกรีตนั่น

เธอขุดลงไป 2-3 ที แล้วก็เจอสิ่งที่เธอต้องการตามหาอย่างรวดเร็ว เธอย่อตัวลง ก่อนจะหยิบเอาอะไรซักอย่างที่ห่อไว้ด้วยถุงไวนิลสีขาวออกมาจากในหลุมดินนั่น

 

“อะนี่”

“ฮะ? นี่อะไรเนี่ย?”

 

ฉันลังเลที่จะหยิบอะไรก็ไม่รู้ที่จู่ๆ โทริโกะก็เอามายื่นให้ตรงหน้า แต่เธอก็ดูไม่มีทีท่าจะชักมือกลับไป ฉันก็เลยเอามันมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะแกะถุงนั่นออกดู

 

“…”

 

ฉันจ้องมองดูเจ้าของที่ฉันคว้ามาโดยไม่เจตนา

 

“ปืนไง”

“ด- ดูก็รู้แล้วน่าว่าปืนน่ะ!”

 

มาคารอฟ เธอเรียกมันแบบนี้ใช่มั้ยนะ? ปืนแบบเดียวกับที่โทริโกะพกไว้เลย ในถุงนั่นมีกล่องกระดาษที่บรรจุกระสุนอยู่ด้วย

 

“…ทำไมต้องเอามาให้ฉันด้วยล่ะ?”

“คราวก่อนก็สัญญาไว้แล้วไง? ฉันคิดว่าเธอจำเป็นต้องมีอาวุธติดตัวไว้นะ”

 

น่ากลัว ฉันไม่รู้วิธีใช้มันเลยด้วยซ้ำไปนะ ฉันยิงปืนไม่เป็น ฉันไม่เอาหรอก… คำโต้แย้งมากมายผุดขึ้นมาในหัวฉัน แต่ว่า ยังไม่มีคำไหนออกไปจากปากฉันเลยซักคำ

เพราะของที่น่ากลัวนั่นที่พวกเราเพิ่งจะเจอกันมาในลิฟต์ ไอ้เล็บนั่น ที่มันขูดขีดพุ่งเข้าหาลิฟต์จากในเงามืดที่อยู่ลึกไปในชั้นที่มืดสนิทนั่นน่ะ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่ถ้าเกิดไอ้นั่นมันเข้ามาหาพวกเราอีกล่ะก็…

 

“…ฉันจะเก็บไว้นะ”

“อื้อๆ”

 

โทริโกะพยักหน้า พลางกลบหลุมที่ขุดขึ้นมานั่นอย่างรีบเร่ง

จากจุดนี้ เธอก็สอนวิธีเติมกระสุน และการปลดเซฟตี้ จากที่เธอสอนนั่น มันก็ไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้น ถึงฉันจะไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะยิงโดนของที่อยากจะยิงก็เถอะ

 

“จะลองยิงหน่อยมั้ยล่ะ?”

“ไม่ล่ะ ไม่เป็นไร น่ากลัวจะตาย”

“ถ้าจู่ๆ ต้องไปยิงในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องยิงล่ะก็ มันจะยิงไม่โดนเอานะ”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไรน่ะ”

 

ฉันใส่เซฟตี้กลับไป และหลังจากที่ลังเลอยู่ซักพัก ฉันก็ใส่ปืนไว้ในกระเป๋าของฉัน

 

“โทษทีน้า ฉันก็อยากมีซองปืนหรืออะไรแบบนั้นมาให้เหมือนกัน แต่ที่ฉันเก็บได้ก็มีแค่ปืนเปล่าๆ ล่ะนะ”

“เก็บได้จากไหนเนี่ย?”

“ฝั่งนี้นี่แหละ นานๆ ทีจะเจอมันตกอยู่บ้าง อาจจะมีกองกำลังทหารผ่านมาที่นี่ก็ได้นะ ถึงฉันจะไม่เคยเจอก็เถอะ”

 

ฉันเชื่อนะว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีคนอื่นอีกที่มาที่โลกเบื้องหลังนี่ได้ แต่ทหารเนี่ยนะ?

ถ้าเป็นแบบนั้นจริง พวกเราก็มีโอกาสที่จู่ๆ ก็โดนยิงไม่ใช่หรือไง?

ในตอนที่รู้สึกว่ากำลังใจของตัวเองลดลงเรื่อยๆ โทริโกะก็สะพายกระเป๋าของเธอใหม่อีกที

 

“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”

 

เธอก็พูดออกมาอย่างร่าเริง

 

“อ- อื้อ”

 

พวกเราเดินออกจากตึกนั้น เข้าสู่พงหญ้า จุดหมายของพวกเรา : ที่ที่ฉันเจอกับโทริโกะ

เป้าหมายของพวกเรา : ล่าคุเนะคุเนะ

 

TN: แกว่งเท้าหาเรื่องจริงๆ เล้ย~