ตอนที่ 2 ลักพาตัว (2)

I Was Kidnapped By The Strongest Guild

ฉันดื่มดํ่าไปกับนํ้าข้าวโพดหยดสุดท้าย ด้วยการอมมันเอาไว้ในปาก

 

ฉันไม่กล้าที่จะกลืนอาหารสุดอร่อยนี้ลงไปภายในอึกเดียว ดังนั้นฉันเลยค่อย ๆ กลืนมันลงไปที่ละหน่อยเพื่อลิ้มรสชาติของมันให้ได้มากที่สุด

 

“อร่อยมากเลย”

 

รสชาติของนํ้าข้าวโพดในวันนี้อร่อยเป็นพิเศษ

 

เพียงแค่เติมแป้งข้าวโพดลงไปอีกช้อน มันก็สร้างความแตกต่างแล้ว

 

บางทีอาจจะเป็นเพราะฉันอายุมากขึ้น ต่อมรับรสก็เลยรับรสได้มากยิ่งขึ้น

 

หรือไม่ก็เป็นเพราะส่วนหนึ่งในร่างกายของฉันกลายเป็นสัตว์ไปแล้ว มันเลยทำให้ฉันรับรสได้มากยิ่งขึ้น

 

แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลข้อไหน ฉันก็มีความสุขทั้งนั้น

 

ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจที่จะสนุกไปกับสิ่งเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด

 

‘หรือว่าตั้งแต่นี้ไป ฉันควรใส่แป้งข้าวโพดลงไปอีกหนึ่งช้อนในทุก ๆ ครั้งที่ฉันทำนํ้าข้าวโพด?”

 

ฉันคิดอย่างจริงจังก่อนที่จะส่ายหัว

 

ความหรูหราแบบนั้นยังไม่ใช่สิ่งที่ฉันในตอนนี้จะทำได้

 

“คือว่า… กินแค่นั้นก็อิ่มแล้วเหรอ?”

 

หญิงสาวเข้ามาประชิดตัวฉัน ในขณะที่ฉันกำลังเพลิดเพลินไปกับนํ้าข้าวโพดแสนอร่อยของฉันอยู่

 

ฉันอยากที่จะอมมันไว้ในปากให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้อยู่หรอก แต่เพราะฉันต้องตอบคำถามของเธอฉันก็เลยต้องกลืนมันลงไป

 

ฉันไม่มีความคิดที่จะปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปตามความสุขต่อหน้าของผู้หญิงคนนี้

 

“ถูกต้อง แค่ฉันดื่มสิ่งนี้ ฉันก็อิ่มไปทั้งวันแล้ว”

 

แต่ความจริงแล้ว ฉันอยากกินมันมากกว่านี้

 

สำหรับมื้อกลางวันและมื้อเย็น

 

เพื่อให้เกิดความสมดุลทางโภชนาการ ฉันเลยกินผักที่ฉันเป็นคนปลูกเองและปลาซิวย่างที่ฉันจับได้ในบางครั้ง

 

อย่างไรก็ตาม เหตุผลจริง ๆ ที่ฉันโกหกเธอก็เป็นเพราะฉันไม่อยากโดนบังคับให้กินอาหาร

 

เพียงเท่านี้เธอก็คงไม่บังคับให้ฉันกินอาหารเพิ่มแล้ว เว้นแต่ว่าเธอจะเป็นแม่มดคลั่งที่ชื่นชอบการทรมาณคนด้วยอาหาร

 

“จะกินอีกก็ได้นะ ตรงนี้มีทั้งซุปและก็ขนมปัง หรือจะให้ฉันสั่งสเต็กให้ดีไหม?”

 

“อ่า”

 

เธอเป็นแม่มดคลั่ง

 

ด้วยความกลัว ฉันจึงลดสายตาลง

 

เธออันตรายกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีก

 

“ไม่ต้องกลัว ฉันก็แค่คิดว่าเธอน่าจะต้องกินอะไรที่มันมากกว่านํ้าข้าวโพดนั่น”

 

“ไม่จริงนะ นํ้าข้าวโพดเต็มไปด้วยโภชนาการทางอาหารแลพมันก็อร่อยด้วย…”

 

“จริงเหรอ? งั้นฉันขอลองดื่มมันดูหน่อยได้ไหม?”

 

หญิงสาวยื่นมือของเธอออกมาเพื่อขอนํ้าข้าวโพดจากฉัน

 

ถึงแม้ฉันจะเศร้าใจที่ต้องเห็นอาหารอันลํ่าค่าของฉันหายไป แต่สุดท้ายฉันก็เลือกที่จะยื่นมันให้เธอ

 

“ต้องใส่แป้งลงไปเท่าไหร่เหรอ?”

 

“ใส่ลงไปเท่าที่คุณเห็นเลย”

 

แค่ก

 

เพื่อที่จะไม่ให้เธอมองฉันเป็นคนขี้งก ฉันก็เลยใส่แป้งข้าวโพดลงไปอีกหนึ่งช้อนให้เธอ

 

พอมาคิดดูว่าฉันสูญเสียแป้งข้าวโพดไปเท่าไหร่แล้ว นํ้าตาของฉันมันก็แทบจะไหลออกมา

 

——————————————————————————————————————————

 

ฮันยอรึมใช้สายตามองไปที่นํ้าข้าวโพดที่อยู่ในมือ

 

แค่เครื่องดื่มที่เต็มไปด้วยโภชนาการทางอาหารจะทำให้คน ๆ หนึ่งมีชีวิตอยู่ได้จริง ๆ งั้นเหรอ?

 

ยอรึมจิบนํ้าข้าวโพดด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเป

 

อึก—

 

“อ่า”

 

รสชาติของแป้งข้าวโพดผสมนํ้า

 

หลังจากชิมไปหนึ่งจิบ เธอก็วางขวดลงและไม่สามารถฝืนให้ตัวเองกินมันต่อไปได้

 

มันช่างจืดชืด ไร้รสชาติและไร้คุณค่าทางโภชนาการเมื่อเทียบกับข้าวโพดจริง ๆ

 

‘แย่เกินไปแล้ว’

 

วัยเด็กคือวัยที่ควรจะได้รับแต่ความรัก แต่สิ่งที่เด็กคนนี้ได้รับกลับมีเพียงแค่คำสาปแช่งและคำวิพากษ์วิจารย์จากผู้ใหญ่

 

หลังจากที่ต้องต่อสู้กับแรบบิทฮอร์นอย่างเอาเป็นเอาตาย มื้ออาหาาของเธอกลับเป็นเพียงแค่แป้งข้าวโพดผสมนํ้าเปล่า

 

นี่ไม่ใช่สิ่งที่เด็กวัยแปดขวบควรเผชิญเลยสักนิด

 

ยอรึมไม่สามารถจินตนาการถึงภาพที่เด็กคนนี้ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างโหดร้ายและยากลำบากแค่ไหนได้เลย

 

‘นี่ฉันทำอะไรลงไป?’

 

ฉันพูดอะไรออกไปกับเด็กที่กำลังเลือกไหลและร้องขอความช่วยเหลืออยู่กัน?

 

ยอรึมรู้สึกคลื่นไส้ หลังจากที่รู้ว่าตัวเองมันช่างน่ารังเกียจแค่ไหน

 

‘ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงได้เกิดขึ้น?’

 

ร่างกายของเด็กไม่มีมานาซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิตอยู่เลยสักนิด

 

ร่างที่เป็นวัยรุ่นของเธอก็น่าจะเป็นผลข้างเคียงของการไม่มีมานาอยู่ในร่าง

 

และเพราะว่าเป็นแบบนั้น เธอจึงถูกพ่อแม่ของตัวเองทอดทิ้ง

 

เนื่องจากร่างกายของเด็กไม่มีมานาอยู่เลย ทำให้โพชั่นและเวทมนตร์รักษาใช้ไม่ได้ผลกับเด็ก

 

ด้วยสถานการณ์ที่ไม่ปกตินี้ ทำให้ยอรึมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้วิธีสุดท้ายในการช่วยชีวิตเด็กไว้

 

พรของเทพแห่งสัตว์ป่า

 

มันคือยูนีคไอเทมระดับสูงที่จะมอบพลังแห่งราชาสัตว์ป่าให้กับผู้ที่กินมันเข้าไป

 

แต่ถึงแม้ว่ามันจะเป็นไอเทมที่ทรงพลัง แต่ข้อเสียของมันก็คือ ‘เริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น’ ทำให้ไม่มีใครในกิลด์อยากใช้มันเลยสักคน

 

แต่สำหรับเด็กผู้หญิงที่มีความปกติทางด้านร่างกาย มันก็กลายเป็นไอเทมที่สมบูรณ์แบบทันที

 

พรนี้จะสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ต้นโดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงมานา

 

มันเป็นไอเทมที่ต่อให้มีเงินเยอะแค่ไหนก็ไม่สามารถซื้อมันได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครในกิลด์เลยที่คัดค้านการใช้งานมัน

 

เพราะพวกเขาตระหนักดีว่าพวกเขาคือคนที่ทรมานเด็กจนเกือบจะตาย

 

‘ฉันดีใจที่มันได้ผล’

 

ในตอนแรกฉันก็กลัวว่าจะเปลี่ยนผู้ใหญ่ให้กลายเป็นเด็ก แต่พอฉันรู้ว่าเธอไม่รู้ชื่อของตัวเอง ไม่รู้อายุของตัวเอง และไม่เคยเข้าเรียน ฉันก็มั่นใจ

 

เธอเป็นแค่เด็กจริง ๆ

 

‘ถ้าหากเธอตายในวันนั้น’

 

ไม่ ๆ อย่าไปคิดถึงมันสิ

 

ยอรึมส่ายหัวครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนที่จะยิ้มให้กับเด็ก

 

ยอรึมส่ายหัวครั้งแล้วครั้งเล่าและหันไปยิ้มกับเด็กสาว

 

“ขอบคุณสำหรับอาหารที่แสนอร่อยอันนี้นะ เธออยากจะลองกินอาหารของฉันบ้างไหม?”

 

“ม-ไม่เป็นไร ฉันไม่อยากกิน…”

 

หูสีขาวของเด็กสาวห้อยลง

 

สายตาของเธอจ้องมองไปที่พื้น

 

ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน เธอก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงที่กำลังหวาดกลัวอยู่

 

เธอต้องทนกับชีวิตที่ผ่านมาขนาดไหนกัน ถึงได้หวาดระแวงผู้คนถึงขนาดนี้?

 

ยอรึมระงับใจไม่ให้ตัวเองถอนหายใจออกมาต่อหน้าของเด็กสาว

 

เธอไม่ควรแสดงความรู้สึกในเชิงลบออกมาให้เด็กสาวเห็น

 

“เธอจะเรียกฉันว่า ‘ออนนี่’ ก็ได้นะ”

 

[TL/ ออนนี่ = พี่สาว ในภาษาเกาหลี]

 

อ่า

 

จะว่าไปฉันก็เรียกเธอว่า ‘เธอ’ อยู่ตลอดเลยนี่นา

 

ยอรึมตัดสินใจที่จะมอบชื่อให้กับเด็กสาว ผู้ที่ไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร

 

“…พี่สาวชื่อว่ายอรึมนะ ฮันยอรึม พี่สาวคนนี้ขอตั้งชื่อให้เธอได้ไหม?”

 

“ชื่อเหรอ?”

 

“ใช่”

 

คยออุล

 

คือชื่อของเด็กสาวที่จะได้รับแต่ความรักตั้งแต่นี้ไป

 

ยอรึมตัดสินใจมอบชื่อนี้ให้กับเธอ

 

[TL/ ยอรึม = ฤดูร้อน คยออุล = ฤดูหนาว]

 

——————————————————————————————————————————

 

ฮันคยออุล

 

นั่นคือชื่อที่หญิงสาวมอบให้กับฉัน

 

‘นี่มันบ้าไปแล้ว’

 

ดัดแปลงร่างกายของฉันตามใจชอบก็ทีหนึ่งแล้ว มาตอนนี้ยังตั้งชื่อให้ฉันตามใจชอบอีก

 

ฉันโกรธมากที่เธอทำกับฉันเหมือนกับว่าฉันเป็นสมบัติของเธอ

 

ฉันผิดเอง ที่ฉันโกหกเธอไปว่าฉันไม่รู้ชื่อของตัวเอง

 

จากนี้ไป ฉันขอสัญญากับตัวเองเลยว่าต่อไปนี้ฉันจะไม่พูดอะไรที่อาจก่อให้เกิดปัญหาอีกแล้ว

 

ทันใดนั้น ช้อนที่เต็มไปด้วยนํ้าซุปก็เข้ามาใกล้ริมฝีปากของฉัน

 

“แขนของพี่มันเมื่อยแล้วนะ แค่ช้อนเดียวเอง โอเคไหม?”

 

หญิงสาวกดช้อนลงตรงริมฝีปากของฉัน

 

ฉันปฏิเสธที่จะกินมันโดยการปิดปากให้สนิทที่สุด ผลคือนํ้าซุปเลอะปากของฉันไปหมดเลย

 

กลิ่นของนํ้าซุปมันหอมจนฉันอยากจะลองเลียมันดู

 

แต่กลิ่นของนํ้าซุปมันก็เย้ายวนใจของฉันมาก ถึงขนาดทำให้ฉันอยากเลียมันให้หมด

 

“ไม่ ฉันไม่อยากกิน…!”

 

ในขณะที่ฉันเปิดปากพูดเพื่อปฏิเสธนํ้าซุป…

 

หญิงสาวก็ดันช้อนที่เต็มไปด้วยนํ้าซุปเข้ามาในปากของฉัน

 

“อ๊ะ…!”

 

รสชาติอันเข้มข้นของนํ้าซุปทำให้ฉันเบิกตากว้าง

 

ฉันรู้สึกว่าหูของฉันตั้งขึ้นด้วย

 

ตัวซุปมีความเข้มข้นและกลมกล่อมเป็นอย่างมาก

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซุปอันนี้คืออาหารที่ดีที่สุดในรอบแปดปีของฉัน

 

“ว้าว…”

 

มีอาหารที่น่าทึ่งเช่นนี้อยู่ในโลกด้วยเหรอ?

 

ถึงแม้นํ้าซุปจะหมดไปแล้ว แต่ฉันก็พบว่าตัวเองกำลังยิ้มจนหน้าบานอยู่

 

“เป็นไง? อร่อยใช่ไหมล่ะ?”

 

หญิงสาวตักซุปขึ้นมาอีกช้อนด้วยรอยยิ้ม

 

ฉันเปิดปากโดยสัญชาตญาณและตระหนักถึงสิ่งที่ฉันกำลังเผชิญอยู่

 

“ไม่เอา…”

 

ฉันตกหลุมพรางของแม่มดและเผลอกินนํ้าซุปลงไป

 

ฉันไม่สามารถทำตัวโง่ไปกว่านี้ได้แล้ว

 

ฉันคำนวนราคาของนํ้าซุปอยู่ในใจโดยที่ไม่ได้สนใจท่าทางที่แสร้งทำเป็นประหลาดใจของหญิงสาว

 

รายได้ต่อวันของฉันอยู่ที่สองถึงสามพันวอน

 

ราคาซุปของร้านหรู ๆ เกินหนี่งหมื่นวอนแน่นอน

 

มันเป็นเงินจำนวนที่ถ้าหากฉันทำงานอย่างหนักอยู่หลายวันก็สามารถหามาจ่ายได้

 

‘ฉันล้มละลายแล้ว’

 

หนึ่งพันวอนสามารถทำอะไรได้มากมาย

 

ยกตัวอย่างเช่น ซื้อด้ายและเข็มมาซ่อมเสื้อผ้าและกระเป๋าที่ขาด หรือไม่ก็ซื้อเทปกาวมาปะเต็นท์ที่ชำรุด

 

แต่ทุกอย่างกำลังหายไปเพราะกลอุบายของผู้หญิงคนนี้

 

‘เฮ้อ’

 

นี่เธอตั้งใจจะทรมานฉันมากแค่ไหนกัน?

 

ฉันทนกับการไร้เหตุผลแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ฉันเลยพูดอะไรบางอย่างออกไป

 

“ฉันอยากกลับบ้านแล้ว”

 

“บ้าน? เธอยังมีครอบครัวอยู่เหรอ?”

 

พอมีโอกาศทีไร เธอก็มักจะพยายามล้วงข้อมูลของฉันอยู่เสมอเลย

 

“ฉันไม่รู้ ฉันจะไม่บอกอะไรคุณเด็ดขาด”

 

“อ-โอเค ไม่เป็นไร”

 

แม้ว่าฉันจะพูดจารุนแรง แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด

 

บางทีเธออาจจะเป็นคนสติไม่ดีที่ไม่มีทางจะโกรธได้อย่างง่าย ๆ

 

ฉันถอยหลังออกไปนิดหน่อยด้วยความกลัวแต่ก็มีความมุ่งมั่นอยู่ในนั้น

 

“ฉันต้องกลับบ้านไปรดนํ้าให้มะเขือเทศ”

 

“อืม… พี่ขอไปด้วยได้ไหม?”

 

“ทำไม…?”

 

“พี่ก็แค่อยากเห็นที่ที่คยออุลอาศัยอยู่น่ะ”

 

มันฟังดูเหมือนว่าเธอต้องการทราบที่อยู่ฉันเพื่อที่จะคอยสอดแนมฉันเลย

 

“ที่นั่นมันสกปรกมาก แถมยังมีตะขาบออกมาด้วย”

 

“ไม่เป็นไร พี่รับมือได้”

 

รอยยิ้มของเธอเต็มไปด้วยความอึดอัดใจ

 

เธอดูเหมือนกับคนที่ไม่ชอบแมลงและสิ่งสกปรก แต่เหตุผลที่เธอฝืนยิ้มก็คงเป็นเพราะว่าเธออยากรู้ว่าฉันอาศัยอยู่ที่ไหน

 

ฉันตัดสินใจที่จะทำให้เธอกลัวมากขึ้นอีกเล็กน้อย

 

“บางครั้งหมูป่าก็โผล่มา และก็มีสุนัขจรจัดในตอนกลางคืนด้วย?”

 

“จริงเหรอ? เธออาศัยอยู่ที่ไหนกันแน่เนี่ย?”

 

ดูเหมือนว่าเธอจะกลัวหมูป่าและสุนัขจรจัด

 

ฉันรู้สึกชนะเมื่อฉันรู้จุดอ่อนของเธอ

 

“ฉันอาศัยอยู่ในเต็นท์ภายในป่า มีเห็ดที่มีพิษอยู่ใกล้ ๆ ด้วย เพราะงั้นมันคงเป็นเรื่องยากสำหรับคุณ”

 

“คุณพระ…”

 

เธออ้าปากค้างด้วยความตกใจ ส่วนฉันก็ยิ้มอย่างคนมีชัย

 

ในเมื่อฉันรู้จุดอ่อนของเธอแล้ว ฉันก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวถ่อมตนอีกต่อไป

 

“เป็นไงบ้าง? มาไม่ได้ใช่ไหม? ถ้างั้นฉันก็ควรไปคนเดียวใช่ไหม?”

 

“ไม่ ไปด้วยกันนี่แหละ ฉันชอบสถานที่ที่มันอันตรายอยู่พอดีเลย”

 

“จริงเหรอ…? ทำไมล่ะ…?”

 

“เพราะพี่เป็นนักผจญภัยระดับสูงยังไงละ”

 

อ่า

 

จริงด้วย

 

ฉันลืมไปเลยว่าเธอเป็นนักผจญภัยระดับสูง เป็นผู้ที่มีความสามารถถึงขนาดดูแลพื้นที่ล่ามอนสเตอร์ของพวกนักผจญภัยมือใหม่ได้

 

ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมฉันถึงได้ลืมข้อมูลที่สำคัญมากขนาดนี้ไป

 

“คุณจะมาจริง ๆ เหรอ? มันมีแมลงสาบด้วยนะ”

 

“ใช่ พี่อยากรู้ว่าคยออุลอาศัยอยู่ในที่แบบไหนน่ะ”

 

ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอก็จะตามฉันไปให้ได้

 

ฉันหลับตาลงอย่างคนพ่ายแพ้

 

‘ฉันแพ้แล้ว’

 

ฉันไม่เหลือวิธีที่จะทำให้เธอยอมแพ้ได้อีกแล้ว

 

ฉันหญิงสาวไปที่บ้านของฉัน ถึงแม้ว่าฉันจะไม่อยากพาเธอไปก็ตาม

 

[TL/ แป้งข้าวโพดที่คยออุลกิน ไม่ใช่แป้งข้าวโพด ‘Corn Starch’ แต่เป็น แป้งข้าวโพด ‘Corn meal’]