ตอนที่ 3 กลับบ้าน (1)

I Was Kidnapped By The Strongest Guild

ฉันรีบลุกออกจากเก้าอี้ทันทีเมื่อรู้ว่าฉันสามารถกลับบ้านได้แล้ว

 

ฉันหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าของฉันและใช้มันเช็ดเบาะรองนั่งของเก้าอี้

 

และแม้แต่ในตอนที่ฉันกำลังทำความสะอาดเก้าอี้อยู่ หญิงสาวก็ยังพยายามยัดเยียดให้ฉันกินอาหาร แต่หลังจากที่โดนฉันปฏิเสธไปอีกสองถึงสามครั้ง เธอก็ยอมแพ้

 

หลังจากที่ฉันทำความสะอาดเก้าอี้เสร็จและกำลังจะสะพายกระเป๋าพาดบ่าของฉัน ฉันก็พบว่าเสื้อผ้าที่ฉันกำลังใส่อยู่มันสะอาดมากกว่าปกติ

 

“เอ่อ…”

 

“ฮืม?”

 

“ฉันอยากเปลี่ยนเสื้อผ้าไปใช้เสื้อผ้าของตัวเอง…”

 

เสื้อผ้าที่ฉันกำลังสวมอยู่ตอนนี้ก็คือเสื้อผ้าหรูหราที่น่าอึดอัดใจ

 

ถ้าหากฉันทำมันเสียหายแม้แต่นิดเดียว ฉันก็คงจะต้องจ่ายค่าเสียหายเป็นแสนวอน

 

เห็นได้ชัดเลยว่าหญิงสาวตั้งใจใช้เสื้อผ้าเหล่านี้เพื่อควบคุมฉัน

 

“เสื้อผ้าพวกนี้มันคือของขวัญ เธอไม่อยากใส่มันต่องั้นเหรอ?”

 

หญิงสาวยืนกรานจะให้ฉันใส่มันต่อไป

 

เธอเป็นผู้หญิงที่อันตรายมาก ฉันไม่สามารถลดการป้องลงได้เลย

 

“ฉันชอบเสื้อผ้าของฉันมากกว่า”

 

“จริงเหรอ? แต่ชุดของเธอมันโทรมไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ?”

 

“ถึงมันจะโทรม แต่พวกมันคือสมบัติของฉัน”

 

ถึงแม้การบอกไปว่าเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งและทรุดโทรมว่าเป็นสมบัติมันจะเป็นเรื่องที่น่าขำ แต่ฉันไม่มีทางเลือกอื่นให้เลือกแล้ว

 

เนื่องจากฉันต้องปีนภูเขาเพื่อไปยังจุดที่เต็นท์ของฉันตั้งอยู่

 

ถ้าหากเสื้อผ้าตัวนี้เปื้อนฝุ่นหรือไปเกี่ยวกับกิ่งไม้จนขสดแล้วละก็ ชีวิตของฉันคงได้จบสิ้นแน่

 

“โอเค… งั้นช่วยรอสักเดี๋ยวหนึ่งนะ ตกลงไหม?”

 

“ตกลง”

 

ฉันมองไปรอบ ๆ ในขณะที่หญิงสาวก็กำลังคุยอยู่กับพนักงานของโรงแรมอยู่

 

ที่มุมหนึ่งของโรงอาหาร ฉันก็พบกับผู้ชายที่เคยตบเข้ามาที่หลังศีรษะของฉัน

 

“อ๊ะ”

 

สายตาของพวกเราสบกัน

 

ด้วยความตกใจ ฉันจึงกำลังจะหันหน้าหนีแต่เขากลับชิงหันหน้าหนีไปจากฉันซะก่อน

 

มันเป็นเรื่องที่ฉุกระหุกมาก

 

‘เอ๊ะ?’

 

ผู้ชายคนนั้นมันจะจ้องเขม็งมาที่ฉันอยู่ตลอดเลยนี่นา

 

แล้วทำไมในตอนนี้ เขาถึงได้หลีกเลี่ยงการสบตากับฉันกัน?

 

ถึงแม้ฉันจะงุนงง แต่มันก็ยังดีกว่าการที่ต้องมาทะเลาะกัน ดังนั้นฉันเลยไม่คิดมากกับเรื่องนั้น

 

เพราะมันมีอะไรที่สำคัญมากกว่าการคิดเรื่องนั้นอยู่ตรงหน้าของฉัน

 

ขวดเปล่า

 

สิ่งที่มูลค่าตั้งแต่หนึ่งร้อยวอนไปจนถึงหนึ่งร้อยสามสิบวอนถูกวางกองไว้บนโต๊ะ

 

แค่ฉันหยิบมันไปขายได้สักสองถึงสามขวดก็ถือว่าเป็นโชคลาภของฉันแล้ว

 

“ว้าว”

 

ในตอนที่ฉันถูกแม่มดจับตัวมา ฉันก็กลัวอยู่หรอกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน

 

แต่ถ้าคิดในอีกมุมหนึ่ง บางทีฉันอาจจะได้ค่าตอบแทนสำหรับการเป็นหนูทดลองก็ได้

 

ฉันกลืนนํ้าลายอย่างแรง และเดินไปที่ขวด

 

ฉันสามารถใส่ขวดเบียร์ลงไปในกระเป๋าของฉันได้ประมาณสี่ขวด

 

ในขณะที่ฉันกำลังเอื้อมมือเพื่อไปหยิบขวด ฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากด้านหลังของฉัน

 

บางทีอาจจะเป็นเพราะหูอันใหม่ของฉันที่คล้ายคลึงกับหูของสัตว์ มันเลยทำให้ไวต่อเสียงมาก

 

“กำลังทำอะไรอยู่เหรอ?”

 

ฉันหันหน้าไปตามเสียงเรียกของหญิงสาว

 

มันให้ความรู้สึกราวกับถูกจับได้ว่ากำลังขโมยอัญมณีลํ่าค่าอยู่เลย ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ขวดที่ถูกทิ้งแล้วก็ตาม

 

“ข-ขวด…”

 

“ขวดเหรอ?”

 

“ข-ขวดเบียร์… หนึ่งร้อยถึงหนึ่งร้อยสามสิบวอน…”

 

ฉันตื่นตระหนกจนพูดไม่ได้ศัพท์

 

ฉันรีบวางขวดไปไว้ที่เดิมทันทีก่อนที่จะมีเรื่องอะไรสักอย่างเกิดขึ้น

 

“อ๋อ เธออยากจะเอาขวดไปขายใช่ไหม?”

 

“ใช่…”

 

ถ้าเป็นผู้หญิงคนนี้ละก็ เธอคงจะปฏิเสธอย่างแน่นอน

 

ในขณะที่ฉันกำลังจ้องขวดเปล่าด้วยความเสียใจ หญิงสาวก็เริ่มหยิบขวดและใส่มันลงไปในกระเป๋าของฉันทีละขวด

 

“ดูเหมือนว่ามันจะเต็มแล้วนะ”

 

“ไม่ต้องแล้ว แค่สี่ขวดก็พอแล้ว”

 

ฉันรีบกางนิ้วออกมาสี่นิ้ว เพื่อระบุจำนวนขวดที่ฉันต้องการ

 

ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้รู้คุณค่าของขวดเปล่าเหล่านี้เลย

 

“โอเค ถ้างั้นเดี๋ยวพี่จะช่วยถือขวดให้อีกสี่ขวด ทีนี้เธอก็ขายมันได้มากกว่าเดิมแล้วใช่ไหม?”

 

“ใช่…”

 

สี่ขวดอยู่ในกระเป๋าของฉัน

 

อีกสี่ขวดอยู่ในมือของหญิงสาว

 

และอีกหนึ่งขวดอยู่ในอ้อมแขนของฉัน

 

ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ ฉันกลับสามารถทำเงินได้มากกว่าหนึ่งพันวอน

 

——————————————————————————————————————————

 

กิลด์รุ่งอรุณ

 

ถึงแม้จะเป็นสำนักงานใหญ่ของกิลด์ที่แข็งแกร่งที่สุดในเกาหลีใต้ ก็มีร้านสะดวกซื้ออยู่

 

จูซังอุค พนักงานของร้านสะดวกซื้อกำลังมอบไปรอบ ๆ ร้านด้วยสายตาที่เหนื่อยล้า

 

มันเป็นวันที่ยุ่งวุ่นวายอีกวันที่มีแค่ผู้จัดการเท่านั้นที่ชอบ แต่ในตอนนี้กลับไม่มีลูกค้าอยู่เลย

 

‘เงียบเชียบดีจัง’

 

เขาตัดสินใจที่จะสนุกไปกับช่วงเวลาที่แสนสงบสุดหาได้ยากนี้ โดยที่เขารู้อยู่แล้วว่าอีกไม่นานมันก็คงจะยุ่งวุ่นวายอีกเหมือนเดิม

 

ในขณะที่จูซังอุคกำลังหาวอยู่ ลูกค้าก็ได้เข้ามาที่ร้าน เขาจึงรีบปั้นหน้ายิ้มทันที

 

“ยินดีต้อนรับครับ…?”

 

ใบหน้าของคนที่เข้ามาในร้านสะดวกซื้อเป็นคนที่จูซังอุครู้จักดี

 

เธอคือฮันยอรึม สมาชิกระดับสูงของกิลด์รุ่งอรุณที่ทรงพลัง

 

‘ฮืม?’

 

การทำงานอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อ จูซังอุคก็มักจะพบเจอสมาชิกระดับสูงของกิลด์อยู่ตลอด

 

การที่เห็นยอรึมไม่ได้ทำให้เขาตกใจเลย แต่สิ่งที่ทำให้เขาเบิกตากว้างก็คือ

 

มนุษย์สัตว์เด็กผู้หญิงที่ตามเธอมาต่างหาก

 

‘อะไรน่ะ?’

 

มนุษย์สัตว์เป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก ๆ เพราะในเกาหลีใต้มีมนุษย์สัตว์ไม่ถึงห้าสิบคน

 

ถึงแม้หูและหางสีขาวของเธอจะดูน่ารัก แต่จูซังอุคก็ไม่สามารถยิ้มออกมาได้

 

เนื่องจากรูปร่างหน้าตาและกิริยาท่าทางที่สวนทางกัน

 

เธอสวมใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ ที่เปื้อนเลือดอยู่ พร้อมกับถือขวดเบียร์ไว้ในอ้อมแขนราวกับมันเป็นของมีค่า

 

และท่าทางที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของเธอที่มักจะมองไปรอบ ๆ ภายในร้านอยู่เสมอ ช่างดูน่าสงสารจับใจ

 

‘มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?’

 

จูซังอุคสงสัยในความสัมพันธ์ของฮันยอรึมกับเด็กสาวมนุษย์สัตว์คนนี้

 

มันน่าแปลกที่ฮันยอรึมผู้รํ่ารวยจะปฏิบัติกับเด็กสาวมนุษย์สัตว์เช่นนี้

 

‘เธอโดนทารุณ… คงไม่ใช่หรอกมั้ง?’

 

ยอรึมเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความใจดีที่มีต่อเด็กของเธอ

 

แต่ถ้าเอาตามความจริง คนในกิลด์รุ่งอรุณทั้งหมดต่างก็มีชื่อเสียงในเรื่องความเมตตาต่อเด็ก

 

พวกเขาล้างบางองค์กรอาชญากรรมที่รัฐบาลยอมแพ้ไปแล้วในการจับกุม เพียงเพื่อช่วยเหลือเด็กหนึ่งคนที่ถูกลักพาตัวไป

 

มันคงจะมีสาเหตุอะไรสักอย่างในการกระทำนี้ของเธออย่างแน่นอน

 

ในขณะที่จูซังอุคกำลังพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ เด็กสาวมนุษย์สัตว์ก็มาที่หน้าเคาน์เตอร์พร้อมกับขวดที่อยู่ในมือ

 

“ช-ช่วยซื้อขวดเหล่านี้ด้วย…”

 

“ขวด?”

 

เธอขายขวดเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพงั้นเหรอ?

 

ทำไมเด็กน้อยคนนี้ต้องทำอะไรแบบนี้ด้วย?

 

จูซังอุคมองฮันยอรึมด้วยสายตาที่ไม่ไว้ใจ

 

“ข-ขวดมีทั้งหมดเก้าขวดค่ะ”

 

ยอรึมพูดติดอ่างในขณะที่กำลังวางขวดลงบนเคาน์เตอร์

 

จูซังอุคมีหลายสิ่งที่อยากจะพูดออกมา แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะทำหน้าที่พนักงานก่อน

 

“ทั้งหมดเก้าขวดนะครับ รวมเป็นเงินทั้งสิ้นหนึ่งพันสองร้อยวอนนะครับ”

 

ในขณะที่จูซังอุคกำลังใช้งานเครื่องบันทึกเงินสดอยู่นั้น เด็กสาวก็จ้องมองไปที่จูซังอุคด้วยใบหน้าที่น่ารัก

 

“ขอเป็นเหรียญแทนธนบัตรได้ไหม?”

 

“ได้สิ เดี๋ยวพี่จะหยิบเหรียญให้นะ”

 

จูซังอุคมอบเหรียญที่สะอาดที่สุดให้กับเด็กสาว

 

ดูเหมือนว่าเด็กสาวจะถูกใจเหรียญที่แวววับนี้มาก เธอกำมันไว้ในมืออย่างแน่นและกระโดดไปมาอย่างมีความสุข

 

หูสีขาวของที่น่ารักของเธอกระเด้งอย่างน่ารักทุกครั้งที่เธอกระโดด

 

“เราขายขวดกันหมดแล้ว ไปกันเลยดีไหม?”

 

“โอเค”

 

ฮันยอรึมมองไปที่จูซังอุคด้วยความกังวลเล็กน้อยก่อนที่จะจับมือของเด็กและพาเธอออกไป

 

ใครดูก็รู้ว่าเธอกำลังรีบอยู่

 

จูซังอุคตัดสินใจพูด แม้ว่ามันจะเกินขอบเขตของเขาก็ตาม

 

เขาตระหนักถึงช่องว่างระหว่างตัวเองและฮันยอรึมเป็นอย่างดี แต่เขาก็แค่เป็นห่วงเด็กในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่ง

 

“ขอโทษนะครับ ไม่ใช่ว่าคุณควรเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เด็กหน่อยเหรอครับ?”

 

“ใช่ ช-ใช่ ขอโทษค่ะ…”

 

แทนที่เธอจะโกรธ เธอกลับขอโทษ

 

ในคำพูดของเธอไม่มีนํ้าเสียงที่ดูถือตัวอยู่เลย

 

จูซังอุคถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้รับคำตอบจากฮันยอรึม

 

เพราะมันหมายความว่าเธอรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรผิดอยู่

 

——————————————————————————————————————————

 

สี่เหรียญ

 

สองในสี่เหรียญนั้นคือเหรียญห้าร้อยวอน

 

ฉันมองเหรียญที่ดูสวยยิ่งกว่าอัญมณีท่ามกลางแสงพระอาทิตย์

 

มันเป็นเหรียญที่แวววาวที่สุดเท่าที่ฉันเคยสัมผัสมา มันแวววาวยิ่งกว่าเพรชซะอีก

 

“ว้าว”

 

เพื่อที่จะเก็บขวดเพียงขวดเดียว ฉันถึงกับต้องตื่นแต่เช้าและตระเวนไปทั่วในละแวกใกล้เคียง

 

การหาเงินได้อย่างง่าย ๆ แบบนี้เป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมาก

 

“คยออุล พี่มีคำถาม”

 

“คำถาม?”

 

เป็นเพราะเธอช่วยฉันหาเงิน เธอจึงมีสิทธิ์ที่จะถามฉันใช่ไหม?

 

มุมปากของฉันตกลงเมื่อฉันคิดว่าฉันถูกหลอก

 

ฉันได้รับเงินมาแล้ว ฉันเลยรู้สึกว่าฉันต้องตอบคำถามของเธอ

 

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก พี่แค่อยากรู้ว่าทำไมเธอต้องการเหรียญแทนที่จะเป็นธนบัตร?”

 

“เพราะเหรียญมันหายยากกว่า”

 

“อ๋อ เพราะพวกมันหนักใช่ไหม?”

 

“ใช่”

 

เหรียญไม่เหมือนธนบัตรที่มีนํ้าหนักเบา

 

พวกมันจะไม่ปลิวไปตามสายลม และถ้าเกิดพวกมันตกลงไปมันก็จะเกิดเสียง เพราะงั้นมันเลยง่ายต่อการหา

 

อีกอย่าง มันคงจะเป็นเรื่องยากถ้าหากใครบางคนต้องการที่จะวิ่งหนีไปกับพร้อมเหรียญจำนวนมาก

 

เมื่อตระหนักได้เช่นนี้ หญิงสาวก็ปรบมือของตัวเอง ดังแปะ!

 

“สุดยอดเลย มันคล้าย ๆ กับภูมิปัญญาเพื่อชีวิตใช่ไหม?”

 

“ใช่…”

 

จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ภูมิปัญญาเพื่อชีวิตเลย

 

ฉันก็แค่เพิ่งจะมีประสบการณ์ในการมองธนบัตรปลิวขึ้นไปบนท้องฟ้าในวันที่มีพายุ

 

ในวันนั้นฉันเสียใจมากจนกินอะไรไม่ได้เลย

 

แม้ว่ามันจะผ่านมานานแล้ว แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้

 

‘เหรียญมันดีตรงที่มันจะไม่ปลิวไปไหนเมื่อมันมีจำนวนมาก’

 

ฉันหวังว่ากระปุกออมสินที่อยู่ที่บ้านของฉันมันจะไม่เป็นไร

 

ในขณะที่ฉันกำลังกำเหรียญอย่างแน่นอยู่ หญิงสาวก็พาฉันมาหยุดอยู่ที่รถสุดหรู

 

“อยากจะเข้าไปไหม?”

 

เธอเปิดประตูรถให้ฉัน

 

ภายในรถมันดูดีกว่าบ้านของฉันซะอีก

 

“ทำไมฉันต้องเข้าไปด้วย?”

 

“ไม่ใช่ว่าบ้านของเธอมันอยู่ใกล้ ๆ กับพื้นที่ล่าแรบบิทฮอร์นหรอกเหรอ? มันอยู่ไกลจากที่นี่นิดหน่อย”

 

“โอ้…”

 

ถึงว่าทำไมรอบ ๆ ถึงได้มีตึกสูงอยู่อย่างมากมาย

 

ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าฉันจะถูกย้ายมาไกลขนาดนี้ในตอนที่ฉันกำลังหมดสติอยู่

 

ฉันจ้องมองเข้าไปในรถอยู่สักพักหนี่งและก้าวหลังถอยออกมาด้วยความระมัดระวัง

 

“คุณจะขับรถไปเหรอ?”

 

“ทำไมล่ะ? พี่น่ะขับเก่งมากเลยนะจะบอกให้”

 

ผู้หญิงแสดงใบขับขี่ของเธอให้ฉันดู

 

ฉันคิดว่าเธอยังเด็กอยู่เนื่องจากรูปร่างหน้าตาของเธอ แต่เธอเป็นผู้ใหญ่ตามกฏหมายแล้วนี่เอง

 

“ถ้างั้นคุณก็ขับรถไปรอฉันก่อนได้เลย ส่วนฉันจะเดินไป”

 

“ทำไมล่ะ…?”

 

นี่เธอไม่รู้จริง ๆ งั้นเหรอ?

 

ด้วยความรำคาญ ฉันจึงแสดงเหรียญที่อยู่ในกระเป๋าของฉันให้เธอดู

 

“ฉันไม่มีเงิน ฉันมีอยู่แค่นี้”

 

เห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็นรถที่มีราคาแพง แต่ถึงแม้จะเช่ามามันก็ยังคงแพงมากอยู่ดี

 

ไม่มีทางที่ฉันจะสามารถนั่งรถแบบนี้ได้ด้วยเงินเพียงแค่ไม่กี่เหรียญได้หรอก

 

“โอ้… เธอไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินหรอก”

 

“…ทำไม?”

 

“ก็เพราะพี่เป็นคนที่อยากเห็นบ้านของคยออุลเองนี่นา ดังนั้นมันเลยเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วที่คนที่อยากเห็นจะต้องเป็นคนจ่าย”

 

“โอ้”

 

สมเหตุสมผล

 

เธอนั่นแหละที่จะเสียหายถ้าหากไม่ได้ไปที่บ้านของฉัน

 

ฉันเดินขึ้นไปที่รถด้วยความมั่นใจ

 

“ถ้างั้น ฉันจะทำความสะอาดให้เมื่อฉันนั่งเสร็จแล้ว”

 

“คือว่าเรื่องนั้น… ไม่ต้องก็ได้”

 

ต้องทำสิ

 

เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง ทางที่ดีที่สุดคือทำความสะอาดในบริเวณที่ฉันนั่ง

 

“ถ้าไม่ ฉันก็ไม่ขึ้น”

 

“โอเค โอเค เธอสามารถทำความสะอาดได้ เพราะงั้นพวกเราไปกันได้แล้วใช่ไหม?”

 

“โอเค”

 

ฉันนั่งลงบนเบาะรถด้วยความระมัดระวัง

 

ในที่สุดฉันก็จะได้กลับบ้านแล้ว