ย่านการค้าของเมืองอยู่ไม่ห่างจากโรงเรียนผมมาก เรานั่งรถไฟมาราว 15 นาที แล้วเดินต่ออีก 10 นาที ก็ถึงย่านการค้าที่ผู้คนพลุกพล่าน
ย่านการค้าแห่งนี้เรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ แม้จะไม่มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่แบบห้างบันโชว แต่ก็จัดได้ว่าครบครัน
“รุ่นพี่ตั้งใจมาซื้ออะไรครับ?”
ผมถามขณะเดินมองของไปเรื่อยๆ การที่ชายหนุ่มตัวสูงเกินค่าเฉลี่ยสองคนมาเดินเลือกซื้อของกัน มันก็ดูแปลกๆ พิกล
“อยากได้ของสำหรับขอโทษน่ะ”
“เรื่องอะไรครับ?”
“ก็ที่เราไปมีเรื่องชกต่อยกันคราวก่อนไง”
“ไม่ใช่ว่าได้รับอนุญาตแล้วหรอครับ?”
“อนุญาตแล้ว แต่เรื่องดันเลยเถิดจนโดนพักการเรียนน่ะซิ มินะเลยโกรธฉันยกใหญ่ อธิบายตั้งนานกว่าจะยอมฟังกัน”
รุ่นพี่นาคาจิมะอธิบายฉาก ข้าน้อยผิดไปแล้ว ซะผมเห็นภาพตาม ในใจก็คิดว่าคงต้องฝากเนื้อฝากตัวกับคุณคาวากุจิให้ดีเสียแล้ว
“ปกติเวลาแฟนงอน ถ้าพาไปเดตในที่ที่ชอบหรือพาไปกินของหวานก็น่าจะหายนะครับ”
ผมเสนอแนวทางให้รุ่นพี่นาคาจิมะพิจารณา
“พูดจาแบบผู้มีประสบการณ์แบบนี้ ต้องมองนายใหม่เสียแล้ว”
รุ่นพี่หันมาหรี่ตามองผมขึ้นๆ ลงๆ แล้วก็พูดต่อ
“ฉันชวนมินะเดตวันพรุ่งนี้แล้ว แต่หนนี้ฉันผิดคำพูดจริงๆ ยังไงก็ต้องขอโทษให้เป็นกิจลักษณะ”
ได้ยินแผนขอโทษของรุ่นพี่แบบนี้ก็รู้สึกว่ารุ่นพี่ใส่ใจคนรอบข้างมากกว่าที่คิด
“งั้นรุ่นพี่เล็งอะไรไว้เป็นพิเศษไหมครับ เราเลือกจากของพวกนั้นกัน”
ผมเสนอ
“นั่นน่ะซิ เอาอะไรดีล่ะมารุ ฉันไม่เคยซื้อของขอโทษใครเลย ถึงเมื่อก่อนจะทำมินะงอนบ่อยๆ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันผิดคำพูด ฉันถึงได้ให้นายมาช่วยกันเลือกนี่ไง”
[‘โอ้โห เปิดโจทย์ยากมาเลยนะครับรุ่นพี่’] ผมคิด
“งั้นคุณคาวากุจิชอบอะไรหรอครับ”
“แมว”
“หืม?”
รุ่นพี่พี่ตอบแบบไม่ต้องคิดมาทันที ทำเอาผมเผลอทำเสียงแปลกๆ ออกไป
“มินะชอบแมวน่ะ เจอไม่ได้ต้องอยากเข้าไปเล่นด้วยทุกที”
ผมฟังรุ่นพี่บรรยายความชอบของแฟนตัวเอง ในหัวก็นึกภาพตามไปเรื่อยๆ
“งั้นถ้าเป็นของใช้ล่ะครับ มีอะไรที่คุณคาวากุจิชอบเป็นพิเศษไหมครับ”
“ก็ไม่นะ แต่ถ้าเกี่ยวกับแมวก็ดูจะสนใจมากกว่าปกติ”
ผมเดินไปคิดไปสักพัก ในหัวจินตนาการภาพตามคำบรรยายของรุ่นพี่ รวมกับภาพลักษณ์ของคุณคาวากุจิ แล้วความคิดหนึ่งก็โผล่มาหัวผม
“คุณคาวากุจินี่ชอบพวกอุปกรณ์การเรียนไหมครับ?”
“ก็น่าจะชอบนะ เธอเรียนเก่งออก”
“งั้นถ้าเป็นของใช้แบบคู่รักใช้เป็นคู่ละครับ”
“ก็ใช้ได้แหละ แต่ถ้าเป็นพวกเสื้อผ้าคู่รัก เธอบอกว่ามันน่าอายน่ะ”
“งั้นรุ่นพี่ลองฟังความคิดผมดูไหม?”
รุ่นพี่นาคาจิมะหยุดเดินแล้วหันมามองผมด้วยดวงตาคาดหวัง ผมจึงอธิบายความคิดของตัวเองออกไป ฟังจบรุ่นพี่ก็หัวเราะร่า
“ฮ่าๆๆ นายนี่พึ่งพาได้จริงๆ มารุ เอาตามนี้แหละ”
พอรู้แล้วว่าจะซื้ออะไร ผมกับรุ่นพี่ก็ตรงไปโซนของนั้นทันที แต่ดูเหมือนผมกับรุ่นพี่จะดูถูกย่านการค้านี้เกินไป ถึงจะรู้ว่าจะซื้ออะไร แต่เนื่องจากมีของให้เลือกมากมาย เราสองคนจึงเสียเวลาไปนานโข
สุดท้ายกว่าจะได้ของที่ต้องการ เวลาก็ผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมง แต่ดูจากท่าทางของรุ่นพี่ ผมก็คิดว่างานนี้คุ้มแล้ว
“ไป มารุ หาข้าวกินกัน เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”
แล้วผมกับรุ่นพี่ก็มาจบที่ร้านราเมนแห่งหนึ่งในย่านการค้านั้น หลังจากได้ราเมนแล้ว ทั้งผมและรุ่นพี่ต่างหยุดการพูดคุยกันชั่วขณะ ก้มหน้าก้มตาซดราเมนกัน
ซดกันจนอิ่มหนำ พวกเราสองคนก็เดินกลับไปสถานี ภารกิจวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว
“เออ มารุ งานบอลนี่นายแข่งอะไร?”
รุ่นพี่นาคาจิมะเอ่ยถามระหว่างเดินไปสถานี
“บาสเกตบอลครับ”
รุ่นพี่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ปากก็พูดต่อ
“หรอ รูปร่างนายก็ดูเหมาะดีนี่นะ”
“ผมเคยเล่นตอน ม.ต้นน่ะครับ”
คราวนี้รุ่นพี่หันมามองผมจริงๆ จังๆ
“พูดจริงดิ เล่นได้ระดับไหน สนใจมาเล่นกับฉันไหม”
ผมเดินพร้อมพูดต่อ ไม่ได้มองรุ่นพี่ที่กำลังจ้องผมอยู่
“ตอน ม.ต้น อยู่ชมรมบาสเกตบอลน่ะครับ ไปแข่งบ้าง ลึกสุดก็เป็นตัวแทนเขตครับ ว่าแต่รุ่นพี่เล่นบาสเกตบอลด้วยหรอครับ”
“เห็นแบบนี้ฉันอยู่ชมรมบาสเกตบอลนะ ถึงจะไม่ค่อยเข้าก็เถอะ แต่แถวบ้านฉันมีสนามบาสเกตบอลเปิดให้เล่นนะ นายมาเล่นกับฉันซิ”
ผมหันไปมองรุ่นพี่แบบงงๆ แวบนึง แล้วหันมามองทางเดินต่อ
“บ้านรุ่นพี่นี่คือเมืองข้างๆ ใช่ไหมครับ ที่ต้องนั่งรถไฟไปเกือบๆ ชั่วโมงน่ะ”
“ใช่ ทำไมหรอ?”
รุ่นพี่ถามกลับด้วยใบหน้าซื่อๆ ทำเอาผมเผลอคิดในใจว่ารุ่นพี่กำลังแกล้งผมใช่ไหมเนี่ย
“ขอผ่านครับ มันไกล นั่งรถไฟไปกลับก็หมดเวลาทำอย่างอื่นแล้ว”
—อ้ออ— รุ่นพี่นาคาจิมะตอบแค่นั้นแล้วบทสนทนาก็เงียบไป
ผมกับรุ่นพี่เดินมาจนถึงสถานี มองเวลาแล้วยังไม่ถึงบ่ายสองโมงเลย ใจยังไม่อยากกลับบ้านแต่ธุระกับรุ่นพี่ก็เสร็จแล้ว ในตอนที่กำลังลังเลว่าจะเอาไงดี รุ่นพี่นาคาจิก็เอ่ยชวนผมไปเที่ยวบ้าน
“ก็นายทำหน้าเหมือนไม่อยากแยกจากฉันนิ ฮ่าๆ”
[‘ผมแค่ไม่อยากกลับบ้านเฉยๆ หรอกครับ’]
เถียงรุ่นพี่ในใจไปแบบนั้น แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“รบกวนด้วยครับ”
บ้านของรุ่นพี่นาคาจิมะถึงก่อนห้างบันโชว 2 สถานี เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น มีพื้นที่บ้านพอสมควร ดูแล้วทางบ้านต้องมีฐานะไม่ธรรมดาแน่ๆ
“กลับมาแล้วครับ” “ขอรบกวนด้วยครับ”
“กลับมาพอดีเลยยูทากะ เฝ้าผ้าให้แม่ด้วยเผื่อฝนตก แม่จะไปซื้อของเข้าครัวหน่อย”
เสียงผู้หญิงลอยออกมาจากห้องที่น่าจะเป็นห้องนั่งเล่น ผมมองตามเสียงนั้นก็เห็นผู้หญิงที่ดูแล้วน่าจะอายุมากกว่าแม่ผมนิดหน่อยถือตะกร้าจ่ายตลาดเดินออกมา แม่รุ่นพี่ซินะ
“เอ๊ะ?! พาเพื่อนมาด้วยหรอ”
แม่รุ่นพี่ทำหน้าตกใจที่เห็นผม แล้วก็เอียงคอมองผมอย่างแปลกใจ นี่ผมมีอะไรผิดแปลกรึป่าวนะ
“นี่มารุ รุ่นน้องที่โรงเรียนน่ะครับ”
“เอ๋…ยูทากะพาเพื่อนมาบ้านจริงๆ ด้วย”
พอได้ยินรุ่นพี่นาคาจิมะแนะนำว่าผมเป็นรุ่นน้อง คุณแม่ของรุ่นพี่ก็ดูดีใจยกใหญ่ หันมายิ้มอย่างใจดีให้ผม
“ยินดีต้อนรับจ้ามารุคุง”
“คะ..ครับ ผมอาคิยามะ เออิชิ เป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนของรุ่นพี่ครับ ขอรบกวนด้วยครับ”
คุณแม่ของรุ่นพี่มองผมแบบงงๆ แล้วหันไปมองรุ่นพี่ ก่อนหันมายิ้มให้ผมอีกครั้งนึง
“ทำตัวตามสบายเลยนะ เดี๋ยวแม่ไปซื้อของก่อน เย็นนี้ก็อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันนะจ๊ะ”
แล้วคุณแม่ของรุ่นพี่ก็ออกจากบ้านไป
ผมเดินตามรุ่นพี่ขึ้นไปที่ห้องนอนของรุ่นพี่ ภายในห้องโล่งและเป็นระเบียบกว่าที่ผมคิดไว้ มีเพียงเตียง โต๊ะเขียนหนังสือ ชั้นวางหนังสือ ทีวีและเครื่องเล่นเกม กับของจิปาถะเล็กน้อย
“นั่งพื้นก็ได้เนาะ ฉันขี้เกียจไปเอาโต๊ะข้างล่างน่ะ เดี๋ยวปูเบาะรองนั่งให้”
รุ่นพี่บอกผมก่อนจะปูเบาะรองนั่งแล้วไปเอาขนมกับน้ำอัดลมขึ้นมา
“อีกพักใหญ่กว่าจะถึงมื้อเย็น นายมาเล่นเกมกับฉันก่อนแล้วกัน”
“เอ๊ะ! จะให้ผมอยู่ทานข้าวเย็นจริงหรอครับ?”
ผมชะงักเล็กน้อย แล้วรับแก้วน้ำกับขนมจากรุ่นพี่
“ใช่ซิ แม่ฉันดีใจมากเลยน่ะนั่น เตรียมตัวให้ดี แม่ฉันเป็นพวกอยากรู้อยากเห็น นายได้ตอบคำถามเยอะแน่”
ผมรับจอยสติ๊กจากรุ่นพี่และรอเข้าเกม
“ปกติรุ่นพี่ไม่พาเพื่อนมาบ้านหรอครับ”
“มีแค่มินะคนเดียวเท่านั้นแหละ”
รุ่นพี่มองตรงไปที่จอทีวี ในจอเป็นภาพอนิเมชั่นนำเข้าสู่เกม ตัวละครน่ารักกำลังแข่งรถกันดูน่าสนุก แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันเข้ากับรุ่นพี่ยังไงไม่รู้
ผมใช้เวลากับการเล่นเกมไป 2 ชั่วโมง และสิ่งที่ผมได้กลับมาคือความรู้ขมขื่นเล็กๆ กับเกร็ดความรู้เกี่ยวกับชายที่ชื่อนาคาจิมะ ยูทากะ
อย่างแรก รุ่นพี่เล่นเกมเก่ง โดยเฉพาะเกมต่อสู้รู้สึกจะเก่งเป็นพิเศษ สมแล้วที่เป็นราชาของอาคิรุได ชกต่อยเก่งทั้งในเกมและในชีวิตจริง
อย่างที่สองรุ่นพี่ชอบสัตว์ หรืออาจจะเรียกว่าเป็นพวกรักสัตว์ก็ได้ เรื่องนี้ยืนยันจากปากรุ่นพี่เอง แถมยังมีหลักฐานเพิ่มเติมเป็นเกมที่มีตัวละครเป็นสัตว์น่ารักๆ รวมถึงนิตยสารแมวสองสามเล่มที่วางอยู่ใกล้ๆ แผ่นเกม
พอเล่นเกมจนเบื่อ รุ่นพี่ก็ชวนผมไปดูสนามบาสเกตบอลใกล้ๆ บ้าน เล่นเกมนานจนชักเมื่อยๆ ผมเลยเออออตามไป แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้านี่มันเกินกว่าที่คิดไว้จริงๆ
ตอนที่รุ่นพี่ชวนมาเล่นบาสด้วยกัน ผมก็เข้าใจว่าคงเป็นสนามบาสเกตบาสกลางแจ้ง หรือโรงยิมเล็กๆ แต่เอาเข้าจริงนี่มันศูนย์กีฬาแล้ว
ตอน ม.ต้น ผมเคยได้ยินเกี่ยวกับศูนย์กีฬาแห่งนี้เหมือนกันแต่ไม่เคยมีโอกาสได้มา ของจริงใหญ่กว่าที่ผิดไว้เยอะ
“ที่นี่นอกจากสนามบาสเกตบอลแล้วยังมีสนามวอลเลย์แล้วก็สนามแบดมินตันกับโซนฟิตเนสด้วยนะ ถ้าจะเข้าใช้ก็ต้องเสียค่าบริการคนละ 200 เยน แต่จะสมัครสมาชิกรายปีก็ได้ ฉันเองก็เป็นสมาชิกรายปี”
รุ่นพี่อธิบายกฎของที่นี่คร่าวๆ แล้วพาเดินดูในศูนย์กีฬา แค่เดินเข้าไปก็ต้องจ่ายเงิน 200 เยน ผมกำลังจะหยิบกระเป๋า แต่ถูกรุ่นพี่ตัดหน้าไปก่อน
“ขอบคุณครับ”
ผมเก็บกระเป๋าสตางค์แล้วเดินตามรุ่นพี่เข้าไป
รุ่นพี่พาผมเดินดูโซนต่างๆ ของศูนย์กีฬาเหมือนพาชมโรงเรียนในงานเปิดบ้าน ยิ่งดูจากท่าทางความคุ้นเคยและการทักทายคนที่เดินผ่านไปมาแล้วยิ่งรู้สึกว่าเหมือนเข้าไปใหญ่
ที่สุดท้ายที่รุ่นพี่พามาคือสนามบาสเกตบอล ตอนนี้มีคนกำลังเล่นกันอยู่ในสนาม ข้างสนามเองก็มีคนอยู่หลายคนเหมือนกัน ดูแล้วเหมือนนักศึกษามหาวิทยาลัย หนึ่งในนั้นหันมาเห็นผมกับรุ่นพี่
“อ้าวยูทากะ มาๆ กำลังขาดคนพอดี เปลี่ยนชุดเปลี่ยนรองเท้าเลย”
คนที่ทักรุ่นพี่เป็นผู้ชายตัวสูงพอๆ กับผม แต่ตัวใหญ่กว่า พอเขาทักรุ่นพี่ คนอื่นๆ ก็หันมามองพวกเรา
“วันนี้ไม่ได้มาเล่นครับ พารุ่นน้องมาทัวร์เฉยๆ อนาคตจะได้มีคนมาเล่นเพิ่ม”
คราวนี้ทุกคนเลยหันมามองที่ผมกันหมด สัมผัสความสงสัยปนประหลาดใจที่แฝงมานั่นได้ชัดเจนเลย
“หน่วยก้านใช้ได้เลยนิ ไงก็มาเล่นด้วยกันบ่อยๆ นะ”
คนที่ทักรุ่นพี่ในตอนแรกพูดกับผม พอผมตอบรับไป เขาก็หันไปคุยกับรุ่นพี่ต่อ
ผมใช้เวลาระหว่างรอรุ่นพี่พูดคุยกับคนรู้จักดูการแข่งบาสในสนาม ผู้เล่นส่วนใหญ่น่าจะเป็นนักศึกษา แต่บางคนก็ดูเหมือนเด็ก ม.ปลาย เกมการแข่งขันผลัดกันรุกผลัดกันรับ กำลังดูอยู่เพลินๆ รุ่นพี่ก็ทักขึ้นมา
“เป็นไง สนใจมาเล่นกันด้วยกันหรือยัง”
“น่าสนใจครับ”
ผมหันมาตอบรุ่นพี่แล้วหันกลับไปดูการแข่งต่อ
“จริงๆ ผมก็อยากเล่นนะ แต่จะให้นั่งรถไฟมาเล่นแล้วนั่งรถไฟกลับผมคงไม่ไหวจริงๆ น่าจะหมดแรงแน่ๆ กว่าจะกลับถึงบ้านก็คงดึก ลำบากในหลายๆ เรื่องเลยครับ”
ผมบอกรุ่นพี่ถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นหากผมถ่อมาที่นี่ รุ่นพี่ทำทางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เสนอไอเดียแก้ปัญหาออกมา
“งั้นถ้านายมาค้างบ้านฉันล่ะ แค่นี้ก็แก้ปัญหาได้แล้ว”
ผมอึ้งกับความคิดของรุ่นพี่ที่เสนอออกมา ไม่คิดเลยว่าจะอยากให้ผมมาเล่นด้วยขนาดนี้
“เอ่ออ..ขอคิดดูก่อนนะครับ อีกอย่างตอนสิ้นเดือนก็จะสอบกลางภาคแล้ว ถึงจะมั่นใจว่ายังไงก็ไม่ตก แต่คงต้องทบทวนบ้างแหละครับ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เดี๋ยวให้มินะช่วยติวให้ก็ได้ ปกติเธอมาติวให้ฉันทุกทีแหละ”
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ตกลงว่าจะติวให้เพื่อนน่ะครับ”
“เจ้าพวกสามคนนั้นอ่ะนะ”
“ครับ”
“อื้มๆ งั้นมาแค่เสาร์อาทิตย์ก็ได้”
รุ่นพี่นาคาจิมะยังตื้อไม่เลิก ผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกนะ แต่รู้สึกเกรงใจรุ่นพี่มากกว่า
ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่เดือนเดียว แถมไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไร แต่ผมก็รู้สึกได้ว่ารุ่นพี่ดีกับผมมาก ถึงจะดูยียวนแต่ลึกๆ แล้วใจดี แถมดูเหมือนจะขี้เหงาด้วย
“อยากให้ผมมาเล่นด้วยมากขนาดนั่นเลยซินะครับ”
“แน่นอน ฮ่าๆ”
บทสนทนาจบลงแค่นั้น การแข่งในสนามจบลง ทั้งสองทีมเดินออกมาพัก ส่วนคนที่รออยู่ข้างสนามก็เดินลงไปเล่นแทน
มื้อค่ำวันนี้แม่ของรุ่นพี่ทำอาหารหลายอย่างแถมท่าทางน่าอร่อยด้วย ทุกคนนั่งทานข้าวพร้อมกันที่โต๊ะอาหาร พ่อของรุ่นพี่ก็กลับมาจากทำงานแล้ว ดูเหมือนท่านจะเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง เป็นผู้ชายวัยกลางคนตัวโตที่ดูใจดี เค้าหน้าของรุ่นพี่ก็น่าจะได้จากพ่อมาหลายส่วน
ระหว่างมื้ออาหารพ่อกับแม่ของรุ่นพี่ให้ความสนใจกับผมเป็นพิเศษ เหตุผลก็คือรุ่นพี่ไม่เคยมีเพื่อนที่โรงเรียนมาเที่ยวบ้าน อย่าว่าแต่เพื่อนที่โรงเรียน แม้แต่เพื่อนในละแวกใกล้ๆ ก็ไม่เคยมี ทำเอาพ่อกับแม่กลุ้มใจไม่น้อย
“เจ้ายูทากะมันไม่ยอมคนตั้งแต่เด็ก ทะเลาะเบาะแว้งบ่อย เลยไม่ค่อยมีเพื่อน คนแถวๆ นี้ก็กลัวมันกันหมด ลุงดีใจนะที่มารุยอมสนิทกับมันน่ะ”
“เงียบเลยพ่อ ที่โรงเรียนผมมีเพื่อนเยอะแยะ”
“ให้มันจริงเหอะ ที่โดนพักการเรียนนี่ ไม่ใช่ว่าไปตั้งแก๊งนักเลงยกพวกตีกันรึไง”
“มารุก็ไปเหอะ”
ผมนั่งมองรุ่นพี่กับพ่อเถียงกันไปมาพลางกินข้าวไปด้วย อาหารฝีมือแม่รุ่นพี่อร่อยทุกอย่าง แถมบรรยากาศการกินข้าวกับครอบครัวก็ดูอบอุ่น
[‘อยากกลับไปกินข้าวกับพ่อกับแม่จังเลยแฮะ’]
คิดแบบนั้นแล้วก็รู้สึกหน่วงๆ ที่ตา ผมกระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่อาการนั้น
“ไม่ชอบอะไรหรือเปล่าจ๊ะ?”
แม่ของรุ่นพี่หันมาถาม
“อ๊ะ..ไม่ครับ อร่อยทุกอย่างเลย”
ผมยิ้มตอบคำถามแม่ของรุ่นพี่ที่มองมาที่ผม
[‘สายตานี้ อ่า..คิดถึงแม่จัง’]
“ชอบก็ดีแล้วจ้ะ ถ้าไม่รังเกียจก็มากินข้าวด้วยกันบ่อยๆ ได้นะ”
“ครับ”
ผมพยักหน้าตอบกลับ
หลังทานมื้อค่ำ ผมขอตัวกลับเพราะเห็นว่าค่ำแล้ว รุ่นพี่จะออกมาส่งแต่ผมปฏิเสธ ก่อนกลับผมขอบคุณพ่อกับแม่ของรุ่นพี่อีกครั้งแล้วจึงออกมา
“เป็นครอบครัวที่อบอุ่นดีจังนะ”
ผมพึมพำขณะเดินไปตามถนน
ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว แต่แสงสว่างจากหลอดไฟทั้งในและนอกอาคารยังคงสว่าง ผมคิดถึงภาพครอบครัวของรุ่นพี่ แล้วก็คิดถึงครอบครัวของตัวเอง
ครั้งหนึ่งผมเคยมีครอบครัวที่อบอุ่นแบบนั้น พ่อกับแม่ที่เก่งอย่างกับซุปเปอร์ฮีโร่ทำได้ทุกอย่าง กับข้าวฝีมือแม่ก็อร่อยที่สุดในโลก พ่อก็ใจดีชอบแอบเอาขนมมาให้หลังถูกแม่ดุ ทั้งที่ทั้งสองคนแทบจะไม่มีเวลาแท้ๆ แต่ก็ยังดูแลผมอย่างดีได้ถึงขนาดนั้น
– “เออิชิ คือ ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยม เพราะลูกคือ เออิชิ ของแม่กับพ่อยังไงล่ะ” –
แม่พูดแบบนั้นตอนวัดเกิด 5 ขวบของผม มันเป็นหนึ่งในวันที่ผมมีความสุขมาก ภาพจำตอนนั้นไหลผ่านสมอง ชัดเจนจนเหมือนผมกำลังดูหนัง
แล้วผมไม่ใช่ ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยม ตอนไหนนะ อืมมม…อ่ออ น่าจะเริ่มตั้งแต่ช่วงก่อนสอบเข้า ม.ต้น นิดนึง ใช่แล้ว ตั้งแต่วันนั้นรอยยิ้มของแม่ก็ไม่เคยเหมือนเดิมอีกเลย
ผมคิดถึงอดีตแล้วก็เดินไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีผมก็มายืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง
บ้านเดี่ยวสองชั้น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องนั่งเล่น และพื้นที่รอบบ้านอีกเล็กน้อย
แสงไฟสว่างออกมาจากในบ้าน ช่วงเวลานี้คนในบ้านคงกำลังนั่งดูรายการโทรศัพท์กับครอบครัว
“นี่นายน่ะ มาด้อมๆ มองๆ อะไรหน้าบ้านคนอื่น”
ผมตื่นจากภวังค์เพราะเสียงของผู้หญิงที่ดังขึ้นจากข้างๆ
ห่างไปราว 3 เมตร หญิงสาวในชุดกางเกงขาสั้นสวมเสื้อแขนยาวมีฮู้ด ในมือมีถุงที่น่าจะเป็นของซุปเปอร์มาเก็ตกำลังมองมาที่ผม
แสงไฟจากเสาไฟแถวนั้นสว่างมากพอที่จะทำให้มองเห็นหน้าเธออย่างชัดเจน สายตาที่มองมานั่นเต็มไปด้วยความระแวดระวังแล้วก็ความสงสัย…รึป่าวนะ
ผมก้มหน้าลงเอานิ้วโป้งและนิ้วชี้คลึงหัวตาไล่อาการร้อนผ่าวในดวงตาที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“นี่บ้านเธอหรอ?”
ผมถามเธอกลับทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่
“จะใช่หรือไม่ใช่นายเกี่ยวอะไรด้วย มายืนมองบ้านคนอื่น ทำตัวน่าสงสัย”
นี่เธออคติอะไรกับผมขนาดนี้เนี่ย จำไม่ได้เลยว่าไปทำอะไรไม่ดีกับเธอไว้ ผมคิดในใจแล้วก็เงยหน้ามองเธอตรงๆ
“เธอไม่คิดว่านี่จะเป็นบ้านของฉันบ้างหรอ?”
“จะเป็นบ้านของนายได้ยังไงในเมื่อฉันอยู่บ้านหลังนี้ อีกอย่างถ้าเป็นบ้านของนายจริง นายจะมา…”
เธอปิดปากตัวเอง ทำตาโตตกใจ คงเพิ่งนึกได้ว่าเผลอพูดอะไรออกมา เห็นแบบนั้นผมก็อดยิ้มไม่ได้
“บ้านเธอหรอกหรอ”
ผมหันหลังให้เธอแล้วเริ่มออกเดินอีกครั้ง
“นี่ หยุดก่อน บอกมาเดี๋ยวนี้ว่านายมาทำอะไรหน้าบ้านฉัน”
ผมหยุดตามที่เธอบอกแล้วหันหน้ามามองเธอ
“ขอโทษด้วย ฉันไม่รู้ว่านี่เป็นบ้านเธอ ไม่ได้ตั้งใจมาทำอะไรทั้งนั้น แค่เดินผ่านมา”
“โกหก ฉันเห็นนายยืนมองอยู่สักพักแล้ว”
ผมถอนหายใจ สงสัยจะเผลอตัวไปหน่อย
“ฉันแค่ผ่านมาก็แค่นั้น จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจเธอ”
ผมออกเดินอีกครั้ง ไม่คิดจะอธิบายต่อ
“ดะ..เดี๋ยว…”
“นี่ เธอรู้อะไรไหม”
ผมพูดสวนกลับไปก่อนที่เธอจะพูดอะไรต่อ
“เธอมีดวงตาที่สวยมากนะ”
“เอ๊ะ!?”
“แต่อย่าเที่ยวไปมองใครด้วยสายตาอคติแบบที่เธอกำลังมองฉันอยู่นี่ล่ะ…”
“มันเสียของ…”
น้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ ผมเดินออกจากตรงนั้น ทิ้งเธอที่มีสีหน้าตกใจไว้หน้าบ้านของเธอ