“ขออนุญาตค่ะ” 

           “โอ้ ช่วยได้เยอะเลยคุณโอโตเมะ เอาวางไว้บนโต๊ะตรงนั้นก่อนเลยนะ” 

           ประธานชี้ไปที่ตำแหน่งว่างบนโต๊ะประชุม ฉันวางเอกสารที่ถ่ายมาบนนั้น บนหน้าเอกสารเป็นรายละเอียดการจัดกิจกรรมเทศกาลดนตรีฤดูฝนที่โรงเรียนจะเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย โดยงานจะมีขึ้นในเดือนหน้า

           “กลับก่อนได้เลยนะ ที่เหลือเดี๋ยวฉันกับคนอื่นจัดการเอง” 

           ประธานนักเรียนคนปัจจุบันเงยหน้าขึ้นมาบอกฉัน 

           “ขอบคุณค่ะ อย่าหักโหมกันนะคะ” 

           “อื้ม ไปเถอะ” 

           “งั้นขอตัวก่อนนะคะ” 

           ฉันก้มหัวเล็กน้อย แล้วเดินออกจากห้องสภานักเรียน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หน้าจอบอกเวลาขึ้นเป็นตัวเลข 17.47 น. 

           เย็นขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มแล้วอีกไม่นานก็คงมืดสนิท ทั้งที่เป็นปลายฤดูใบผลิแท้ๆ แต่อากาศกลับอบอ้าวและชื้นกว่าปีก่อนๆ

           [‘หรือปีนี้หน้าร้อนจะมาเร็วกว่าปกตินะ’] 

           ฉันเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้งขณะเดินออกมาจากอาคารเรียน ในโรงเรียนแทบจะไม่เหลือนักเรียนอยู่แล้ว พวกที่ยังอยู่ก็คงเป็นพวกที่อยู่ซ้อมชมรมกับสภานักเรียน

           “อ้าว คุณโอโตเมะ กำลังจะกลับหรอ?” 

           มีเสียงทักฉันมาจากด้านหลัง พอหันไปมองก็เห็นกลุ่มเด็กผู้ชาย 4-5 คนเดินมาจากทางสนามกีฬา คนที่ทักฉันเดินอยู่ตรงกลางของกลุ่ม นิโนะมิยะ เรียว ชายหนุ่มผู้โดดเด่นสะดุดตานั่นเอง

           “อื้ม กำลังจะกลับแล้ว นิโนะมิยะคุงซ้อมชมรมเสร็จหรอ?” 

           ฉันตอบกลับไปอย่างเป็นธรรมชาติ แน่ล่ะ จะไม่เป็นธรรมชาติได้ยังไง ก็ในช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมานี่นิโนะมิยะคุงเข้ามาคุยกับฉันบ่อยจนตอนนี้เริ่มจะชินกับใบหน้าหล่อเหลานั่นแล้ว

           “เสร็จแล้วล่ะ กำลังจะกลับแล้วเหมือนกัน กลับพร้อมกันไหม?” 

           นิโนะมิยะส่งยิ้มชวนใจละลายมาให้ฉัน แต่ฉันรู้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับฉันหรอก เพราะรอยยิ้มการค้าแบบนี้เขายิ้มให้ทุกคนนั่นแหละ

           ฉันตอบตกลงและยืนรอเขาไปเอาของอยู่หน้าอาคารเรียน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรากลับบ้านด้วยกัน ก่อนหน้านี้ก็เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาสองสามครั้งแล้ว แม้ว่าครั้งแรกมันจะบังเอิญก็ตาม

           ที่ว่าบังเอิญนั้นเป็นเรื่องจริง แถมเป็นเรื่องบังเอิญที่น่าตกใจพอสมควรเลย

           ย้อนกลับไปตอนช่วงแรกๆ หลังการเลือกตั้งประธานนักเรียนเสร็จสิ้นและมีการตั้งสภานักเรียนขึ้นมา ฉันที่เป็นหนึ่งในทีมสภานักเรียนก็เริ่มที่จะทำงานกับสภาพและกลับบ้านช้ากว่าเดิม

           ฉันจำได้ว่าวันนั้นตัวเองเดินกลับบ้านในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับวันนี้ ทุกอย่างปกติดียกเว้นหนุ่มหล่อในชุดพละขาสั้นที่เดินอยู่ข้างหน้า นิโนะมิยะ เรียว นั่นเอง

           ฉันจงใจเดินทิ้งระยะห่างจากเขาเล็กน้อยเพราะกังวลว่าเขาจะเข้าใจผิด คิดว่าฉันตามเขามา เราเดินไปเงียบๆ โดยไม่ได้ทักทายพูดคุยอะไรกัน ฉันไม่แน่ใจว่าเขารู้ตัวไหมที่ฉันเดินอยู่ข้างหลัง แต่ฉันคิดว่าเขารู้

           เดินกันไปเรื่อยๆ จนเขาเดินผ่านหน้าบ้านฉันไป ส่วนฉันก็เดินเข้าบ้านตัวเอง ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหม แต่รู้สึกว่าเขาหันมามองฉัน

           พอวันรุ่งขึ้นนิโนะมิยะก็เดินเข้ามาทักฉัน เขาถามว่าบ้านฉันคือบ้านที่ฉันเดินเข้าไปใช่ไหม พอตอบไปว่าใช่ เขาก็ทำท่าประหลาดใจแล้วบอกมาว่า ผมเดินผ่านหน้าบ้านคุณตลอดเลย

           และนั่นคือจุดเริ่มต้นการเป็นเพื่อนอย่างเป็นทางการของฉันกับนิโนะมิยะ แล้วก็เป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายในรั้วโรงเรียนของฉันด้วย

           “ขอโทษที่ให้รอนะ ไปกันเลยไหม” 

           ฉันพยักหน้าบอกไม่เป็นไร แล้วเราก็เริ่มเดินกลับบ้าน โชคดีที่ไม่มีนักเรียนอยู่แถวนี้แล้ว ไม่งั้นคงฮือฮากันใหญ่แน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีข่าวลือว่าเราคบกันอยู่

           ครั้งแรกที่เซริบอกข่าวนี้ฉันตกใจมากแต่ก็แอบเขินนิดๆ ก็แหม เป็นข่าวกับหนุ่มฮอตที่สุดคนหนึ่งในโรงเรียน มันก็มีใจเต้นตึกตักกันบ้าง แต่ไม่นานนักฉันก็เข้าใจแล้วว่าการเป็นข่าวกับนิโนะมิยะนั้นไม่ใช่เรื่องดี

           เริ่มจากการที่ผู้หญิงเกือบครึ่งห้องมองมาที่ฉันด้วยสายตาแปลกๆ ตามมาด้วยการล้อมโต๊ะแล้วระดมยิงคำถามใส่จนฉันหัวหมุน โชคดีที่ตัวต้นเรื่องอย่างนิโนะมิยะเข้ามาช่วยอธิบายว่าเราไม่ได้คบกัน มีความสัมพันธ์แค่เพื่อนธรรมดา และบังเอิญกลับบ้านทางเดียวกันเท่านั้น 

           แม้จะช่วยสลายฝูงชนไปได้ แต่สายตาระแวงจากบางคนก็ทำฉันอึดอัดอยู่ดี

           เราเดินกลับบ้านเงียบๆ โดยเว้นระยะห่างกันประมาณ 30 เซนติเมตร คิดว่าเป็นระยะที่พอดีสำหรับคนเป็นเพื่อน ฉันคิดเรื่อยเปื่อยในหัวไปเรื่อยจนมาถึงบ้านตัวเอง 

           “เจอกันพรุ่งนี้นะ” 

           ฉันบอกลานิโนะมิยะ ก็เห็นเขาทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไร จึงรอยืนยังไม่เข้าบ้าน

           “คือว่าวันเสาร์นี้พวกผมจัดกลุ่มติวกันน่ะ ถ้าคุณโอโตเมะสนใจจะมาติวด้วยกันไหม ชวนคุณอาโออิมาด้วยก็ได้” 

           ที่แท้ก็จะชวนไปติว จะว่าไปก็ใกล้สอบกลางแล้วซินะ ช่วยกันติวก็น่าจะดีกว่าอ่านคนเดียวละนะ

           “เอาซิ เดี๋ยวฉันลองชวนเซริดู ถ้าไงเดี๋ยวพรุ่งนี้บอกอีกทีนะ” 

           นิโนะมิยะส่งยิ้มการค้าให้ฉันพร้อมพยักหน้า

           “โอเค งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ” 

           “อื้ม เจอกันพรุ่งนี้” 

           ฉันบอกลาอีกรอบแล้วเดินเข้าบ้าน รู้สึกได้ถึงสายตาของนิโนะมิยะจนกระทั่งประตูบ้านปิดลง

           ก่อนนอนเซริวิดีโอคอลมาคุยกับฉัน ปกติเธอจะโทรมา แต่คืนนี้ตั้งใจจะอวดชุดที่จะใส่ไปเดตกับแฟนหนุ่มก็เลยวิดีโอคอลมา

           “จริงซิเซริ เธอจะไปเดตเมื่อไร?” 

           “วันเสาร์นี้ ทำไมหรอ?” 

           ตายแล้ว แบบนี้ฉันก็ต้องไปติวคนเดียวน่ะซิ

           “นิโนะมิมะคุงชวนไปติวหนังสือน่ะ บอกให้ชวนเธอไปด้วย” 

           “เอ๊ะ!! อะไร ยังไง รายงานมาเดี๋ยวนี้เลยนะ” 

           ดูเหมือนคำตอบของฉันจะไปกระตุ้นต่อมอะไรสักอย่างของเซริเข้า หัวข้อสนทนาต่อจากนั้นจึงเปลี่ยนจากเรื่องอวดชุดเดตของเซริ เป็นหัวข้อนิโนะมิยะชวนไปติวแทน

           หลังจากปล่อยให้เซริซักจนพอใจ เธอก็ถามคำถามที่ฉันกำลังคิดอยู่ในหัวราวกับอ่านใจฉันได้

           “เธอจะไปหรือเปล่า?” 

           นั่นน่ะซิ ฉันจะไปดีหรือเปล่า ไม่รู้ว่ามีคนไปติวกันมากขนาดไหน เซริไม่ไป ฉันเองก็ไม่อยากไปนัก

           “เธอไม่ไปฉันก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไร ถึงกลุ่มติวจะดีกว่าอ่านเองคนเดียว แต่ก็ไม่รู้จะมีใครไปนัก คิดว่าไม่ไปดีกว่า” 

           “หรอ แต่ก็น่าเสียดายนะ นิโนะมิยะคุงอุตส่าห์มาชวนเองเลย” 

           เห็นสีหน้าบวกกับน้ำเสียงของเซริแล้ว ฉันรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเธอกำลังแซวฉันอยู่

           “ไม่ต้องมาแซวฉันเลยย่ะ แค่ทุกวันนี้ก็ปวดหัวกับบรรดาแฟนคลับของนิโนะมิยะคุงเหลือเกินแล้ว” 

           “ฮิๆๆ คิดมากน่า คนพวกนั้นก็แค่อิจฉาแค่นั้นแหละ” 

           “เธอลองมาเจอสายตาอาฆาตจากผู้หญิงเกือบครึ่งโรงเรียนแบบฉันดูซิ ถ้าสายตาพวกนั้นฆ่าคนได้ ฉันคงตายวันละไม่ต่ำกว่าร้อยรอบ” 

           “เธอก็เว่อร์ ฮ่าๆๆ” 

           เราหัวเราะกับบทสนทนาไร้สาระพวกนั้น เซริเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในโรงเรียนที่ฉันสามารถพูดคุยด้วยได้อย่างสนิทใจ ถึงจะเพิ่งรู้จักกัน แต่เรากลับสนิทกันเหมือนรู้จักกันมานาน

           “อามายะ ถ้าเธอไม่ชอบ ทำไมเธอไว้เว้นระยะห่างจากนิโนะมิยะคุงล่ะ เธอรู้ใช่ไหมว่าเขาเข้าหาเธอมากกว่าผู้หญิงคนอื่นในห้อง” 

           เซริถามคำถามจริงจังทั้งที่เพิ่งจะคุยไร้สาระกันอยู่แท้ๆ เปลี่ยนอารมณ์ไวจนจะตามไม่ทันแล้ว

           “ฉันรู้ แล้วฉันก็ไม่ได้รังเกียจอะไรนิโนะมิยะคุงด้วย ตอนนี้เขาปฏิบัติกับฉันในฐานะเพื่อนคนนึง ฉันก็เลยไม่ปฏิเสธการเข้าหาของเขา คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่เธอก็รู้นิว่าที่ฉันกับเขาดูสนิทกันเร็วเพราะแค่ช่วงนี้เรามีจังหวะชีวิตตรงกันบ่อยๆ เลยได้เจอได้พูดคุยกันมากเท่านั้น” 

           ฉันตอบเซริไปตามที่คิด เซริจ้องมองฉันผ่านหน้าจอโทรศัพท์เงียบๆ มองด้วยสายตาค้นหาอะไรบางอย่าง

           “ยังไงเธอก็ควรระวังตัวไว้บ้างนะ มีผู้หญิงหลายคนไม่ชอบเธอเพราะเธอไปใกล้ชิดกับนิโนะมิยะคุง ถึงเธอจะไม่ได้คิดอะไรเกินเลย แต่คนอื่นเขาไม่คิดแบบนั้น” 

           เซริเตือนฉันด้วยใบหน้าจริงจัง ฉันยิ้มและขอบคุณเธอที่เป็นห่วง รู้สึกโชคดีที่ได้เป็นเพื่อนกับเธอ

           ฉันคุยกับเซริอีกพักนึงก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน คำเตือนที่เพื่อนสนิทบอกไว้ยังลอยอยู่ในหัว 

           ฉันเข้าใจความหมายของคำเตือนเป็นอย่างดี ความไม่รู้ของคนอื่นอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิด และความเข้าใจผิดก็อาจก่อปัญหาตามมามากมาย เอาแค่แววตาของพวกผู้หญิงเวลาที่มองมาที่ฉันแค่นั้นก็น่าอึดอัดเหลือเกินแล้ว

           ภาพของเด็กหนุ่มคนนึงลอยขึ้นในห้วงภวังค์ หันหน้ามามองฉัน แสงไฟจากหน้าบ้านทำให้เห็นสีหน้าและแววตาของเขาชัดเจน

           – “เธอมีดวงตาที่สวยมากนะ” –

           – “อย่าเที่ยวไปมองใครด้วยสายตาอคติแบบที่เธอกำลังมองฉันอยู่นี่ล่ะ” –

           – “มันเสียของ” –

           ฉันรู้ว่าเขากำลังว่าฉัน เพราะแววตาของเขาที่มองฉันแข็งกร้าว แต่น้ำเสียงเขากลับราบเรียบไร้อารมณ์

           ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้เขาโกรธ ฉันแค่สงสัย สงสัยว่าเขามายืนมองบ้านฉันทำไม

           ฉันไม่ได้ตั้งจะใช้สายตาอคติหรือระแวงอะไรเขา ฉันแค่อยากรู้ อยากรู้ว่าเขาเป็นอะไร ทำไมถึงทำหน้าราวกับจะร้องไห้ ทำท่าทางราวกับจะสลายหายไปได้แบบนั้น

           เราเจอกันสองครั้งแล้ว เขาเป็นคนแรกที่ชมว่าดวงตาของฉันสวย ถึงจะเคยมีคนบอกว่าฉันน่ารัก แต่ไม่เคยมีใครชมดวงตาของฉันมาก่อน และมันทำให้ฉันดีใจ

           แต่เหมือนฉันจะทำให้เขารู้สึกแย่ทุกครั้งเลย

           ตอนนี้ฉันพอเข้าใจความรู้สึกอึดอัดเพราะสายตาไม่เป็นมิตรที่จ้องมาที่ตนเองแล้ว ถ้าเจอกันครั้งหน้าฉันจะคุยกับเขาดีๆ ได้ไหมนะ

                                                                  —

           “อรุณสวัสดิ์เซริ” 

           “อรุณสวัสดิ์อามายะ” 

           ฉันกับเซริทักทายกันหลังเดินเข้าห้องเรียน พอเอากระเป๋าวางแล้วนั่งลง ก็ได้ยินเสียงทักจากข้างๆ

           “อรุณสวัสดิ์คุณโอโตเมะ” 

           นิโนะมิยะนั่นเอง แต่ไม่ได้มาคนเดียว ข้างหลังเขามีเด็กผู้ชายอีกสามคนยืนอยู่

           “อรุณสวัสดิ์ มีอะไรหรอนิโนมิยะคุง?” 

           ฉันถามขณะเงยหน้ามองทั้งสี่คน

           “คุณโอโตเมะกับคุณอาโออิจะมาร่วมกลุ่มติวกับพวกเราวันเสาร์นี้ใช่ไหม?” 

           คนที่ตอบมาไม่ใช่นิโนะมิยะ แต่เป็นเด็กผู้ชายตัวสูง ปลดปล่อยบรรยากาศสงบออกมา ดูเป็นคนสุขุมเยือกเย็น รู้สึกจะมีสาวๆ สนใจเขาไม่น้อย ว่าแต่ชื่ออะไรล่ะเนี่ย อุริว หรือป่าวนะ

           “ขอผ่านจ้ะ ฉันมีเดตกับโยจังของฉันแล้ว” 

           อาโออิบอกปฏิเสธพร้อมเหตุผลที่คงไม่มีใครกล้าขัด 

           “งั้นคุณโอโตเมะล่ะ ติดธุระอะไรหรือเปล่า?” 

           คราวนี้เป็นเด็กหนุ่มอีกคนเป็นคนถาม เป็นคนเดียวกับที่ตีบอลมาโดนหัวฉันเมื่อคราวก่อนชื่ออาซาวะ ฉันจำได้แม่น

           ฉันมองหน้าอาโออิ แล้วหันไปมองนิโนะมิยะ กำลังจะตอบปัดไป แต่เพื่อนอีกคนของนิโนะมิยะพูดแทรกขึ้นมาก่อน

           “คุณโอโตเมะไม่ต้องกังวลหรอก คนที่จะไปติวไม่ได้มีแค่พวกเรา ยังมีพวกผู้หญิงห้องเราอีกสองสามคน แล้วก็ห้อง 12 อีกน่าจะห้าหกคน รวมๆ ก็ราวๆ 12-13 คนได้ พวกผู้ชายจะเน้นให้เรียวติวให้ ส่วนผู้หญิงคุณทาเคโนะอุจิจะช่วยติวน่ะ” 

           พอได้ยินแบบนั้นฉันก็รู้สึกสนใจขึ้นมาอีก หันไปสบตากับเซริ เธอก็แค่ยิ้มๆ กลับมา

           “คนเยอะขนาดนั้น จะไปติวกันที่ไหนหรอ?” 

           ฉันถามพวกนิโนะมิยะ และคนที่ตอบกลับคือคนที่อธิบายสมาชิกกลุ่มติวเมื่อกี้

           “บ้านฉันเอง” 

           “เอ๊ะ?” 

           “บ้านไทจิกว้างมากเลยนะ ห้องรับแขกนี่อยู่กันได้ 20 คนก็ไม่แออัด สบายใจได้” 

           อาซาวะอธิบายเมื่อเห็นฉันทำหน้างง

           “ไปด้วยกันไหม?” 

           นิโนะมิยะถามฉันอีกครั้ง ถึงฉันจะไม่ได้อยากไปขนาดนั้น แต่จะปฏิเสธก็นึกเหตุผลดีๆ ไม่ออก แถมไปกันเยอะคงไม่มีอะไรเลยตอบตกลงไป

           “โอเค งั้นขอแอด RiNE ไปนะ เดี๋ยวจะดึงเข้ากลุ่มน่ะ” 

           อาซาวะจัดการเพิ่มเพื่อนฉันแล้วดึงเข้ากลุ่มติวทันที ฉันมองดูกลุ่มในโทรศัพท์ซึ่งตอนนี้มีอยู่ 11 คน รวมทั้งฉันด้วย

           “ถ้ามีอะไรจะติดต่อในกลุ่มนี้นะ” 

           อาซาวะบอกเพิ่มเติม แล้วทั้งสี่คนก็เดินกลับไป

           “จะไปแน่หรอ?” 

           ฉันหันไปมองเซริที่กำลังนั่งมองมาที่ฉัน

           “อื้ม ไม่เป็นไรหรอก ไปกันหลายคน ไม่น่าจะมีอะไร” 

           แต่ถึงจะตอบไปแบบนั้น ฉันก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาจากกลุ่มเด็กผู้หญิงที่มุมห้อง ซึ่งแม้จะไม่ได้ยินเสียงพูดคุย แต่ก็พอจะเดาบทสนทนาของพวกเธอได้

                                                                  —

           ออดเลิกเรียนดังลากเสียงยาว อาจารย์ที่ปรึกษาบอกให้ทุกคนระวังเรื่องเป็นหวัดเพราะอากาศแปรปวนแล้วออกจากห้องไป

           ฉันเก็บของใส่กระเป๋า เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเซริลุกขึ้นพอดี

           “หืมมม ทำไมวันนี้รีบจัง” 

           ฉันถามเซริเพราะไม่เคยเห็นเธอรีบขนาดนี้

           “วันนี้มีงานพาร์ทไทม์น่ะ ไปนะ พรุ่งนี้เจอกัน” 

           “อ่า เจอกัน” 

           ฉันโบกมือให้เพื่อนสาวแล้วเดินออกจากห้องเรียน นึกสงสัยว่ายัยเซริไปเริ่มทำงานพาร์ทไทม์ตอนไหน ไม่เห็นเคยบอก คืนนี้ต้องเค้นข้อมูลซะหน่อย

           เดินมาเรื่อยๆ จนถึงห้องสภานักเรียน ฉันเคาะประตูก่อนเปิดเข้าไป วันนี้ไม่มีประชุมสภา แต่งานสภานักเรียนนั้นมีไม่หมดจริงๆ

           ฉันช่วยงานประธานและรุ่นพี่คนอื่นๆ จนถึงประมาณห้าโมงเย็น ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับ

           วันนี้อากาศก็ยังคงร้อน หรือว่าจริงๆ แล้วตอนนี้เข้าฤดูร้อนแล้วนะ ทางโรงเรียนจะเปลี่ยนไปใส่เครื่องแบบฤดูร้อนตอนหลังงานเทศกาลดนตรีฤดูร้อนโน่น ขืนยังร้อนแบบนี้มีหวังได้อึดอัดตาย

           ฉันเดินกลับบ้านพร้อมกลับบ่นพึมพำเกี่ยวกับอากาศร้อนไปเรื่อยจนถึงบ้าน

           “กลับมาแล้วค่ะ” 

           ฉันปิดประตูบ้านแล้วก็พบว่ามีรองเท้าอีกสองคู่เพิ่มขึ้น

           “พี่กลับมาแล้ว อีกสองคู่นี่คุ้นๆ แฮะ” 

           ฉันถอดรองเท้าแล้วเดินลากสลิปเปอร์เข้าไปในบ้าน

           “ยินดีต้อนรับกลับจ้ะ” 

           “แม่จริงๆ ด้วย ฮ่าๆๆ” 

           ฉันวิ่งเข้าไปกอดแม่ ที่เดินออกมาจากห้องครัว แม่ลูบหัวฉันเบาๆ พร้อมกับหัวเราะ

           “ลูกสาวฉันลืมฉันไปแล้วซินะ” 

           เสียงของพ่อตัดพ้อลอยมาทางห้องนั่งเล่น ฉันหัวเราะแล้ววิ่งเข้าไปหาพ่อที่กำลังนั่งดูทีวี ฉันกอดคอพ่อจากทางด้านหลังเหมือนสมัยเด็กๆ หอมแก้มไปทีหนึ่ง แล้วแบมือขอค่าขนม

           พ่อบีบจมูกฉันแล้วหัวเราะ

           “ยังจะมีหน้ามาขอเงินอีกนะ” 

           ถึงจะว่าแบบนั้น แต่ก็ยังยัดธนบัตร 2,000 เยนใส่มือฉัน

           “ขอบคุณค่ะ รักพ่อที่สุดเล๊ย” 

           ฉันหอมแก้มพ่ออีกฟอดใหญ่ ทำเอาพ่อหัวเราะชอบใจ

           “อามายะ เอาของไปเก็บ แล้วล้างไม้ล้างมือให้เรียบร้อย มาช่วยพี่จัดโต๊ะหน่อย” 

           เสียงพี่สาวสั่งการมาจากในครัว ฉันตอบ “ค่า..” เสียงยาว แล้ววิ่งไปเก็บของทันที

           “อย่าวิ่งแบบนั้นลูก ระวังๆ หน่อย” 

           ได้ยินเสียงแม่ร้องเตือนจากข้างล่าง แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจนัก

           มื้อค่ำวันนี้เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดนับตั้งแต่ฉันย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ เพราะว่าในที่สุดก็ได้กินข้าวพร้อมหน้าทั้งครอบครัวแล้ว

           แม่บอกว่ามาทำธุระใกล้ๆ เลยแวะมาหา พ่อก็บ่นว่าฉันกับพี่ไม่ยอมกลับบ้านบ้างเลย เป็นห่วงก็เลยมาดู แล้วก็จะมาขอค้างสักสองคืนด้วย

           ได้ยินว่าพ่อแม่จะมาค้าง ฉันก็ยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ ที่จริงฉันจะคอยโทรศัพท์รายงานความเป็นอยู่ของตัวเองเป็นระยะอยู่แล้ว แต่การเจอหน้ากัน ได้พูดคุย ได้กินข้าวร่วมกันแบบนี้ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว

           หลังเก็บล้างจานชามเสร็จ พี่ขอตัวไปอาบน้ำก่อน พ่อ แม่ และฉันนั่งคุยกันในห้องนั่งเล่น

           ฉันเล่าเกี่ยวกับที่โรงเรียนให้ทั้งสองคนฟัง ทั้งเรื่องการเรียน เรื่องที่ได้เข้าไปอยู่ในสภาพนักเรียน แล้วก็เรื่องเพื่อนๆ ที่โรงเรียน

           พ่อกับแม่ฟังที่ฉันเล่าทุกอย่างเหมือนสมัยก่อน แม่ถามเกี่ยวกับเซริและบอกให้ชวนเธอมาบ้านบ้าง แต่พ่อกลับสนใจแต่เพื่อนผู้ชาย ถามอยู่นั่นแหละว่ามีใครมาจีบไหม มีใครมาสารภาพรักรึเปล่า ไม่รู้ว่าหวงลูกสาวหรือกลัวลูกสาวขายไม่ออกกันแน่

           “ม่ายมีค่ะ ไม่มีเลย จะมีก็แค่เพื่อนผู้ชาย ส่วนที่ไม่ใช่เพื่อนก็…” 

           ภาพเด็กหนุ่มที่หลุดยิ้มเมื่อคืนนั่น ลอยขึ้นมาในหัว

           “..ก็ไม่มีค่ะ” 

           พอตอบไปแบบนั้นพ่อก็ถามย้ำมาอีกจนฉันต้องตอบย้ำๆ เพื่อให้ท่านพอใจ ส่วนแม่ก็นั่งมองฉันเถียงกับพ่อแล้วก็อมยิ้มอยู่แบบนั้น เฮ้อ..ไม่ช่วยฉันเลย

           แต่ก็นะ ยังไงฉันก็ชอบบรรยากาศแบบนี้ที่สุดอยู่ดีนั่นแหละ

                                                                  —

           วันนี้ฉันตื่นสายกว่าปกตินิดหน่อย เพราะแม่บอกว่าจะทำข้าวกล่องให้ ฉันจึงไม่ต้องลุกขึ้นมาทำเอง

           พอจัดการกับตัวเองเสร็จเรียบร้อยก็ออกจากห้องตรงไปห้องครัว

           แอบชะเง้อเข้าไปดูก็เห็นแม่ที่สวมผ้ากันเปื้อนกำลังทำมื้อเช้า พ่อนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารกับพี่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์ในแท็บเล็ตส่วนพี่กำลังกินมื้อเช้าอีกเดี๋ยวน่าจะออกไปทำงานแล้ว

           “อรุณสวัสดิ์ค่า…” 

           ฉันทักทายทุกคนและเดินไปหาแม่ แม่หันมายิ้มพร้อมกับส่งจานสองใบมาให้…ฝากไปให้พ่อด้วยนะ

           ฉันรับจานมาแล้วยื่นใบหนึ่งให้พ่อ ในจานของพ่อเป็นขนมปังปิ้งกับไข่แล้วก็แฮม พ่อกินชอบอาหารเช้าแบบนี้พร้อมกาแฟก่อนออกไปทำงาน เป็นภาพที่ฉันเห็นจนชินตา

           ส่วนจานของฉันเป็นแซลมอนย่างราดซอสสูตรพิเศษของแม่ ฉันวางจานบนโต๊ะที่มีเครื่องเคียงวางอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นจึงไปตักข้าว กับซุปมิโสะ แล้วมานั่งกินที่โต๊ะข้างๆ พี่

           “แม่ไม่กินพร้อมกันหรอคะ?” 

           “แม่กินไปก่อนแล้วจ้ะ” 

           แม่หันมาตอบฉันแล้วก็หันไปทำอะไรขลุกขลักในครัวต่อ

           ฉันกินข้าวและเอ้อระเหยอยู่พักนึงจึงออกจากบ้านไปโรงเรียน

           [‘ท้องฟ้าวันนี้ดูอึมครึมแต่เช้าเลยแฮะ จะมีฝนหรือเปล่านะ’] 

           ฉันคิดว่าฝนอาจจะตก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจจะหยิบร่มติดกระเป๋าไป เพราะฝนช่วงนี้ตกไม่นาน หรืออย่างแย่ก็วิ่งลุยฝนกลับบ้าน

           แล้ววันนี้ทั้งวันก็ผ่านไปโดยไม่มีฝนตกจนกระทั่งฉันกำลังจะกลับบ้าน ให้มันได้อย่างนี้ซิน่า

           หันซ้ายหันขวาจะขอยืมร่มใครก็ไม่มีเพื่อนอยู่เลย เซริกลับไปก่อนแล้วเพราะต้องทำงานพิเศษ คนในสภานักเรียนที่ยังอยู่ส่วนใหญ่ก็เป็นรุ่นพี่ที่ยังไม่ค่อยสนิทกัน จะขอยืมร่มก็แปลกๆ งั้นก็รอฝนหยุดก่อนละกัน

           “อยากกลับบ้านเร็วๆ จังเลยน้า แต่ถ้าวิ่งฝ่าฝนไปได้โดนแม่บ่นหูชาแน่ๆ” 

           ยืนพึมพำคนเดียวไปเรื่อย สายฝนเองก็ตกไปเรื่อย เสียงฝนดังเปาะเปะจนกลบเสียงรอบข้างไปหมด

           “ยังไม่กลับหรอคุณโอโตเมะ?”