ตอนที่ 2 เปลี่ยนแฟนเหมือนเปลี่ยนเสื้อ

กบฏไร้เดียงสา

เช้าวันถัดมาเกรเทลลุกขึ้นจากเตียงนอนขึ้นมานั่งพับเพียบ ขอบตาดำคล้ำ เมื่อคืนเธอนอนไม่หลับทั้งคืนนอนกลิ้งไปมาหลายตบหาทางออก ทำไมอยู่ ๆ พี่ชายเธอก็ไม่เห็นด้วยกับการมีแฟน เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงสีหน้าเย็นชาออกมา

 

          …ไม่มีเหตุผล ฟังไม่ขึ้น…

 

          ฮันเซลไม่ใช่คนไร้เหตุผลแถมเป็นคนยุติธรรมสุดในบ้าน ทุกอย่างย่อมมีสาเหตุเธอต้องไปคุยกับเขาให้รู้เรื่อง เมื่อตัดสินใจได้แล้วเธอจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อรีบไปคุยกับพี่ชายก่อนที่เขาจะออกไปทำงาน ภายในเวลาแค่ 10 นาทีทุกอย่างก็เรียบร้อย

          ร่างบางกระชากประตูห้องนอนตนเองแล้วรีบก้าวลงบันไดไปหาพี่ชาย ซึ่งเป็นจังหวะพอดีที่ขณะนี้เขากำลังออกไปทางประตูบ้าน

          “พี่ฮันเซล! พี่หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ”

          ร่างสูงได้ยินเสียงตะโกน ไม่จำเป็นต้องหันหลังกลับไปมองก็รู้แล้วว่าเป็นใคร เขาก้าวเดินอย่างมั่นคงไปที่รถยนต์เพื่อขับไปทำงานเหมือนทุกเช้า

          “หนูบอกว่าให้หยุดไงพี่! หูพี่ตึงเหรอ”

          จะว่าเขาเอาแต่ใจก็ใช่ แค่ไม่พร้อมจะคุยกับเธอในตอนนี้เท่านั้นเอง เขาถอนหายใจเมื่อไอตัวแสบวิ่งมาประชิดถึงตัวแล้วดักทางข้างหน้าเขามิด

          อืม…ก็แค่เกือบมิดน่ะนะ

          มือเล็กคว้าประตูรถไว้มั่น กลัวว่าคนสูงกว่าเปิดแล้วขึ้นรถออกไปโดยที่เธอยังไม่ได้เคลียร์ปัญหาในใจ

          “พี่สนใจหนูด้วยสิ นี่น้องสาวพี่นะฮันเซล มาคุยกันให้รู้เรื่องเลยว่าทำไมพี่ถึงพูดแบบนั้นออกมา?”

          ชายหนุ่มยืนมองหน้าน้องสาวนิ่ง มือขวาล้วงกระเป๋ากางเกงนับเม็ดลูกประคำอย่างเงียบ ๆ ซึ่งเกรเทลไม่มีทางรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

          “จะไม่พูดไรหน่อยเหรอ หนูรู้ว่าพี่มีเหตุผลมากพอที่จะพูดแบบนั้น”

          “พี่ไม่มีเหตุผลไรทั้งนั้น หลบด้วยพี่กำลังจะไปทำงานสายแล้วเกรเทล”

          มือหนาหยุดนับลูกประคำในกระเป๋ากางเกง แล้วชักมือออกมาเพื่อดันตัวเธอออกไปให้พ้นจากประตูรถ ย้ายตัวเองขึ้นไปนั่งที่เบาะคนขับ

          “อะไรเนี่ยพี่ฮันอย่ามาไร้สาระนะ”

 

          ปัง!

 

          เขาไม่สนใจเธอ แถมยังมาปิดประตูอัดใส่หน้าเธอเป็นรอบที่สองถัดจากเมื่อคืนนี้ เหตุการณ์ครั้งแรกยังพอทน แต่เหตุการณ์ครั้งที่สองมันเสียหน้า

          ชายหนุ่มเหลือบมองน้องที่ยืนด่าเขาเสียงดังลั่น ยังดีกระจกรถเขาหนาเลยได้ยินเสียงแบบอู้อี้แต่มั่นใจว่าแม่คุณคงยกโขยงคำด่ามาทุกแบบ โชคดีที่เขาตัดสินใจล็อคประตูรถทันทีที่ขึ้นมานั่ง ไม่งั้นมีหวังเธอกระชากประตูลากหัวเขาลงไปเป็นแน่

          ร่างสูงส่ายหัวให้กับความดื้อรั้นของเกรเทล เมื่อร่างบางทำไรไม่ได้นอกจากด่าเขาและตีกระจกอยู่ข้างคนขับ

          “ไอ้พี่ฮัน!”

          จนกระทั่งสตาร์ทรถขับออกไป ต่อให้เธอวิ่งตามไปเขาก็ไม่มีทางหยุดรถลงมาคุย

 

          …ทำไมต้องวิ่งให้เหนื่อยเสียแรง ไม่ได้โง่ขนาดนั้น…

 

          ร่างบางยืนตีนเปล่าเท้าเอวมองรถจี๊ปของพี่ชายขับออกไปไกลจากรั้วบ้าน รู้สึกหงุดหงิดพอสมควรกับท่าทางอีกฝ่ายที่ไม่แยแสจะคุย แม้ว่าอารมณ์จะคุกกรุ่นไปบ้างไม่นานเธอก็ปรับอารมณ์ให้กลับเป็นปกติ เธอโตพอที่จะเลิกสนใจเรื่องจุกจิกพวกนี้ เขาไม่อยากบอกในตอนนี้ก็ช่างมันสู้กลับไปนั่งคิดหาทางออกเถอะ ว่าแล้วก็ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกหาเพื่อนสนิททันที

 

 

          ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านมาถึงร้านกาแฟ เกรเทลยืนชะเง้อมองหาเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวอย่างเฮลก้า ไม่นานเธอก็มองเห็นเพื่อนสนิทที่นั่งหลบมุมอยู่คนเดียวข้างบ่อน้ำพุ

          เฮลก้ามีรูปร่างที่สูง ผมสีบลอนด์ทองธรรมชาติที่แม้แต่เกรเทลยังอิจฉา หน้าตาโฉบเฉียว ดุดัน พ่อเป็นคนเยอรมันส่วนแม่เป็นคนอเมริกา

          สมัยเรียนเฮลก้าชอบการคิดคำนวณมากฝันอยากไปทำงานพวกวิศวะ แต่ไม่รู้อะไรดลใจแม่คุณถึงเปลี่ยนใจไปสมัครเข้าเป็นทหารเฉย ปัจจุบันได้ประจำการทำงานที่กรมทหารเรือ ไต่เต้าจนอยู่ระดับสูงได้ด้วยความสามารถ เนื่องจากความที่หัวไวและสร้างผลงานดีเด่นเลยได้เลื่อนขั้นเป็นถึงผู้การทั้งที่อายุยังไม่ถึง 25 ปี

          ร่างบางดูจากเครื่องแต่งกายของเพื่อนแล้วคงเพิ่งออกมาจากกรมแน่นอน ถึงยังสวมเครื่องแบบเต็มยศสะขนาดนี้

          “นี่ทำไมไม่เปลี่ยนชุดก่อนออกมาเฮลก้า ไม่ร้อนเหรอ”

          คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เงยหน้าขึ้นมาจากมือถือที่ตนกำลังกดคุยงาน

          “ขี้เกียจเปลี่ยนน่ะ อีกอย่างเรื่องเธอสำคัญกว่าเรื่องชุดฉันนะ ไหนเล่ามาเลยไหงกลายเป็นแบบนี้ไปได้”

          ร่างบางนั่งลงบนเก้าอี้ของร้านกาแฟทั้งในหัวก็เรียบเรียงคำพูดเล็กน้อย ระหว่างนั้นเพื่อนเธอก็จิบชาร้อนฟังไปด้วยอย่างใจเย็น

          เวลาผ่านไปได้ประมาณเกือบสิบนาทีเกรเทลก็เข้าเรื่องราวทั้งหมด เจ้าหล่อนเล่าละเอียดยิบชนิดไม่ต้องยกมือถาม

          “แล้วแกคิดจะทำไงต่อไป ได้คิดไว้บ้างไหมยัยเกรย์?”

          “คิดนะ ฉันไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกกับการมีแฟน เพราะพวกเรารู้จักกันแค่สามวัน เขาก็ขอฉันคบเป็นแฟนทันที เพิ่งคบกันได้แค่อาทิตย์เดียวเองตอนนี้”

          “อืม” เฮลก้าขานรับ

          “ถ้าจะให้เลิกก็ทำได้ แต่แค่รู้สึกไม่แฟร์น่ะ มีอย่างที่ไหนมาบอกให้เลิกคบทั้งที่ยังไม่ทันได้รู้จัก ถ้านิสัยแย่เจ้าชู้หรือเลวก็ว่าไปอย่าง”

          เด็กสาวนั่งขมวดคิ้วแทบจะผูกกันเป็นโบว์ จนเพื่อนสนิทต้องเอื้อมมือข้ามมาเพื่อคลึงระหว่างคิ้วให้ เพื่อนเธอมันยังไม่ทันได้ไปฉีดโบท็อกซ์สักเข็มกลัวเหลือเกินว่ามันจะย่นเป็นรอยตีนกาไปเสียก่อน

          “แกก็ว่าไป อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นเว้ย บางทีอาจจะดีก็ได้ แกโสดบ้างเถอะ หัดทำตัวให้ชิล ทำตัวให้ว่างบ้างค่ะสาว”

          ขนาดเฮลก้าก็ขึ้นชื่อเรื่องเปลี่ยนแฟนทุกเดือนยังปวดหัวกับเพื่อนตัวเองเลย หัดเลือกบ้างไม่ใช่เห็นใครก็ควงหมด

          “ไม่ใช่สรรหาแฟนใหม่ได้ทุกอาทิตย์ ขนาดฉันที่ว่ามีหนุ่มมาแจกขนมจีบทุกวันในกรมยังเลือกเลย แกก็หัดเลือกให้มันดี ๆ สักคนเถอะนะ”

          เฮลก้าพูดด้วยความเป็นห่วงเพื่อนตนเอง กลัวว่าสักวันจะแจ๊กพอตแตกเจอกับพวกนักต้มตุ๋นเข้า แม้เพื่อนเธอจะเอาตัวรอดได้แต่มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้ตลอดรอดฝั่งเสียหน่อย

          “เฮ้อ…เอาจริง ๆ นะฮีล ฉันก็ไม่ได้อยากมีหรอกแฟน”

          “อ้าว แล้วที่มีอยู่เนี่ยคือไม่ได้อยากมี? อะไรของแกกันแน่วะ”

          ร่างบางยกมือนวดขมับไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้เพื่อนสนิทเข้าใจตน

          “หรือว่าแกประชดพ่อเหรอเกรเทล?”

          “เออตามนั้นแหละ”