ตอนที่ 4 หนิวโหย่วเต้า

หลัวหยวนกงใช้สองมือรับเอาป้ายคำสั่งเจ้าสำนักมา แสดงความเคารพนอบน้อมอย่างที่ควรจะมีออกไป แต่ในตอนที่กลับมายืนอยู่ที่เดิมกลับมองไปทางถังซู่ซู่และซูพั่วพลางถอนใจออกมา

ทำอะไรไม่ได้ ถังมู่ในเวลานี้ไม่หวั่นเกรงต่อความกดดันใดๆ ต่อให้ร่วมมือกับศิษย์ทั้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คัดค้านเขาก็ไม่มีประโยชน์ การกำหนดตัวผู้สืบทอดเจ้าสำนักคืออำนาจที่กฎสำนักมอบให้แก่เจ้าสำนัก ถังมู่ตัดสินใจออกมาแบบนี้ก่อนตาย แล้วใครจะไปเอาชนะเขาได้?

“ทุกคนจำเอาไว้ให้ดี หลังข้าตายไปแล้ว อย่าให้โลกภายนอกรู้เรื่องนี้ มิฉะนั้นจะเกิดหายนะกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้!” ถังมู่กล่าวสั่งเสียอีกครั้งต่อหน้าทุกคน

ทุกคนสบตากัน ไม่รู้หมายความว่าอย่างไร? สายตาของผู้อาวุโสทั้งสามคนประสานกันเล็กน้อย ต่างมองเห็นความกังวลใจอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย คล้ายรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง?

จากนั้นครู่หนึ่ง ศิษย์สายในคนอื่นๆ พากันแยกย้ายออกไป ภายในโถงเหลือเพียงผู้อาวุโสสามคน แล้วก็ยังมีถังอี๋กับเว่ยตัว

ในเวลานี้ผู้อาวุโสหลัวหยวนกงถึงได้เอ่ยถามเสียงเบาขึ้นมา “เจ้าสำนัก ท่านกับตงกัวเฮ่าหรานพาศิษย์ของตัวเองออกไปจากสำนัก ตอนนี้ท่านบาดเจ็บกลับมาเช่นนี้ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ใครเป็นคนทำร้ายท่าน?”

ถังมู่ยังคงอดทนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าเหนื่อยแล้ว ถ้าท่านมีคำถามอะไร รอให้ศิษย์น้องกลับมารับตำแหน่งเจ้าสำนัก ท่านค่อยถามเขาก็แล้วกัน”

ถังซู่ซู่กล่าวด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก “ช่วงนี้ด้านนอกมีข่าวลือ บอกว่าคันฉ่องแห่งซางปรากฏขึ้นมาในใต้หล้าอีกครั้ง หรือว่าเจ้าสำนักกับตงกัวเฮ่าหรานไปชิงคันฉ่องแห่งซางกับคนอื่น ถึงได้กลายเป็นแบบนี้?”

เมื่อเอ่ยถึง ‘คันฉ่องแห่งซาง’ ขึ้นมา สีหน้าของทุกคนที่อยู่ในโถงก็เปลี่ยนไป สายตาจับจ้องดูปฏิกิริยาของถังมู่

นั่นเป็นเพราะประวัติความเป็นมาของ ‘คันฉ่องแห่งซาง’ นั้นไม่ธรรมดาอย่างมาก แม้นปัจจุบันใต้หล้าจะประกอบไปด้วยเจ็ดแคว้น ทว่าแท้จริงแล้วทั้งเจ็ดแคว้นก็ล้วนแต่เติบโตมาจากการเป็นรัฐศักดินาของแคว้นอู่ ในอดีตซางซ่งที่เดิมทีเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งโลกบำเพ็ญเพียรใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีมาทั้งชีวิต ภายหลังไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ เขาถึงเกิดความคิดที่จะเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเรื่องราวบนโลก พยายามทำทุกวิถีทางที่จะรวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง จากนั้นสถาปนาแคว้นอู่ขึ้นมา แต่งตั้งตัวเองเป็นฮ่องเต้ของแคว้นอู่ สยบผู้บำเพ็ญเพียรในใต้หล้าเอาไว้ภายใต้การปกครองของตัวเอง โดยอ้างคำพูดที่ฟังดูดีว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการแก่งแย่งชิงดีกันระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรกับคนธรรมดา ภายหลังซางซ่งแสวงหาชีวิตอมตะ จึงได้ทำผิดต่อปณิธานที่ตั้งเอาไว้แต่แรก เขาเจาะรูบนท้องฟ้าขึ้นมารูหนึ่ง ทำให้พลังวิญญาณจำนวนมหาศาลไหลทะลักเข้ามาจากด้านนอก โลกบำเพ็ญเพียรจึงรุ่งโรจน์ขึ้นมา ฮองเฮาหลีเกอแห่งแคว้นอู่ผู้เป็นภรรยาของซางซ่งไม่ลืมปณิธานที่ตั้งเอาไว้ในตอนแรก ด้วยเหตุนี้นางจึงทำการซ่อมรูรั่วบนท้องฟ้า ผลสุดท้ายไม่รู้ว่าสองสามีภรรยาหายตัวไปที่ใด

หลังสองสามีภรรยาหายตัวไป รัฐศักดินาจำนวนหลายร้อยรัฐก็ไม่มีใครที่จะมาสะกดพวกเขาเอาไว้ได้อีก เจ้าผู้ปกครองรัฐเริ่มทำการสู้รบกัน ความวุ่นวายยังคงดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้

ว่ากันว่าซางซ่งได้สร้างอาวุธวิเศษขึ้นมาชุดหนึ่ง มีทั้งหมดแปดชิ้น การเจาะรูและการอุดรูรั่วบนท้องฟ้าของซางซ่งและหลีเกอล้วนแต่อาศัยอาวุธวิเศษเหล่านี้ เมื่อแคว้นอู่ล่มสลาย อาวุธวิเศษทั้งแปดกระจัดกระจายออกไปในโลกภายนอก หมุนเวียนไปมาระหว่างรัฐศักดินาต่างๆ เมื่อแคว้นเล็กๆ ถูกกลืนกินไปเรื่อยๆ สุดท้ายใต้หล้าก็ถูกแบ่งออกเป็นแปดแคว้นใหญ่ อาวุธวิเศษทั้งแปดชิ้นเองถูกแคว้นทั้งแปดแบ่งกันครอบครอง ถูกแต่ละแคว้นยกย่องให้เป็นของวิเศษประจำแคว้น และ ‘คันฉ่องแห่งซาง’ ก็คือของวิเศษประจำแคว้นที่อยู่ในมือแคว้นฉิน ว่ากันว่า ‘คันฉ่องแห่งซาง’ คือสิ่งที่ช่วยเพิ่มพลังให้แก่อาวุธวิเศษที่ใช้เจาะรูบนท้องฟ้าและอุดรูบนท้องฟ้า เป็นอาวุธวิเศษที่สำคัญที่สุดในบรรดาอาวุธวิเศษทั้งแปด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทำให้แคว้นฉินถูกทำลาย ขณะที่ราชวงศ์ฉินกำลังพังทลาย ‘คันฉ่องแห่งซาง’ กลับหายสาบสูญไป กลุ่มอำนาจต่างๆ เที่ยวตามหามัน ทว่าก็หาได้พบร่องรอยของมันไม่

แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ก็คือในตอนที่ฮองเฮาหลีเกอแห่งแคว้นอู่ทำให้อุดรูรั่วบนท้องฟ้า ว่ากันว่านางไม่ได้ทำการอุดรอยรั่วจนหมด หากแต่ยังมีรอยรั่วหลงเหลืออยู่ ด้วยเหตุนี้จึงมีคนคิดว่านี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรในใต้หล้ามีจำนวนเยอะเกินไป เมื่อผู้บำเพ็ญเพียรมีจำนวนมากก็ทำให้เกิดการแก่งแย่งชิงกับคนธรรมดาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ พวกเขาคิดว่าการที่ผู้บำเพ็ญเพียรสอดมือเข้ามายุ่งกับเรื่องราวบนโลกนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้ใต้หล้าเกิดความวุ่นวายไม่หยุด ดังนั้นจึงมีคนคิดจะรวบรวมอาวุธวิเศษทั้งแปดชิ้นมาอุดรอยรั่วทั้งหมดบนท้องฟ้า เพื่อตัดขาดแหล่งกำเนิดพลังวิญญาณ การกระทำเช่นนี้ย่อมต้องทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรในใต้หล้าเกิดความไม่พอใจ หนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วผู้เป็นสมุหพระกลาโหมแห่งแคว้นเยี่ยนก็คือตัวแทนของคนกลุ่มนี้

แต่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์กลับมีศิษย์ไม่รักดีที่แอบไปคบหากับหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋ว อาทิเช่นตงกัวเฮ่าหราน

ช่วงนี้จู่ๆ โลกภายนอกก็มีข่าวลือว่า ‘คันฉ่องแห่งซาง’ ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นถังมู่กับตงกัวเฮ่าหรานก็ยังพาศิษย์ออกไปข้างนอกในเวลานี้ ไม่รู้ไปทำอะไรถึงได้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จึงเป็นไปได้ยากที่จะไม่ให้พวกเขาสงสัยว่าการเดินทางออกไปจากสำนักครั้งนี้ของทั้งสองคนมีความเกี่ยวข้องกับคันฉ่องแห่งซาง

เบื้องหลังของแคว้นแคว้นหนึ่งมีสำนักบำเพ็ญเพียรอยู่มากน้อยเท่าไร? ส่วนคันฉ่องแห่งซางกลับเป็นสิ่งที่สามารถนำหายนะมาสู่แคว้นได้ เช่นนั้นหากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เข้าไปข้องเกี่ยวกับเจ้าสิ่งสิ่งนี้ล่ะก็ แล้วจะไม่ให้คนอื่นๆ ในสำนักเป็นกังวลได้อย่างไร? สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มิใช่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่เคยอยู่ในยุครุ่งเรืองเมื่อในอดีตแล้ว ความแข็งแกร่งลดน้อยถอยลง ไม่สามารถทนรับสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนั้นได้อีก

ถังมู่ค่อยๆ หลับตา “พวกท่านคิดมากไปแล้ว ข้าก็แค่ถูกคนลึกลับลอบโจมตีเท่านั้น”

หลายคนมองออกว่าถังมู่ไม่คิดที่จะพูดความจริงออกมา ตัวเขาในตอนนี้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะล้มลงทุกเมื่อ ไม่มีใครบีบให้เขาพูดได้…

……..

รุ่งเช้าวันถัดมา ประตูวัดแง้มเปิดออก ดวงตาข้างหนึ่งมองลอดออกมาจากช่องประตู

ประตูค่อยๆ เปิดออก ศีรษะของเต้าเหยี่ยชะโงกออกมามองซ้ายแลขวา

ประตูเปิดกว้างขึ้นอีก เต้าเหยี่ยค่อยๆ ยื่นเท้าพร้อมกับเบี่ยงตัวออกมา เดินด้วยปลายเท้าอย่างแผ่วเบา ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ คอยสังเกตดูความเคลื่อนไหวทางด้านนอก ก่อนจะออกมาเดินวนรอบวัด ใบหูเงี่ยฟังเสียง ดวงตาเปิดกว้าง สอดส่องมองดูรอบด้านอย่างระมัดระวัง

คล้ายอยู่ในช่วงกลางฤดูหนาว ด้านนอกอากาศหนาวเย็น ต้นไม้ใบหญ้าแห้งเหลือง

เขาโยนหินหยั่งเชิงไปทั่วทุกที่ แต่ก็ไม่มีตอบสนองใดๆ หลังพบว่าคล้ายจะไม่มีอันตรายอะไรแล้วจริงๆ เต้าเหยี่ยที่ยืนอยู่บนเนินด้านนอกวัดถึงได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา ร่างกายที่โค้งงอด้วยความระแวดระวังเหมือนอย่างแมวยืดตรงขึ้น ก่อนจะหยิบเอาคันฉ่องที่ถูกขัดเป็นมันวาวจนกระทั่งสามารถสะท้อนให้เห็นใบหน้าได้บานนั้นออกมาจากในหน้าอก ส่องซ้ายแลขวาดูใบหน้าตัวเองพลางถอนใจ

เต้าเหยี่ยยัดคันฉ่องกลับเข้าไปในหน้าอก มองเห็นลำธารสายเล็กที่อยู่ตรงตีนเขา จึงวิ่งลงมาจากเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงริมลำธาร เต้าเหยี่ยกระโดดขึ้นไปบนก้อนหินที่อยู่กลางลำธารที่ไหลเอื่อย มองดูเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่บนน้ำในลำธาร “เฮ้อ!” เขาถอนใจออกมาอีกครั้งหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในวัด เขาหยิบยืมแสงสว่างจากด้านนอกมาส่องดูคันฉ่อง ทำการสรุปสถานการณ์ของตนเองในปัจจุบัน จึงพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดชายชราผู้นั้นถึงเรียกเขาว่าพ่อหนุ่ม ที่ชายชราเรียกเขาว่าพ่อหนุ่มนั้นไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย เขาพบว่าตัวเองกลายเป็นเด็กหนุ่มอายุน้อยดั่งว่าจริงๆ

เต้าเหยี่ยค่อยๆ นั่งยองลงบนก้อนหิน มองดูเงาของตัวเองในลำธารที่ใสกระจ่างอยู่ครู่หนึ่ง ท้องส่งเสียงร้อง ‘โครกๆ’ ออกมาด้วยความหิวโหย

ไม่ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับตนเอง แต่ความรู้สึกหิวโหยกลับเป็นตัวเขาที่กำลังทนแบกรับ เขาลุกขึ้นกวาดตามองไปรอบด้าน คิดหาวิธีหาของกิน

เขามองเห็นสถานที่หนึ่งที่อยู่อีกด้านของภูเขาคล้ายมีควันลอยขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ จึงกระโดดข้ามลำธาร พบเส้นทางที่คล้ายจะตรงไปทางด้านนั้น จึงค่อยๆ เดินไปด้วยความระแวดระวัง

เต้าเหยี่ยที่เดินข้ามเขามาหลบอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งพลางสำรวจมองดู ก่อนจะมองเห็นหมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่ง

หมู่บ้านแห่งนี้ดูค่อนข้างวุ่นวาย คล้ายเคยถูกไฟไหม้มา มีเด็กและผู้หญิงจำนวนไม่น้อยส่งเสียงร่ำไห้ เหล่าชาวบ้านกำลังเก็บกวาดหมู่บ้านที่อยู่ในสภาพเละเทะ

เต้าเหยี่ยมองดูการแต่งกายของตนเอง หัวแม้เท้าที่โผล่ออกมาจากรูขาดบนรองเท้าปอที่เต็มไปด้วยคราบสกปรกกระดิกเล็กน้อย สภาพน่าอนาถจนยากจะทนมองดูได้ ทว่ามันกลับเข้ากับการแต่งกายของเหล่าชาวบ้านในหมู่บ้าน แล้วก็ทำให้เขามีความมั่นใจที่จะเผยหน้าเดินออกไป เดินตรงไปยังหมู่บ้านแห่งนั้นด้วยความหวั่นเกรงอยู่หลายส่วน

ขณะที่เพิ่งจะเข้าไปในหมู่บ้าน เขาก็ได้พบกับหญิงสาวที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา ร่ำไห้สะอึกสะอื้นพลางกอดเขาเอาไว้ “พี่เต้า ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือนี่ นึกว่าท่านถูกทหารชั่วพวกนั้นฆ่าตายไปแล้วเสียอีก…”

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม เต้าเหยี่ยก็ทราบเรื่องที่หมู่บ้านนี้ถูกทหารแตกทัพบุกเข้ามาปล้นเมื่อวานนี้ มีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนหนึ่ง ที่เขาไปปรากฏตัวอยู่ในวัดร้างแห่งนั้นก็น่าจะเป็นเพราะไปหลบทหารอยู่ที่นั่น

ควันไฟจากในครัวดับลง เหล่าชายหนุ่มภายในหมู่บ้านที่ยังกินไม่อิ่มท้องเริ่มเข้าไปในภูเขาเพื่อหาอาหาร หน้าที่หลักๆ แล้วก็คือการไปขุดหาพืชหัวและล่าสัตว์มาให้ชาวบ้านได้เก็บเอาไว้กินประทังชีวิตในช่วงฤดูหนาว ส่วนพวกธัญพืชที่อยู่ภายในหมู่บ้านได้ถูกทหารชั่วปล้นเอาไปจนหมด อาหารที่พวกชายหนุ่มกินไปเมื่อครู่นี้เป็นอาหารที่ครอบครัวหนึ่งได้เก็บซ่อนเอาไว้ จึงไม่ถูกทหารชั่วพบเข้า อาหารเพียงเท่านี้ไม่เพียงพอให้ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านได้ยังชีพ อาหารที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยในตอนนี้จึงต้องเอาให้พวกผู้ชายที่ต้องใช้แรงทำงานได้กินกัน ส่วนพวกเด็กเล็ก ผู้หญิงและคนแก่ก็จำเป็นต้องหิ้วท้องที่หิวโหยเก็บกวาดหมู่บ้านที่อยู่ในสภาพวุ่นวายต่อไปก่อน รอให้พวกผู้ชายไปหาอาหารมาจากในภูเขา

เต้าเหยี่ยเองก็กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มผู้ชายที่ออกไปหาอาหารอย่างงุนงง จากเด็กหนุ่มเองก็กลายเป็นผู้ชาย

ตอนนี้เขาไม่ได้ชื่อเต้าเหยี่ย ชื่อเดิมของเขาในหมู่บ้านแห่งนี้คือหนิวโหย่วเต้า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคชะตาหรืออย่างไร ชื่อนี้มันถึงได้คล้องของกับชื่อ ‘เต้าเหยี่ย’ ของเขาพอดี

หนิวโหย่วเต้าก็หนิวโหย่วเต้า เต้าเหยี่ยกลับมิได้ใส่ใจอะไร เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงกลายมาเป็นหนิวโหย่วเต้าได้

สำหรับเรื่องประหลาดแบบนี้ แม้นเขาจะรู้สึกประหลาดใจ แต่กลับไม่ได้รู้สึกยอมรับได้ยากอะไร เขาที่เป็นคนเติบโตมาจากการเป็นนักโบราณคดี ได้เห็นเรื่องราวเบื้องหลังของคนตายมามากมาย เรื่องที่แปลกประหลาดเองก็ได้พบเห็นอยู่บ่อยครั้ง เรื่องวิญญาณเข้ามาสิงอยู่ในร่างแบบนี้ ในบันทึกโบราณต่างๆ ก็มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย คนอื่นอาจจะมองว่าเป็นเรื่องงมงาย แต่เขากลับมีความคิดว่าถ้าคุณเชื่อว่ามันมี มันก็มี ถ้าคุณเชื่อว่ามันไม่มี มันก็ไม่มี หลังแน่ใจในสถานการณ์ของตัวเองแล้ว สภาพจิตใจของเขาก็ดีขึ้น สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างใจเย็น

อย่างไรเสียที่นี่เขาก็ไม่ถือว่าเป็นคนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า หากแต่มีตัวตนที่สมเหตุสมผล ตัวเต้าเหยี่ยเองก็ตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชื่อหนิวโหย่วเต้าเลยก็แล้วกัน

การหาอาหารในละแวกใกล้ๆ มอบหมายให้เหล่าเด็กหนุ่ม ส่วนการออกไปล่าสัตว์ในระยะไกลที่ค่อนข้างอันตรายนั้นเป็นหน้าที่ของพวกผู้ใหญ่

หนิวโหย่วเต้าที่แสร้งทำเป็นหาอาหารวิ่งกลับมายังวัดร้างเพียงลำพัง

ผ้าขาดๆ ที่ห้อยอยู่ในวัดผืนหนึ่งถูกเขาดึงลงมาห่อหุ้มศพของชายชราเอาไว้ จากนั้นแบกลงมาจากเขา มายังริมแม่น้ำที่ชายชราเคยพูดถึง

เขาเดินมุดเข้าไปในป่าไผ่ เหวี่ยงมีดผ่าฟืนตัดไม้ไผ่ลงมาจำนวนหนึ่ง เล็มเอากิ่งและใบออก ตัดให้มีขนาดสั้นยาวเท่ากัน ก่อนจะหาเอาสิ่งที่ดูเหมือนเถาวัลย์แห้งๆ มาแช่น้ำ ทำเป็นแพไม้ไผ่สามชั้นที่ค่อนข้างแข็งแรงขึ้นมาแพหนึ่ง ดูกว้างขวางแข็งแรง ด้วยประสบการณ์ของเขาแล้ว การทำแพไม้ไผ่นั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย

กระบอกไม้ไผ่รองไว้ด้านล่าง ทำหน้าที่เป็นล้อเลื่อน แพไม้ไผ่ที่ทำเสร็จแล้วถูกเข็นลงไปในน้ำ ศพของชายชราถูกวางลงไป แล้วก็ยังหาฟืนแห้งๆ มาวางกองขึ้นไปอีกกองหนึ่ง นอกจากนี้ยังหาหินแบนเรียบก้อนใหญ่จากริมแม่น้ำมาวางไว้บนแพไม้ไผ่อีกก้อนหนึ่ง

ไม้พายที่ทำขึ้นมาอย่างง่ายๆ อันหนึ่ง ถ่อไม่ไผ่แท่งหนึ่ง แล้วก็จอบที่นำออกมาจากในหมู่บ้านถูกโยนขึ้นไปบนแพไม้ไผ่ด้วยกัน

มีดตัดเถาวัลย์ที่ผูกแพเอาไว้ ไม้ถ่อยันชายฝั่ง แพไม้ไผ่พาคนลอยออกจากฝั่ง

เต้าเหยี่ยถ่อแพไม้ไผ่ อาศัยกระแสน้ำลอยไป ล่องไปอย่างช้าๆ ตามลำน้ำ

ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงไม่อยู่ช่วยซ่อมแซมหมู่บ้านกับเหล่าชาวบ้าน เหตุผลแรกก็คือเขาไม่มีความรู้สึกผูกพันอะไรกับชาวบ้านเหล่านี้ และชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในภูเขาเหล่านี้ก็ไม่มีความรู้อะไร เขาแสร้งทำเป็นถามไปหลายคำถาม ผลปรากฏว่าชาวบ้านเหล่านั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานการณ์ภายนอกเป็นอย่างไรบ้าง เขาไม่อยากอยู่ในที่แบบนี้ หากแต่รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในโลกของที่นี่ แล้วก็ยิ่งรู้สึกสงสัยใคร่รู้ว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่ตงกัวเฮ่าหรานที่มีกำลังภายในลึกล้ำจนน่าตกตะลึงผู้นั้นพูดถึงเป็นอย่างไร ตอนที่เขายังเป็นเต้าเหยี่ย เขาก็รู้สึกชื่นชอบเรื่องการบำเพ็ญเพียรแบบนี้อยู่แล้ว เขามักจะไปตามหาบันทึกโบราณพวกนี้ในสุสานโบราณอยู่บ่อยๆ ภายในใจจึงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไปเปิดหูเปิดตาที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เสียหน่อย

เหตุผลต่อมาคือที่นี่มักจะมีพวกทหารบุกมาปล้นอยู่บ่อยๆ ครอบครัวของร่างเด็กหนุ่มที่ตัวเองมาอาศัยอยู่ผู้นี้ถูกทหารชั่วเหล่านั้นสังหารไปหมดแล้ว ภายในหมู่บ้านก็มีคนที่ตกอยู่ในสภาพแบบเขาอยู่ไม่น้อย เขาตัวคนเดียว จึงออกมาได้โดยไม่ต้องเป็นกังวลอะไร

อีกทั้งเขาก็ไม่อยากรั้งอยู่ที่นี่นานนัก อาศัยตอนที่ตนเองยังไม่สนิทสนมกับคนในหมู่บ้านรีบออกมาจะดีกว่า หากรั้งอยู่นานไปจนเกิดความผูกพันกับคนในหมู่บ้านแล้วมันจะออกมาได้ลำบาก

บุญคุณข้าวหนึ่งมื้อ ภายหน้ามีโอกาสตนย่อมตอบแทน แม้นจะยังไม่ถึงครึ่งท้องเลยก็ตาม

และที่เขาเอาศพของตงหัวเฮ่าหรานมาด้วยก็เพราะคิดว่าหากนำเอาหลักฐานไปที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ด้วยก็จะดูน่าเชื่อถือหน่อย แล้วก็ดูมีความจริงใจด้วยหรือเปล่า?

ที่นี่อากาศหนาวเย็น เขาคิดว่าน่าจะพอรักษาสภาพศพเอาไว้ได้ พาไปด้วยไม่เป็นปัญหาอะไร

……………………………………………………