ตอนที่ 5 ฉลาดตัดสินใจ
แพไม้ไผ่ลอยออกจากแม่น้ำสายเล็ก ไหลเข้าสู่แม่น้ำสายใหญ่ หนิวโหย่วเต้าเก็บถ่อไม้ไผ่ ปล่อยให้แพไม้ไผ่ไหลไปตามคลื่น ดูแล้วคงจะไปยังทิศทางที่ตงกัวเฮ่าหรานว่าเอาไว้ก่อนตาย คนใกล้ตายไม่มีเหตุผลต้องหลอกเขา ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก
หนิวโหย่วเต้านั่งอยู่บนแพไม้ไผ่ ใช้มีดผ่าฟืนฝานไม้ไผ่ออกมาเป็นซี่เล็กๆ จำนวนหนึ่ง ก่อนจะหยิบเอาฟืนแห้งที่เตรียมไว้ล่วงหน้ามานิดหน่อย ใช้ตะบันไฟจุดไฟกองเล็กๆ ขึ้นมาบนก้อนหินที่แบนเรียบกองหนึ่ง ทำการเผาซี่ไม้ไผ่เพื่อขับเอาน้ำในไม้ไผ่ออกมา จนกระทั่งได้ความเหนียวเพียงพอแล้ว จึงทำการตัดซี่ไม้ไผ่ออกเป็นท่อนเล็กๆ จากนั้นหยิบเอาเชือกปอที่เตรียมไว้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านก่อนหน้านี้ออกมาพลางใช้มือดึงดู มั่นใจว่าความเหนียวน่าจะเพียงพอ จึงนำเอาไม้ไผ่ท่อนเล็กๆ ที่ตัดเอาไว้มามัดไปบนเชือกปอโดยทิ้งระยะห่างเป็นช่วงๆ โดยตำแหน่งของเชือกปออยู่ตรงกึ่งกลางของซี่ไม้ไผ่
จากนั้นเขาหยิบเอาฟางข้าวออกมาจากในหน้าอกเส้นหนึ่ง ตัดแบ่งเป็นท่อนเล็กๆ ทำการดัดซี่ไม้ไผ่ที่มีความเหนียวมากพอให้โค้งงอก่อนจะพันปลายทั้งสองข้างเข้าไว้ด้วยกัน ใช้ฟางข้าวท่อนเล็กๆ มัดปลายของซี่ไม้ไผ่เอาไว้ ทำให้ซี่ไม้ไผ่ไม่อาจดีดตัวกลับได้ มือล้วงเข้าไปในรูเสื้อที่ขาด หยิบเอาเมล็ดข้าวสาลีออกมากำเล็กๆ นี่เป็นข้าวสาลีที่เขาเก็บขึ้นมาทีละเม็ดๆ จากบนพื้นโคลนในหมู่บ้าน น่าจะเป็นพวกทหารชั่วทำตกไว้ในตอนที่เข้ามาปล้นเสบียง เขาเอาเมล็ดข้าวสาลีเม็ดหนึ่งยัดเข้าไปในรูของฟางข้าวที่มัดปลายทั้งสองด้านของซี่ไม้ไผ่เอาไว้ ก่อนจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งบนเชือกปอมีกับดักง่ายๆ เช่นนี้อยู่สิบกว่าอัน
จากนั้นปล่อยเชือกปอลงน้ำ ปลายด้านหนึ่งมัดไว้บนแพไม้ไผ่ ส่วนที่เหลือปล่อยให้เป็นลิขิตสวรรค์ หนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่ได้สนใจมัน เขาตัดกระบอกไม้ไผ่เอามาตักน้ำในแม่น้ำ ค่อยๆ ดื่มน้ำเข้าไปในปาก อมเอาไว้ในปากสักครู่ให้น้ำมีความอุ่นก่อนจะกลืนลงไปในท้อง นั่งผิงไฟอยู่บนแพไม้ไผ่ ชื่นชมทิวทัศน์ริมสองฝั่งของแม่น้ำ ภายในสายตาเผยให้เห็นถึงความสงสัยใคร่รู้ที่มีต่อโลกนี้
แล้วก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จู่ๆ เขาพลันรู้สึกว่าแพไม้ไผ่ที่นั่งอยู่มีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย คล้ายมีอะไรบางอย่างกำลังออกแรงดึงอยู่ใต้น้ำ สีหน้าแสดงความยินดีออกมา แรงดึงยังคงถูกส่งมาอย่างต่อเนื่อง แต่เขากลับนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว จากนั้นไม่นานความเคลื่อนไหวก็หยุดนิ่งลง
เชือกปอที่อยู่ด้านหลังแพไม้ไผ่ถูกดึงกลับมา ไม่นานก็เห็นปลาที่หนักประมาณสองสามจิน[1]ตัวหนึ่งถูกลากขึ้นมาจากน้ำ เหงือกปลาทั้งสองด้านได้ถูกซี่ไม้ไผ่ที่ดีดตัวออกแทงจนเปิดออก เพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่นานแต่ปลาตัวนี้ก็อยู่ในสภาพใกล้ตายแล้ว อย่าได้ดูแคลนกับดักจับปลาอันเล็กๆ ที่ดูเรียบง่ายอันนี้ เหงือกปลานั้นเป็นระบบการหายใจใต้น้ำของปลา เมื่อการหายใจเกิดการติดขัด ต่อให้ปลาที่ใช้ชีวิตอยู่ใต้น้ำก็ยังจมน้ำตายได้ ซี่ไม้ไผ่นี้มีความยืดหยุ่น ปลาไม่สามารถดิ้นหลุดออกไปได้ ยิ่งเมื่อขาดออกซิเจนจึงทำให้มันหมดแรงไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ติดกับแล้วก็ยากจะหนีรอดไปได้ กลับเป็นปลาที่ถูกตกด้วยเบ็ดตกปลาที่ยังสามารถดิ้นไปดิ้นมาอยู่ในน้ำได้เป็นเวลานาน
แต่แน่นอนว่ากับดักนี้ก็มีจุดอ่อนเช่นเดียวกัน นั่นคือมันยากที่จะใช้จับปลาใหญ่ได้
ช่วยไม่ได้ ในหมู่บ้านยากจน ไม่มีอาหารให้เขาพกติดตัวมาได้ เขาจึงได้แต่ต้องเอาของเล็กๆ น้อยๆ มาปรับใช้ไปตามสถานการณ์เพื่อหาอาหารให้ตัวเองอิ่มท้องระหว่างทาง
เขาแกะปลาออกมาจากกับดัก ก่อนจะมัดฟางข้าวท่อนเล็กๆ พร้อมกับใส่เหยื่อเข้าไปใหม่แล้ววางลงไปในน้ำอีกครั้ง เมล็ดข้าวสาลีเมล็ดอื่นๆ แช่น้ำจนพองตัวแล้ว เขาคิดว่าโอกาสที่จะล่อปลามาได้มีเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เขาเก็บปลาที่กำลังใกล้ตายขึ้นมา หยิบเอามีดสั้นมาผ่าท้องปลาแล้วล้างทำความสะอาดในแม่น้ำ ก่อไฟขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เอาไม้เสียบตัวปลาแล้วเอาขึ้นไปย่างด้วยท่าทีมีความสุข ในเมื่อสามารถจับปลาได้ เห็นทีสภาพแวดล้อมทางนิเวศวิทยาของที่นี่จะค่อนข้างดีทีเดียว เขาเตรียมที่จะกินดื่มขับถ่ายอยู่บนแพไม้ไผ่นี้ ได้ยินว่าแถบนี้มีการสู้รบวุ่นวาย ดูแล้วการอยู่บนแพไม้ไผ่จะปลอดภัยกว่า
ปลาเพิ่งย่างสุก หนิวโหย่วเต้าที่จับปลาร้อนๆ ด้วยสองมือเพิ่งจะกัดเข้าไปได้ไม่กี่คำ ด้านล่างแพไม้ไผ่ก็มีความเคลื่อนไหวขึ้นมาอีกครั้ง หนิวโหย่วเต้ารู้สึกดีใจ
แต่ในเวลาเดียวกันนี้เอง บนฝั่งที่อยู่ห่างออกไปก็ได้มีรถม้าคันหนึ่งกำลังวิ่งมาด้วยความเร็ว ด้านหลังมีคนขี่ม้ากลุ่มหนึ่งไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ไล่ตามทัน ทหารม้าที่ไล่ตามขึ้นมาจากทั้งสองด้านยกคันธนูกระหน่ำยิงเข้าไปในรถม้า เสียงกรีดร้องดังลอยออกมา รถม้าถูกบังคับให้หยุดอย่างรวดเร็ว
ในตอนที่แพไม้ไผ่เคลื่อนผ่าน หนิวโหย่วเต้าที่กำลังค่อยๆ กินปลาย่างมองเห็นทหารม้าโยนศพสองสามศพลงมาจากในรถม้า มีคนคนหนึ่งคล้ายยังไม่ตาย กำลังคุกเข่าร้องขอชีวิต แม่ทัพคนหนึ่งควบม้าเข้ามาใกล้ มือที่ถือหอกแทงออกไปจนคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นล้มตายลงไป
การฆ่าคนในเวลากลางวันแสกๆ เช่นนี้ สำหรับหนิวโหย่วเต้าที่เคยผ่านการใช้ชีวิตในอีกโลกหนึ่งมาแล้วถือว่าป่าเถื่อนเกินไปหน่อย ที่สำคัญที่สุดคือจากสิ่งที่เขาได้เห็นได้ฟังมาจากในหมู่บ้านก่อนหน้านี้ ทำให้เขามีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อทหารกลุ่มนี้ เกิดความอคติตั้งแต่แรกพบ แต่เขาก็ทำได้เพียงมองดูอยู่เฉยๆ เท่านั้น
แม่ทัพที่ดึงหอกกลับมาก็สังเกตเห็นหนิวโหย่วเต้าเช่นเดียวกัน จึงรู้สึกแปลกใจ ย่างปลาบนแพไม้ไผ่อย่างนั้นหรือ?
หนิวโหย่วเต้าเองก็พบว่าทหารกลุ่มนี้สังเกตเห็นตนเองแล้ว จึงแสร้งทำเป็นชาวบ้านธรรมดาที่กำลังง่วนอยู่กับงานของตัวเอง ดึงเอาเชือกปอขึ้นมาจากด้านหลังแพ ก่อนจะจับปลาขึ้นมาได้อีกตัวหนึ่ง
ภายในดวงตาของแม่ทัพผู้นั้นมีความรู้สึกสนใจปรากฏขึ้นมาให้เห็น เขากล่าวกับลูกน้องที่อยู่ข้างๆ ว่า “กลางฤดูหนาว อีกทั้งเสื้อผ้าเก่าขาด ทว่ากลับมีวิธีทำให้ตัวเองอิ่มท้อง เด็กหนุ่มผู้นี้ฉลาดเฉลียว รู้จักปรับตัวไปตามสถานการณ์ หากได้รับการสั่งสอนอาจจะกลายเป็นคนที่มีความสามารถก็เป็นได้” เสียงที่พูดเป็นเสียงของผู้หญิง
ลูกน้องเข้าใจความหมายของผู้เป็นนาย นี่คือการบอกให้เขาจับเด็กหนุ่มผู้นั้นมาเป็นทหาร จึงหันไปตะโกนเรียกหนิวโหย่วเต้าที่อยู่บนแพไม้ไผ่ทันที ด้วยคิดที่จะหลอกหนิวโหย่วเต้าเข้ามา “เจ้าหนูคนนั้นน่ะ รีบขึ้นฝั่งเร็ว มีเรื่องอยากจะถามเจ้าหน่อย”
หนิวโหย่วเต้าไหนเลยจะกล้าเข้าฝั่ง จึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เช็ดมือไปบนเสื้อผ้าเล็กน้อย ก่อนจะดึงปลาย่างที่เสียบอยู่บนแพไม้ไผ่ขึ้นมา ก้มหน้าก้มตากินปลาของตัวเองต่อ ให้ความรู้สึกคล้ายคนหูหนวก
ปัก! ลูกธนูดอกหนึ่งปักลงบนแพไม้ไผ่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า ตัวลูกธนูสั่นไหวเล็กน้อย เกือบทำให้หนิวโหย่วเต้าตกใจ นี่ถ้ายิงเอียงไปอีกนิดหนึ่งจะเป็นอย่างไร?
เขาเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว พบว่าเป็นแม่ทัพที่ถือหอกสังหารคนก่อนหน้านี้ผู้นั้น
อีกฝ่ายนั่งอยู่บนหลังม้า ถือคันธนูชี้มาพลางตะโกนว่า “เจ้าหนู มานี่!”
เสียงสดใสดังชัด ถือได้ว่าไพเราะ เวลานี้หนิวโหย่วเต้าถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นแม่ทัพหญิง เพียงแต่เป็นเพราะชุดเกราะเปรอะเปื้อนฝุ่นดิน จึงทำให้มองไม่ออกว่าเป็นผู้หญิง เขารู้สึกโมโหขึ้นมาทันที ชูนิ้วกลางไปทางอีกฝ่ายพร้อมกับตะโกนว่า “ไอชั่ว!”
แม้นแม่ทัพหญิงจะมองไม่ออกว่านิ้วกลางที่เขาชูขึ้นมามันหมายความว่าอย่างไร แต่ก็พอคาดเดาได้จากคำด่าของอีกฝ่ายว่าสัญลักษณ์มืออันนี้จะต้องมิใช่กำลังชมตัวเองอย่างแน่นอน ชาวบ้านธรรมดาๆ กลับกล้าด่าเจ้าหน้าที่ทหารต่อหน้า ใจกล้าไม่เบา น่าสนใจจริงๆ ด้วย จึงแค่นหัวเราะออกมาเล็กน้อย
ลูกน้องของนางสิบกว่าคนง้างคันธนูขึ้นมาทันที เล็งไปทางหนิวโหย่วเต้า
“เวรแล้ว!” หนิวโหย่วเต้าร้องตะโกน เขาลืมไปได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายมีธนู รู้อย่างนี้ไม่น่าไปด่าให้อีกฝ่ายโกรธเลย จึงพลิกตัว กระโดดลงไปในแม่น้ำ
เสียง ‘ปักๆๆๆ’ ดังติดๆ กัน ลูกธนูสิบกว่าดอกปักลงบนตำแหน่งที่หนิวโหย่วเต้านั่งอยู่เมื่อครู่นี้ สะเก็ดไฟปลิวว่อน ฟืนที่กำลังลุกไหม้อยู่บนก้อนหินถูกลูกธนูยิงใหญ่จนกระเด็นกระดอน
แม่ทัพหญิงร้อง ‘เอ๋’ ภายในดวงตายิ่งเผยให้เห็นถึงความรู้สึกชื่นชม พบว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดา การตอบสนองรวดเร็ว หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปเกรงว่าคงตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูก แต่สิ่งแรกที่เด็กหนุ่มผู้นี้ทำกลับเป็นการหลบหลีกอันตรายก่อน จึงมั่นใจว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นคนที่มีความสามารถจริงอย่างที่คิดเอาไว้ ความรู้สึกที่อยากจะได้เขามาอยู่ในกองทัพของตัวเองก็ยิ่งมีมากขึ้น
นางยกมือห้ามลูกน้องที่กำลังใส่ลูกธนูเตรียมยิงออกไปอีกครั้ง มองดูแม่น้ำด้วยสีหน้าหยอกล้อ นำทหารเดินตามแพไม้ไผ่ที่ลอยไปตามแม่น้ำ
หนิวโหย่วเต้ายื่นมือขึ้นมาจากในแม่น้ำเกาะขอบแพไม้ไผ่ ก่อนจะโผล่ศีรษะขึ้นมามอง ถึงได้พบว่ากองฟืนแห้งที่กองอยู่บนแพไม้ไผ่ได้ติดไฟขึ้นมาแล้ว จึงรีบวักน้ำขึ้นมาดับเปลวไฟที่เพิ่งจะลุกไหม้ขึ้นมา หากแพไม้ไผ่ถูกไฟเผาไปล่ะก็ ด้วยร่างกายของตัวเขาในตอนนี้คงไม่สามารถนำเอาศพเดินทางไปยังสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้โดยไม่ใช้พาหนะ
เขามองเห็นกองทหารของอีกฝ่ายเดินตามอยู่บนฝั่งอย่างไม่เร่งร้อน เห็นได้ชัดว่าจับตามองเขาอยู่ หนิวโหย่วเต้าเกาะแพไม้ไผ่เอาไว้ เท้าตีขาอยู่ในน้ำ ดึงเอาแพไม้ไผ่ไปเข้าฝั่งอีกด้านหนึ่ง
แม่ทัพหญิงดึงเอาลูกธนูออกมาจากในซองธนูดอกหนึ่ง ใส่ขึ้นคันธนูพร้อมดึงสาย ยิงออกไปดังฟิ้ว
หนิวโหย่วเต้าเหลียวหน้ามองตามเงาลูกธนูที่พุ่งผ่านไป ก่อนจะเห็นลูกธนูปักไปบนต้นไม้คดงอที่อยู่บนฝั่งต้นหนึ่ง มุมปากกระตุกขึ้นมา แม่น้ำกว้างอย่างน้อยหกสิบเจ็ดสิบเมตร แต่กลับสามารถยิงถูกต้นไม้ที่ไม่ถือว่าใหญ่บนฝั่งตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย ความหมายของอีกฝ่ายชัดเจนเป็นอย่างมาก นี่คือการแสดงฝีมือยิงธนู แล้วก็เป็นการเตือนเขาว่าหากกล้าขึ้นฝั่ง นางสามารถยิงเขาให้ล้มลงได้ ดังนั้นอย่าคิดหนี
หนิวโหย่วเต้านั้นมีความคิดที่จะหนีขึ้นฝั่งจริงดั่งว่า หากจนหนทางจริงๆ เขาก็จะปล่อยตงกัวเฮ่าหรานให้ลอยตามน้ำไป ส่วนตัวเขาก็วิ่งหนีขึ้นฝั่งตรงข้าม มิใช่ว่าเขาแล้งน้ำใจ หากแต่เป็นเพราะในน้ำหนาวเย็นเกินไป หากแช่อยู่ในน้ำนานอาจจะต้องทิ้งชีวิตน้อยๆ ของเขาไปก็เป็นได้
มุมปากแม่ทัพหญิงมีรอยยิ้มหยอกเย้า คล้ายกำลังบอกว่าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะแช่อยู่ในน้ำได้นานเท่าไร นางนำทหารลดความเร็วลง จับตามองหนิวโหย่วเต้าเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นยังสั่งให้ทหารทิ้งระยะห่างระหว่างกัน คอยเฝ้าแม่น้ำเป็นทางยาว เพื่อป้องกันไม่ให้เขาดำน้ำหนีไป
หลังทนอยู่ครู่หนึ่ง ฟันของหนิวโหย่วเต้าก็หนาวเย็นจนเริ่มสั่นขึ้นมา สุดท้ายทนไม่ไหว จึงตะโกนว่า “นายพลผู้นั้นน่ะ ข้ากับท่านไม่มีความแค้นต่อกัน ไยต้องใช้ความตายมาบีบคั้นกันด้วย?”
แม่ทัพหญิงเหลียวหน้ากลับมา “ไม่มีความแค้นต่อกัน? แล้วเมื่อครู่ด่าใครไอชั่ว?”
“…..” หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตะโกนขึ้นมาอีกครั้งว่า “ท่านอย่าคิดเล็กคิดน้อยได้ไหม?”
แม่ทัพหญิงตอบทันทีว่า “ไม่ได้!”
หนิวโหย่วเต้ากล่าว “ต้องทำอย่างไรท่านถึงจะยอมปล่อยข้า?”
แม่ทัพหญิงกล่าว “ง่ายมาก รับใช้อยู่ในกองทัพของข้าเพื่อไถ่โทษ เป็นทหารของข้า!”
ไร้เหตุผลแบบนี้ ขืนไปฉันไม่ถูกเธอทรมานจนตายหรอกเหรอ? หนิวโหย่วเต้าบ่นอยู่ในใจ เขาเองก็ไม่กล้าเชื่ออีกฝ่าย สงสัยว่าอีกฝ่ายคิดอยากจะหลอกเขาขึ้นไปฆ่า ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีเหตุผล เขาเองก็ไม่มีอะไรต้องเกรงใจเช่นกัน จึงตะโกนเสียงดังกลับไปว่า “เป็นทหารของท่านมันไม่สนุก เป็นผู้ชายของท่านดีไหม?”
แม่ทัพหญิงแค่นหัวเราะพลางกล่าว “เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ยังกล้าปากแข็งอีกนะ ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะแช่อยู่ในนั้นได้นานเท่าไร!” ลูกธนูดอกหนึ่งประทับขึ้นไปบนคันธนู ทำท่าพร้อมยิง
หนิวโหย่วเต้าสูดหายใจ ดำลงไปในน้ำ จับเถาวัลย์ที่มัดอยู่ใต้แพไม้ไผ่เอาไว้ หลบอยู่ใต้แพไม้ไผ่พลางเดินอยู่ใต้น้ำ
จากนั้นรออยู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นความเคลื่อนไหวจึงค่อยๆ โผล่หน้าขึ้นมาอีกครั้ง แต่ผลปรากฏว่าพอโผล่หน้าขึ้นมา อีกฝ่ายก็ทำท่าง้างคันธนู บีบให้เขาต้องลงไปในน้ำอีกครั้ง
หลังเป็นแบบนี้อยู่สามสี่ครั้ง ในที่สุดหนิวโหย่วเต้าก็เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายต้องการจะแกล้งเขา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่กล้าที่จะไม่หลบ หากอีกฝ่ายยิงใส่เขาขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร? ตอนนี้เขารู้สึกสงสัยในคำพูดของตงกัวเฮ่าหรานขึ้นมานิดหน่อย ไหนบอกว่ายันต์คุ้มกายนั้นสามารถปกป้องเขาให้ปลอดภัยได้ไง ทำไมถึงไม่เห็นแสดงพลังอะไรออกมาเลย
เขาจำต้องขยับตัวไปหลบตรงตำแหน่งที่ฟืนแห้งวางกองกันอยู่ ด้านล่างกองฟืนคือศพของตงกัวเฮ่าหราน ตอนนี้เขาไม่มีเวลามานั่งสนใจแล้วว่าลูกธนูจะยิงมาถูกศพของอีกฝ่ายหรือไม่
โชคดีที่ฟ้าไม่มีทางบีบคนให้จนตรอก ขณะที่เขากำลังคิดหาทางพาตนเองออกไปจากสถานการณ์นี้ ริมฝั่งแม่น้ำเบื้องหน้าก็ได้มีสภาพภูมิประเทศที่สลับซับซ้อนปรากฏขึ้นมา ม้ายากที่จะเดินเข้าใกล้ริมแม่น้ำได้อีก กระแสน้ำเริ่มคดเคี้ยวเปลี่ยนทิศทาง ไกลออกไปมีเงาภูเขาที่ใหญ่โตปรากฏขึ้นมา กระแสน้ำคล้ายจะไหลผ่านแถบภูเขาตรงนั้น ความเร็วของกระแสน้ำก็คล้ายจะเร็วขึ้นไม่น้อยด้วยเช่นกัน
นายทหารติดตามผู้หนึ่งควบม้าเข้ามากล่าวอะไรกับแม่ทัพหญิงอยู่ครู่หนึ่ง แม่ทัพหญิงมองดูภูมิประเทศที่อยู่ด้านหน้า หลังครุ่นคิดเล็กน้อยก็หยิบเอาป้ายชื่อออกมาอันหนึ่ง มัดไว้บนลูกธนู ก่อนจะง้างธนูยิงออกไป ลูกธนูปักลงบนแพไม้ไผ่ จากนั้นกล่าวตะโกนเสียงดังว่า “เจ้าหนู ฟังให้ดี วันนี้เห็นแก่ที่เจ้าเล่นสนุกเป็นเพื่อนข้า ข้าจะให้คำแนะนำเจ้า! ด้านนอกมีสงครามวุ่นวาย ใช้ชีวิตยากลำบาก หากเจ้าคิดได้แล้ว ก็ให้เอาป้ายชื่อนี้มายังที่ว่าการจังหวัดกว่างอี้ จากนั้นเจ้าก็จะเจอข้าเอง เรื่องอื่นข้าไม่กล้ารับปาก แต่เรื่องเสื้อผ้าและอาหารรับรองได้ว่าไม่มีปัญหา ไม่แน่เจ้ายังอาจจะมีหน้าที่การงานที่ดีด้วยก็ได้ ฉลาดตัดสินใจหน่อยล่ะ!” กล่าวจบก็ดึงบังเหียนม้าวกกลับ นำกลุ่มทหารห้อตะบึงออกไปอย่างรวดเร็ว
……………………………………………………….
[1] จิน มาตรวัดน้ำหนักของจีน โดยหนึ่งจินเท่ากับครึ่งกิโลกรัม