บทที่ 3 พยัคฆ์หลากสี

“ทั้งหมดนี้เป็นข้าแกะสลักด้วยตนเอง แต่พวกมันก็หาใช่หยกเนื้อดี ราคาเพียงสิบตำลึงเงินเท่านั้น”

หลี่จิ่วเต้าเอ่ย

“อันใดนะเจ้าคะ!?”

สิบตำลึงเงิน?

ใบหน้าของเซี่ยเหยียนแปลกพิลึก นางคิดด้วยซ้ำว่าตนเองได้ยินผิดไป!

หลี่จิ่วเต้าอับจนคำพูด ‘เป็นองค์หญิงจากชนเผ่าหรือไงกัน? สิบตำลึงเงินยังหาไม่ได้เนี่ยนะ?’

“ช่างเถิด หาได้ยากนักที่จะได้พานพบกับผู้บรรเลงกู่ฉินเช่นกัน เช่นนั้น จี้หยกสองชิ้นนี้ข้าขอมอบให้เป็นไมตรี”

ทักษะแกะสลักของหลี่จิ่วเต้าไปถึง ‘ขั้นเทวะ’ แล้ว อีกทั้งยังสามารถแกะสลักพวกมันได้โดยง่าย ด้วยเหตุนี้ หากจะมอบให้อีกฝ่ายก็นับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด…

“ให้…ให้พวกข้าสองชิ้นเลยหรือเจ้าคะ?”

เซี่ยเหยียนตื่นเต้นเสียจนพูดติดอ่าง

ต่อให้ขนย้ายท้องพระคลังราชวงศ์เซี่ยทั้งหมดมา พวกเขาก็ไม่อาจซื้อสมบัติเช่นนี้ได้ หลี่จิ่วเต้าเอ่ยชัดเจนว่าจะมอบให้สองชิ้น นางไม่อยากจะเชื่อหู ทั้งยังสงสัยด้วยซ้ำว่าตัวนางกำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่!

“องค์หญิงเพคะ เป็นอันใดไปเพคะ?”

เสี่ยวหลานรู้สึกอับอาย ‘แค่จี้หยกราคาสิบตำลึงเงิน เหตุใดองค์หญิงจึงได้มีทีท่าตื่นเต้นเช่นนี้กัน? ราวกับเด็กน้อยไม่เคยเห็นโลกอย่างไรอย่างนั้น!’

ของอย่างเงินนั้นถือว่ามีประโยชน์ในโลกมนุษย์ แต่สำหรับผู้ฝึกตนอย่างพวกเขา มันนับว่าไร้ประโยชน์นัก

เพราะนางสามารถใช้เงินหลายหมื่นตำลึงแลกกับของอะไรก็ได้ของมนุษย์

ทว่าเซี่ยเหยียนเมินเสี่ยวหลานโดยสิ้นเชิง

นี่เพราะขอบเขตของเสี่ยวหลานยังต่ำอยู่ นางจึงไม่อาจสัมผัสถึงสิ่งใดได้ กระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจี้หยกนั้นเป็นสมบัติอย่างแท้จริง

“ให้ข้าจริง ๆ หรือเจ้าคะ”

นางถามหลี่จิ่วเต้าอีกครั้ง

‘เป็นองค์หญิงจากหมู่บ้านชายขอบจริง ๆ ด้วย!’

‘ไม่เช่นนั้นด้วยฐานะขององค์หญิง นางจะจนถึงเพียงนี้ได้อย่างไร!’

หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้มก่อนจะเอ่ยว่า “หยิบอันที่ชอบไปสองชิ้น คิดเสียว่าเป็นไมตรีจากข้าก็พอ”

“ขอบคุณเจ้าค่ะ ขอบคุณเจ้าค่ะ!”

เซี่ยเหยียนรีบขอบคุณผู้อาวุโสตรงหน้า หยาดน้ำตาแห่งความตื่นตันแทบจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ

นางเลือกจี้หยกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหยิบจี้หยกวิหคสวรรค์ออกมา แล้วขอบคุณหลี่จิ่วเต้าอีกครั้ง

“พวกเราจนขนาดนั้นเลยหรือเพคะองค์หญิง?”

เสี่ยวหลานอยากจะร้องไห้ทว่ากลับไร้ซึ่งน้ำตาไหลออกมา

อาณาจักรเซี่ยนั้นทรงอำนาจและเจริญรุ่งเรือง มีพื้นที่ในปกครองมากกว่าสองแสนลี้ ดูแลผู้คนมากกว่าสิบล้านชีวิต และมีผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนภายในอาณาจักร ด้วยฐานะองค์หญิงของเซี่ยเหยียน นางจะยินยอมให้ผู้อื่นมอบสิ่งของราคาสิบตำลึงเงินแก่ตนได้อย่างไร?

“งี่เง่าเสียจริง เจ้ามีเงินติดตัวมาหรือไร? เหตุใดจึงไม่รีบเลือกจี้หยกให้ไว แล้วขอบคุณผู้อาวุโสเล่า!”

เซี่ยเหยียนเกลียดการไม่ตีเหล็กตอนร้อน*[1] นี่เป็นโอกาสดีงามโดยแท้ ทว่าเสี่ยวหลานกลับยังทำตัวเช่นนี้ได้

“ข้าลืมนำเงินออกมาด้วยก็จริง…”

เสี่ยวหลานเกาหัวอย่างงุนงง เงินนับเป็นสิ่งไร้ประโยชน์สำหรับพวกเขา ด้วยเหตุนี้แล้วนางจึงไม่เคยคิดถึงเรื่องการนำเงินออกมาด้วยเลย

“หยุดจู้จี้ รีบเลือกชิ้นที่ชอบเสียที”

เซี่ยเหลียนรีบดันหลังอีกฝ่าย

“จี้หยกแกะในมือของข้างดงามนัก ข้าเลือกชิ้นนี้ก็แล้วกัน”

“ดี”

เซี่ยเหยียนพยักหน้าและพาเสี่ยวหลานไปขอบคุณหลี่จิ่วเต้า

ก่อนจะบอกลาหลี่จิ่วเต้าในที่สุด

อันที่จริงนางต้องการอยู่ที่นี่ต่อ เพราะยังอยากถามบางสิ่งกับหลี่จิ่วเต้าอยู่

ทว่าเมื่อเสี่ยวหลานอยู่ที่นี่ด้วย นางก็ไม่อาจบอกเสี่ยวหลานได้ชัดเจนนัก ซ้ำยังกลัวว่าเสี่ยวหลานจะทำอะไรไม่ดีและทำให้ผู้อาวุโสของนางขุ่นเคืองเข้า

“ผู้อาวุโส ข้ามาที่นี่อีกได้หรือไม่เจ้าคะ”

นางถามอย่างประหม่า

“ได้สิ มาได้เมื่อต้องการเลย”

“ขอบคุณเจ้าค่ะผู้อาวุโส!”

เซี่ยเหยียนออกจากร้านพร้อมเสี่ยวหลานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

และเมื่อออกห่างจากร้านแล้ว นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“องค์หญิง เกิดอันใดขึ้นกับท่านกันแน่เพคะ”

เสี่ยวหลานเอ่ยถาม การกระทำขององค์หญิงนั้นแปลกมาก

เซี่ยเหยียนกลับมามีท่าทีสง่างาม นางมองไปยังเสี่ยวหลานแล้วตอบว่า “เสี่ยวหลาน จี้หยกในมือเจ้าควรเก็บไว้ให้ดี และไม่ควรแสดงให้ผู้ใดเห็นได้โดยง่าย มันคือสมบัติล้ำค่า ซ้ำยังมีค่ามากกว่าตราแผ่นดินหยกที่สืบทอดกันมาในอาณาจักรเซี่ยของเราเสียอีก!”

“ว่าอันใดนะเพคะ!”

เสี่ยวหลานถึงกับผงะไป สิ่งที่ขายในราคาสิบตำลึงเงินนั้น แท้จริงแล้วกลับมีค่ามากขนาดนี้เชียวหรือ?

เซี่ยเหยียนหันไปมองทิศทางร้านของหลี่จิ่วเต้าแล้วเอ่ยต่อ “พวกเราเพิ่งจะได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต คนผู้นั้นก็คือผู้อาวุโสที่ทรงพลังอย่างคาดไม่ถึงอย่างไรเล่า!”

“ดันเสียจี้หยกไปสองชิ้นก่อนจะเปิดร้านซะได้ นี่มันลางไม่ดีชัด ๆ วันนี้ข้าไม่ควรเปิดร้านเลยจริง ๆ”

หลี่จิ่วเต้าถูจมูกตัวเอง มือปิดประตูร้านแล้วเดินตรงไปยังลานเล็ก ๆ ด้านหลัง เขาหยิบธนูคันใหญ่ขึ้นมาสะพายไว้ ก่อนจะเดินออกจากประตูลานด้านหลังไป

ด้านหน้าเป็นร้านที่หลี่จิ่วเต้าไว้ขายของ ส่วนด้านหลังคือลานบ้านเล็ก ๆ ที่เขาใช้พักอาศัย

ธนูใหญ่คันนั้นเป็นรางวัลที่ได้รับมาจากระบบ หลังจากทักษะธนูของเขาขึ้นไปถึง ‘ขั้นเทวะ’

“ล่าสัตว์กันดีกว่า!”

ชายหนุ่มออกจากเมืองชิงซานไปพร้อมธนูบนหลัง ตรงมายังเนินเขาที่อยู่ใกล้ชิงซาน

บนเนินเขาเขียวนั้นมีสัตว์อสูรอาศัยอยู่มากมาย ด้วยเหตุผลนี้พรานป่าหลาย ๆ คนจึงมักจะมาล่าสัตว์ ณ ที่แห่งนี้

อนึ่ง เพราะระบบทักษะของหลี่จิ่วเต้ามีศาสตร์แห่งธนู เขาจึงมักมาล่าสัตว์ที่นี่ด้วยเช่นกัน

“พี่เต้ามาแล้ว!”

“ฮ่า ๆ เรื่องการยิงธนู พี่เต้าไม่เป็นสองรองใคร ไม่ว่าเหยื่อจะแข็งแกร่งเพียงใดก็หนีลูกศรในมือพี่เต้าไม่พ้น!”

เมื่อพรานป่าในชิงซานเห็นหลี่จิ่วเต้ามา พวกเขาต่างตื่นเต้นและทักทายหลี่จิ่วเต้ากันอย่างพร้อมเพรียง

หลี่จิ่วเต้าเป็นที่รู้จักของใครหลาย ๆ คน เช่นนั้นทุกครั้งที่ชายหนุ่มขึ้นเขามา ก็มักได้รับการต้อนรับเป็นพิเศษ

ขณะเดียวกันหลี่จิ่วเต้าเองก็โอบอ้อมอารีต่อทุกคน และทุกครั้งที่ล่าได้ เขาจะแบ่งปันสิ่งที่ได้มาให้กับผู้อื่นเป็นจำนวนมากเสมอ

ด้วยเหตุนี้เอง เหล่าพรานป่าย่อมดีใจที่ได้เจอหลี่จิ่วเต้าเป็นธรรมดา เพราะมันหมายความว่าวันนี้พวกเขาจะได้เหยื่อมากเป็นพิเศษ

หลี่จิ่วเต้าทักทายเหล่าพรานป่าด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงเดินเข้าไปในเนินเขาเขียวพร้อมกับธนูคันใหญ่บนหลัง

เสือลายเมฆฝีเท้าว่องไว มันกระโดดตัดผ่านเนินเขาและพงไพร รวดเร็วดั่งสายลม ก่อนจะหายวับไปชั่วพริบตา!

ทว่าหลี่จิ่วเต้านั้นรวดเร็วยิ่งกว่า

หลังจากเห็นเสือลายเมฆ เขาก็รีบหยิบธนูคันใหญ่ออกมาจากหลัง ขึ้นศรอันคมกริบ ย่อตัวลงเล็กน้อยแล้วยิงลูกศรออกไป จากนั้นบังเกิดเสียง ‘ฟิ้ว’ กรีดอากาศ ปักเข้ากลางหัวใจของเสือลายเมฆอย่างจัง!

เสือลายเมฆร่วงลงบนพื้นเสียงดังและตายคาที่เช่นนั้น

“เนื้อเสือดาวรสชาติไม่ค่อยอร่อยนัก ปล่อยให้พรานป่าคนอื่นเก็บไปแล้วกัน”

หลี่จิ่วเต้าเดินเข้าป่าลึกพร้อมกับธนูคันใหญ่ แต่ไม่ได้คิดเอาเสือลายเมฆเข้าไปด้วย

นี่เพราะเสือลายเมฆตัวใหญ่เกินไป ซ้ำไม่ง่ายนักที่จะแบกไปด้วย เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ก่อน เมื่อเข้าป่าออกล่าสัตว์ หลี่จิ่วเต้าจะไม่นำเหยื่อที่เขาฆ่าติดตัวไปด้วย

ต้องอย่าลืมว่า เขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนแต่เป็นคนธรรมดาเดินดิน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะนำเหยื่อมากมายติดตัวไปไหนมาไหนด้วย ชายหนุ่มจึงมักขอให้พรานป่าคนอื่นช่วย และให้รางวัลเป็นเหยื่อที่ล่ามาได้เสียมากกว่า

โฮก!

หลี่จิ่วเต้าได้ยินเสียงคำรามของเสือ ใบหน้ารีบหันไปตามเสียงทันที

“ช่างเป็นพยัคฆ์หลากสีสันเสียจริง!”

เขาแอบประหลาดใจที่ได้เห็นพยัคฆ์ตัวใหญ่ยิ่งกว่าเสือทั่วไป

“ไม่ดีแล้ว!”

สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปทันควัน เมื่อเห็นชายชราผู้หนึ่งนอนอาบเลือดอยู่ตรงนั้น พยัคฆ์ตัวใหญ่กำลังพุ่งเข้าไปหาเฒ่าผู้นั้น มันพยายามจะกินเขาเข้าไปในคำเดียว!

หลี่จิ่วเต้าขึ้นเกาทัณฑ์อย่างรวดเร็ว ปล่อยศรพุ่งออกไปก่อนจะปักเข้าที่หัวใจของมัน พยัคฆ์ตัวใหญ่ร่วงลงกระแทกกับพื้นด้วยฝีมือของเขา

โฮก!

พยัคฆ์ตัวใหญ่คำรามออกมา เผยให้เห็นความไม่เต็มใจและไม่เชื่อในสายตาของมัน

อันที่จริง พยัคฆ์ตัวนี้แข็งแกร่งจนแม้แต่ผู้ฝึกตนในขอบเขตสุญญตายังสู้มิไหว เช่นนั้นแล้วมันจะถูกสังหารด้วยลูกธนูลูกเดียวได้อย่างไร

ขอบเขตรวบรวมปราณ ขอบเขตก่อกำเนิดวิญญาณ ขอบเขตประสานวิญญาณ ขอบเขตกงล้อชะตา ขอบเขตสุญญตา ขอบเขตนิพพาน ขอบเขตผันอนันต์…

นี่คือการแบ่งขอบเขตในโลกผู้ฝึกตน

และขอบเขตสุญญตา ก็คือขอบเขตที่สูงที่สุดของปรมาจารย์!

“มนุษย์?”

มันค่อย ๆ มองไปที่หลี่จิ่วเต้าอย่างยากเย็น มีสีหน้ายากจะเชื่อได้ปรากฏอยู่บนใบหน้า 

‘นี่มันถูกมนุษย์ธรรมดายิงจริง ๆ หรือนี่?’

ก่อนที่หลังจากนั้น ลมหายใจสุดท้ายของมันจะถูกปล่อยออกมา พยัคฆ์ตัวใหญ่ตายด้วยสีหน้าไม่ยินยอมรับความแพ้และยากจะเชื่อลงได้

“ท่านผู้เฒ่าขอรับ เป็นอันใดมากหรือไม่?”

หลี่จิ่วเต้ารีบรุดไปที่ข้างกายชายชรา ก่อนจะช่วยเขาขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ท่านผู้เฒ่า ท่านวิ่งไปมาในเนินเขาเขียวได้อย่างไร เนินเขาเขียวแห่งนี้มีแต่สัตว์ร้ายนะขอรับ”

*[1] ตีเหล็กตอนร้อน หมายถึง ให้รีบตัดสินใจทำสิ่งที่มีประโยชน์เมื่อยังมีโอกาส