ตอนที่ 4 เก็บปรมาจารย์ด้านวรยุทธ์กลับบ้าน

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

ตอนที่ 4 เก็บปรมาจารย์ด้านวรยุทธ์กลับบ้าน

“เยาเยา เยาเยา เยาเยา…”

“อาจารย์คะ หนูอยู่ทางนี้”

เมื่อได้ยินเสียงเล็กตอบกลับมา หยวนเหยี่ยก็หายตื่นตระหนกและรีบวิ่งไปทางที่มาของเสียงนั้น

ในความเป็นจริงมู่เถาเยาอยู่ใกล้มาก แต่เนื่องด้วยขนาดตัวที่เล็กจิ๋วของเธอมันจึงถูกพืชที่ขึ้นปกคลุมอยู่บริเวณนั้นบดบังไป

“เยาเยา อาจารย์กำชับเอ็งแล้วไม่ใช่รึว่าให้นั่งรออยู่ที่เดิม…ไอ้โหยว ผู้ชายคนนี้ใครกัน เกิดอะไรขึ้นกับเขา”

“…ไม่รู้สิคะ ตอนที่หนูเดินมา…ทำธุระส่วนตัวทางนี้…ก็เห็นเขานอนอยู่ตรงนี้แล้ว”

ที่จริงเธอดูออกว่าอาการที่คนคนนี้เป็นคือการถูกธาตุไฟเข้าแทรกขณะบ่มเพาะวรยุทธ์ เป็นเพราะเขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะบังคับเปลี่ยนสถานการณ์ของตัวเอง จึงตกอยู่ในสภาพนอนสลบไสลไม่ได้สติแบบนี้

บางทีหลังจากที่เขาตื่นขึ้นมา อาจจะกลายเป็นคนโง่หรือไม่ก็วรยุทธ์ที่บ่มเพาะมานานคงถูกทำลายไปจนหมดสิ้น

หยวนเหยี่ยขมวดคิ้วหลังจับชีพจรให้คนที่นอนอยู่บนพื้น

“อาจารย์คะ เขาเป็นอย่างไรบ้าง”

“อวัยวะภายในบอบช้ำไปหมด แม้แต่สมองก็บอบช้ำ แต่ภายนอกไม่มีร่องรอยบาดแผลใดๆ เหมือนกับ…เกิดจากความประมาทของผู้ฝึกยุทธ์โบราณ…แต่ในป่ารกร้างแบบนี้จะมีผู้ฝึกยุทธ์โบราณอยู่ได้ยังไง หรือในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจเข้าสู่ทางโลกแล้วเหรอ”

ศิลปะการต่อสู้โบราณนั้นแตกต่างจากการแพทย์โบราณ การแพทย์โบราณยึดมั่นต่อเป้าหมายที่ว่าปรารถนาให้ผู้คนทั้งใต้หล้ามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ดังนั้นพวกเขาจึงเผยตัวต่อทางโลกและคอยช่วยชีวิตผู้คนอยู่เสมอ แต่สำนักศิลปะการต่อสู้โบราณนั้นต่างออกไป พวกเขาเร้นกายซ่อนตัวจากโลกภายนอกมาเนิ่นนานแล้ว

ในฐานะเจ้าสำนักแพทย์โบราณที่สืบทอดต่อกันมานับหมื่นปี หยวนเหยี่ยย่อมรู้ถึงที่ตั้งของสำนักศิลปะการต่อสู้โบราณทั้งหลายที่เร้นกายอยู่โดยธรรมชาติ

เพียงแต่ว่าสำนักแพทย์โบราณและสำนักศิลปะการต่อสู้โบราณไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ยิ่งกว่านั้นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้หรือที่เรียกกันว่าผู้ฝึกยุทธ์โบราณนั้นล้วนมีร่างกายที่แข็งแรงและไม่ค่อยเจ็บป่วย ดังนั้นเขาจึงได้รู้จักกับผู้ฝึกยุทธ์โบราณที่แท้จริงน้อยมากๆ

คนส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันฝึกฝนซ่านโฉ่ว คาราเต้ มวยสากล ฯลฯ ตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

อาชีพแพทย์มีข้อเรียกร้องต่อสมรรถภาพทางกายของผู้เป็นแพทย์ที่สูงมาก การผ่าตัดบางเคสอาจใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือต่อเนื่องยาวนานมากกว่าสิบชั่วโมง หากไม่มีร่างกายและจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง จะทนรับแรงกดดันและครองสติเพื่อผ่านการผ่าตัดครั้งใหญ่ไปได้อย่างไร

จริงอยู่ที่ว่าเขาคือแพทย์โบราณ แต่ก็เคยร่ำเรียนวิชาแพทย์แผนปัจจุบันมาเหมือนกัน แม้จะไม่ได้ลงลึกและศึกษาอย่างละเอียดเท่าแพทย์แผนโบราณก็เถอะ

“อาจารย์คะ ผู้ฝึกยุทธ์โบราณคืออะไรเหรอ”

“มันก็เหมือนกับในรายการทีวีที่มีปรมาจารย์วรยุทธ์บินข้ามกำแพงไปมา เด็ดใบไม้และปาออกไปทำร้ายผู้คน”

ดวงตาของมู่เถาเยาเปล่งประกายระยิบระยับ

ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเธอ ทักษะวรยุทธ์ของเธอนั้นเรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า แต่ในชีวิตนี้เธอยังกลัดกลุ้มอยู่เลยว่าจะหาโอกาสหยิบมันขึ้นมาฝึกอีกครั้งได้อย่างไร

“อาจารย์ พวกเราเก็บเขากลับไปกันเถอะ”

หยวนเหยี่ยเขกไปที่ศีรษะน้อยๆ ของเธอ “เอ็งรู้แล้วหรือว่าเขาเป็นใครยังจะบอกให้ข้าเก็บเขากลับไป เกิดเขาเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์ที่ชั่วร้าย พาเขากลับหมู่บ้านไปด้วยเอ็งจะทำอย่างไรหากเขาฆ่าพวกเราศิษย์อาจารย์และชาวบ้านตาดำๆ พวกนั้น”

ไม่รู้ว่าคนที่นอนอยู่บนพื้นลืมตาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า “ฉันไม่ใช่คนเลว ฉันไม่ฆ่าคน”

นัยน์ตาของมู่เถาเยาเวลานี้ เปล่งประกายยิ่งกว่าดาวนับล้านดวงเสียอีก

ผู้ชายคนนี้แข็งแกร่งและทรงพลังมาก! เขาสามารถได้สติขึ้นมาอย่างรวดเร็วหลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่กลายเป็นคนโง่ไป คาดว่าพลังของเขาก็ไม่สูญเสียไปเช่นกัน!

“คนเลวที่ไหนบ้างยอมรับว่าตัวเองเป็นคนเลว” หยวนเหยี่ยกลอกตา

“อาจารย์คะ ต่อให้ระดับวรยุทธ์ของเขาจะสูงแค่ไหน แต่อาจารย์เป็นถึงหมอเทวดาไม่ใช่เหรอ ถ้ามีอะไรผิดปกติกับเขา แค่วางยาครั้งเดียวอาจารย์ก็กำจัดเขาทิ้งได้แล้ว”

“จะว่าไปก็ใช่! ลูกศิษย์ของข้านี่เฉลียวฉลาดจริงๆ!”

ผู้ฝึกยุทธ์โบราณที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นรู้สึกว่าอาการบาดเจ็บของเขาย่ำแย่ลงกว่าเก่า แม่หนูน้อย หนูเพิ่งอายุเท่าไหร่กันเชียวรู้เรื่องวางยาพวกนี้แล้วเหรอ!

มู่เถาเยาถามออกไป “คุณลุงคะ ลุกขึ้นเดินเองไหวหรือเปล่า”

“ไม่ไหว”

นอกจากนี้ฉันไม่ใช่ลุง ฉันเป็นปู่ เพียงแต่หน้าเด็กไปหน่อย!

“อาจารย์ของหนูเขาต้องแบกตะกร้าสานที่ใส่สมุนไพรแถมยังต้องอุ้มหนูไปอีก ถ้างั้นคุณนอนต่อไปอีกสักหน่อย รอมีแรงเมื่อไหร่ค่อยลุกขึ้นเดิน”

ผู้ฝึกยุทธ์โบราณ “…”

แล้วไหนที่ว่าจะเก็บฉันกลับบ้านไปด้วยล่ะ ถ้าฉันสามารถลุกขึ้นเดินเองได้ยังจะรอให้เธอมาเก็บกลับบ้านไปอยู่อีกเหรอ!

เขาเฝ้ามองดูสองศิษย์อาจารย์เดินจับมือกันออกไปอย่างช่วยไม่ได้

ผู้ฝึกยุทธโบราณ “…”

แต่เพียงไม่นานหลังจากนั้น ทั้งสองก็วกกลับมาอีกครั้ง

หยวนเหยี่ยยัดเม็ดยาเล็กๆ ใส่เข้าไปในปากของผู้ฝึกยุทธ์โบราณที่นอนมองพวกเขาด้วยสายตาน่าสงสาร จากนั้นหยิบม้วนผ้าที่ห่อเข็มสีทองม้วนหนึ่งออกมา ฝังเข็มลงไปตรงจุดชีพจรบริเวณหน้าอกและศีรษะสองสามครั้ง

ก่อนที่ผู้ฝึกยุทธ์โบราณคนนั้นจะทันได้เอ่ยถามอะไร เม็ดยาก็ละลายไปจนหมด

“นี่คืออะไร”

“ก็ต้องเป็นของดีอยู่แล้วสิ! รู้สึกว่าร่างกายของเอ็งร้อนขึ้นมาบ้างหรือเปล่า”

“ใช่ อาการเจ็บปวดก็ทุเลาลงมาก”

“รอเอ็งพักฟื้นตัวจนหายดีก่อนค่อยจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ข้า ยาเม็ดนี้ของข้าน่ะราคาควรเมืองเชียว เป็นสิ่งที่ต่อให้ปรารถนาก็ไม่สามารถหามาไว้ในครอบครองได้”

ผู้ฝึกยุทธ์โบราณ “…”

อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองคงไม่มีปัญญาจ่ายค่ารักษาพยาบาลไหว ทำยังไงดีคายมันออกมาตอนนี้ยังทันหรือเปล่า

หยวนเหยี่ยไม่สนใจว่าเขาจะคิดอย่างไร พูดไปตรงๆ ว่า “ตอนนี้ลองขยับตัวดู ลุกขึ้นมา” หลังจากพูดจบ เขาก็ดึงมู่เถาเยาถอยหลังไปหนึ่งก้าว

ผู้ฝึกยุทธ์โบราณ “…” ช่วยประคองกันสักหน่อยไม่ได้เลยเหรอ ศิษย์อาจารย์คู่นี้มันยังไงกัน!

บ่นส่วนบ่น แต่เขาก็ยังฝืนลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก

หยวนเหยี่ยดึงเข็มที่ฝังอยู่ออกและพูดเสียงเรียบว่า “ในเมื่อลุกยืนไหวแล้ว งั้นไปกันเถอะ พวกเรายังต้องไปเก็บรวบรวมสมุนไพรให้มากกว่านี้สักหน่อยก่อนกลับ”

“…ไม่ใช่สิ พวกคุณยังต้องไปเก็บสมุนไพรกันต่อ แล้วทำไมต้องรีบทำให้ฉันลุกขึ้นยืนตอนนี้ด้วย” ขอนอนต่ออีกสักพักจะได้ฟื้นพลังกายกลับคืนมาไม่ง่ายกว่าหรือไง

สองศิษย์อาจารย์ใช้สายตาที่ราวกับมองคนโง่มองเขา สีหน้าทั้งคู่แทบจะเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน

“…” สายตาแบบนี้มันคืออะไร พูดให้ชัดเจนสิ!

“ถ้าอยากกลับไปให้เร็วที่สุด งั้นก็ต้องมาช่วยกันขุดสมุนไพร อย่าหาว่าข้าไม่เตือน หลังจากนี้ไปสามชั่วโมงเกรงว่าเอ็งจะไม่มีเรี่ยวแรงเดินกลับแล้ว!”

“…ยาของคุณให้ผลลัพธ์ระยะสั้นแค่นี้?” แล้วยังกล้าเรียกราคาซะสูงลิ่ว!

“นี่คือยา ไม่ใช่โอสถวิเศษ เอ็งได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้นคิดจะอาศัยยาเม็ดเดียวก็อยากให้หายเป็นปลิดทิ้ง? ถ้ามีความสามารถขนาดนั้นทำไมเอ็งถึงไม่ขึ้นสวรรค์ไปเลยล่ะ!”

“…รู้ว่าฉันได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ก็ยังสั่งให้ใช้แรงงาน! คุณกำลังทำตัวอย่างที่ผิดๆ ให้เด็กเห็นนะรู้ไหม!”

หยวนเหยี่ยยืดอกของเขาแล้วพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “เยาเยาบ้านข้าน่ะ ทั้งมีพรสวรรค์ ความสามารถก็สูงส่งเหนือคนทั่วไป เธอสามารถเลือกที่จะเรียนแต่สิ่งดีๆ และมองข้ามเรื่องที่ไม่ดีพวกนั้น”

“…ความคิดของผู้ปกครองอย่างคุณมันบิดเบี้ยวเกินไปหน่อยแล้ว…”

เจ้าซาลาเปาก้อนน้อยๆ แค่นี้จะไปแยกแยะดีชั่วได้อย่างไร

หยวนเหยี่ยไม่ต้องการเสวนากับเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้

ในสายตาของเขา ลูกศิษย์ตัวน้อยเป็นเด็กที่ฉลาดและประพฤติตัวดีที่สุดในโลก! ไม่เป็นรองใคร!

อุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นไปบนก้อนหินใหญ่ใต้ร่มไม้ให้เธองีบหลับ จากนั้นโรยผงยารอบก้อนหินใหญ่เพื่อไล่แมลงและงู และเรียกผู้ฝึกยุทธ์โบราณให้มาช่วยขุดสมุนไพรรอบๆ

หนึ่งชั่วโมงต่อมา มู่เถาเยาก็ตื่นขึ้นจากการหลับใหล

แก้มยุ้ยย้วยบนใบหน้าเล็กๆ ขึ้นสีชมพูระเรื่อจางๆ ดูน่ารักมาก

นัยน์ตาดำขลับราวกับลูกกวางกวาดสำรวจไปรอบๆ เห็นว่าไม่ไกลจากจุดที่ตัวเองนั่งอยู่คนสองคนกำลังง่วนอยู่กับการขุดหาสมุนไพร จึงอาศัยมือและเท้าป้อมสั้นค่อยๆ ปีนลงมาจากก้อนหินใหญ่ หลังจากหาที่ชิ้งฉ่องได้และทำธุระของตัวเองเสร็จ ก็เดินเตาะแตะไปหาพวกเขา

คนสองคนที่กำลังก้มขุดสมุนไพรอยู่ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าพวกเขาก็หันศีรษะกลับไปมองอย่างรวดเร็วและลุกเดินเข้าไปหาเธอ “เสี่ยวเยาเยาของเราตื่นแล้ว”

“อาจารย์ คุณลุง”

“เยาเยา เขาไม่ใช่คุณลุง นี่คือคุณปู่ซย่าโหวโซ่ว เขาอายุเท่ากับอาจารย์”

ในช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงสั้นๆ ที่มู่เถาเยานอนหลับ หยวนเหยี่ยได้ทำความเข้าใจที่มาที่ไปคร่าวๆ ของผู้ฝึกยุทธ์โบราณคนนี้แล้ว

มู่เถาเยารีบเปลี่ยนคำเรียกของเธอทันที “คุณปู่”

เธอรู้สึกทึ่งในอายุขัยที่ยืนยาวและรูปร่างหน้าตาที่งดงามของผู้คนในโลกนี้จริงๆ

บนแผ่นดินจงโจว เพียงย่างเข้าวัยหกปีก็ถือว่าแก่ชรามากแล้ว แต่คนสองคนนี้ที่อายุเกือบเจ็ดสิบปีกลับยังดูหนุ่มอยู่

“เสี่ยวเยาเยาอายุเพียงหนึ่งขวบ แต่กลับสามารถพูดและเดินได้อย่างคล่องแคล่ว เธอฉลาดมากจริงๆ!” ซย่าโหวโซ่วยกมือขึ้นลูบศีรษะน้อยๆ ของมู่เถาเยา

สีหน้าของหยวนเหยี่ยเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

มู่เถาเยาเงยหน้าเล็กๆ ขึ้นพลางถามว่า “คุณปู่ซย่าโหวคะ คุณบินได้ไหม อาจารย์ของหนูบอกว่าผู้ฝึกยุทธโบราณสามารถเดินบนหลังคาได้ บินข้ามกำแพงก็ได้ แถมยังสามารถเด็ดใบไม้และโยนออกไปเพื่อทำร้ายผู้คนได้ด้วย”

หยวนเหยี่ย “…”

ศิษย์เอ๋ย คำพูดต้นฉบับของอาจารย์ไม่ใช่แบบนี้นะ!

“ได้สิ รอปู่พื้นจากอาการบาดเจ็บก่อนนะแล้วปู่จะพาหนูบิน!”

มู่เถาเยาพยักหน้าจิ้มลิ้มของเธอด้วยความพึงพอใจ

ในชีวิตที่แล้ว ขนาดไม่มีคนคอยชี้แนะเธอยังสามารถบ่มเพาะทักษะวรยุทธ์จนก้าวขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ของยุทธภพได้ นับประสาอะไรกับชีวิตนี้และเธอในตอนนี้ที่ยังเล็ก อีกทั้งยังมีประสบการณ์และความทรงจำจากชาติภพก่อน เธอมั่นใจว่าตัวเองจะฝึกฝนได้ดีและก้าวข้ามระดับของตัวเองในชีวิตก่อนได้อย่างแน่นอน!

อย่างไรก็ตาม ใดๆ ล้วนแต่ต้องมีจุดเริ่มต้น เธอคงไม่สามารถเก่งขึ้นพรวดพราดโดยไร้เหตุผลได้