ตอนที่ 5 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในหมู่บ้านเถาหยวนซาน

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

ตอนที่ 5 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในหมู่บ้านเถาหยวนซาน

นับตั้งแต่แม่หนูน้อยฟันน้ำนมมู่เถาเยาอายุได้หนึ่งขวบกับอีกหนึ่งเดือน หากเธอไม่ติดตามอยู่ข้างกายหยวนเหยี่ยเพื่อเรียนวิชาแพทย์ ก็จะไปหาซย่าโหวโซ่วเพื่อขอให้เขาฝึกวรยุทธ์ให้

อ้อ เนื่องจากซย่าโหวโซ่วไม่มีปัญญาจ่ายค่ารักษาพยาบาล เขาจึงถูกบังคับให้อยู่ต่อในฐานะอาจารย์ผู้ฝึกสอนศิลปะการต่อสู้ของเจ้าตัวเล็ก

ต่อมาเมื่อมู่เถาเยาแสดงพรสวรรค์ในด้านการเรียนรู้วรยุทธ์ที่น่าทึ่ง ซย่าโหวโซ่วไม่เพียงแต่เต็มใจที่จะอยู่ต่อ แต่ถึงขั้นถีบตัวเองขึ้นมาเป็นไม้เบื่อไม้เมากับหยวนเหยี่ย คอยแย่งชิงเวลาเรียนของมู่เถาเยาอยู่ร่ำไป

สองอาจารย์ทะเลาะกันตลอดทั้งวันเรื่องที่ลูกศิษย์ตัวน้อยอาจใช้เวลากับอาจารย์อีกคนมากกว่า

ในที่สุด มู่เถาเยาจึงตัดสินใจจบปัญหาด้วยวิธีการให้เวลาอาจารย์หนึ่งคนต่อหนึ่งวัน ส่วนวันที่สามกำหนดตารางเรียนเป็นเรียนรู้วัฒนธรรมและความรู้ทั่วไป โดยมีหยวนเหยี่ยสอนภาษาและวรรณกรรมในช่วงเช้าและซย่าโหวโซ่วสอนวิชาวิทยาศาสตร์ในช่วงบ่าย

ไม่มีใครได้เวลามากหรือน้อยไปกว่ากัน

ตารางเวลาหมุนเวียนเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทั้งสองคนเลิกโต้เถียงกันในที่สุด เพียงแค่สอนทุกอย่างที่พวกเขารู้ให้กับลูกศิษย์ตัวน้อย มุ่งมั่นที่จะเป็นที่หนึ่งในใจของเจ้าก้อนแป้งที่พวกเขาภาคภูมิใจ

เนื่องจากเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ มู่เถาเยาจึงกลายเป็นราชาท่ามกลางเหล่าเด็กๆ ในหมู่บ้านเถาหยวนซาน สุดท้ายพัฒนาไปเป็นเด็กทุกคนในหมู่บ้านแอบตามมาฝึกศิลปะการต่อสู้กับเธอหลังเลิกเรียน

ต่อมาเมื่อคนในหมู่บ้านบังเอิญผ่านไปเห็นซย่าโหวโซ่วใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ที่สูงกว่าสิบเมตรในระหว่างที่เขาสอนวรยุทธ์ให้มู่เถาเยา สายตาของคนในหมู่บ้านก็เปลี่ยนจากนับถือไปเป็นคลั่งไคล้ จากนั้นกลายเป็นว่าทุกคนในหมู่บ้านล้วนมาเรียนรู้วรยุทธ์กันหมด

รวมถึงหญิงชาวบ้านและบรรดาสะใภ้ในหมู่บ้านด้วย

พวกเธอเริ่มไล่ตามซย่าโหวโซ่วหลังจากที่รู้อายุจริงของเขา

อายุเทียบเท่าผู้อาวุโส ใบหน้ารุ่นราวคราวบิดา แต่หุ่นและรูปร่างนั้นราวกับบุรุษที่เพิ่งล่วงเข้าสู่วัยฉกรรจ์หมาดๆ ผู้หญิงคนไหนบ้างไม่ปรารถนาให้ตัวเองเป็นเช่นนี้

ผู้คนในหมู่บ้านเถาหยวนซานและศิษย์อาจารย์มู่เถาเยาทั้งสามคนใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสงบสุขและกลมกลืนมานานกว่าสิบปีทั้งเช่นนี้

ไม่เพียงแต่สมรรถภาพทางกายและสุขภาพจิตของทุกคนเท่านั้นที่เปลี่ยนไปมาก แต่มาตรฐานการดำรงชีวิตของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน

เนื่องจากพื้นที่ด้านหลังของหมู่บ้านอยู่ติดกับป่าดึกดำบรรพ์ที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดของประเทศเหยียนหวง ด้านในนั้นมีสมุนไพรล้ำค่า เห็ดป่า และวัตถุดิบหายากนับไม่ถ้วน มู่เถาเยาจึงเสนอให้ทุกคนเข้าไปในป่าเก็บรวบรวมสมุนไพรและนำมาขายให้กับอาจารย์ของเธอ

สมุนไพรที่ขึ้นอยู่บริเวณรอบนอกป่านั้นเป็นสมุนไพรทั่วๆ ไป พบได้ในปริมาณมากและก็ถูกนำมาใช้งานบ่อยๆ!

ส่วนสมุนไพรที่ขึ้นอยู่ในเขตลึกเข้าไป คนธรรมดายากที่จะเข้าถึงได้ ยกเว้นหยวนเหยี่ยที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมและทักษะการใช้พิษที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แม้แต่ซย่าโหวโซ่วผู้ฝึกยุทธ์โบราณที่อยู่ในระดับสูงก็ยังไม่กล้าเข้าไป

เสือ งูเหลือม จระเข้ และสัตว์ดุร้ายชนิดอื่นๆ เขาสามารถทุบตีพวกมันได้อย่างง่ายดาย แต่เขาไม่รู้จักพืชมีพิษ หากเขาสัมผัสพวกมันโดยไม่ตั้งใจ เขาอาจจะสิ้นใจอยู่ตรงนั้นและไม่ได้กลับออกมาอีกเลย

ขนาดผู้เชี่ยวชาญอย่างนักสัตววิทยา นักพฤกษศาสตร์ และนักสำรวจที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของโลกยังไม่กล้าเยื้องย่างเข้าไปง่ายๆ นับประสาอะไรกับชาวบ้านธรรมดา

อย่างไรก็ตาม พื้นที่รอบนอกเพียงอย่างเดียวก็กินเนื้อที่มากกว่าสามพันตารางกิโลเมตร ประกอบไปด้วยยอดเขาที่ทอดยาวต่อเนื่องกันหลายลูกครอบคลุมอาณาเขตเมืองและประเทศต่างๆ มากมาย สีเขียวมรกตสุดลูกหูลูกตา ภูมิทัศน์ที่แปลกตาน่าพิศวง ความงดงามตามธรรมชาติที่สวรรค์รังสรรค์ขึ้นอย่างประณีตบรรจงและความเงียบสงบซึ่งหาได้ยากจากสังคมโลกภายนอกรวมเป็นหนึ่ง ทิวทัศน์ที่อวดโฉมอย่างยิ่งใหญ่ตระการตานี้ เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านในหมู่บ้านเถาหยวนซานไม่ชอบให้มีบุคคลภายนอกเข้ามาในหมู่บ้านมากเกินไป เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการรบกวนชีวิตที่สงบสุขของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงคัดค้านแนวคิดการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยว

ดังนั้นอาจารย์และลูกศิษย์ทั้งสามคนจึงหารือกับชาวบ้านถึงการใช้ประโยชน์จากแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่แต่เดิมเพื่อปลูกไม้จันทน์และไม้กฤษณา เพาะเห็ดต่างๆ เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่เอาไว้ใช้ปรุงอาหารและยา เป็นต้น

เนื่องจากทุกคนในหมู่บ้านล้วนมีส่วนร่วม มีการรวบรวมและนำวัตถุดิบไปจำหน่ายพร้อมกัน แบ่งเงินปันผลตามรายหัว ชาวบ้านที่สามัคคีกันมากอยู่แล้วก็ยิ่งเกาะกลุ่มกันเหนียวแน่นขึ้น

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ทุกครัวเรือนในหมู่บ้านเถาหยวนซานได้ปรับเปลี่ยนต่อเติมบ้านหลังเล็กๆ ของพวกเขาจนกลายเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ เงินฝากของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ความมั่งคั่งของหมู่บ้านไกลปืนเที่ยงแห่งนี้ ช่างทำให้ผู้คนยากจะเชื่อได้ลงจริงๆ

เป็นเพราะผู้คนในหมู่บ้านเถาหยวนซานนั้นค่อนข้างถ่อมตัว แม้ว่าพวกเขาจะออกไปข้างนอก พวกเขาก็ยังคงความเรียบง่ายและรักษานิสัยที่ซื่อสัตย์ของตัวเองไว้ ไม่ได้ถูก ‘นิสัยแย่ๆ หลังความร่ำรวย’ แปดเปื้อนทำให้เสียตัวตนดั้งเดิมของตัวเองไป

เหล่าเด็กๆ ที่อยู่รุ่นราวคราวเดียวกับมู่เถาเยา ปัจจุบันล้วนมีทักษะวรยุทธ์ค่อนข้างสูง หลายคนสอบติดโรงเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ยกตัวอย่างเช่นมู่หว่านจากครอบครัวของผู้ใหญ่บ้านที่ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนมัธยมต้นอันดับหนึ่งของจังหวัด

ส่วนมู่เถาเยา นอกจากเชี่ยวชาญด้านการแพทย์และวรยุทธ์แล้ว เธอยังสนใจในศาสตร์อนุกรมวิธานซึ่งเกี่ยวกับการจำแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ เช่นอาณาจักรสัตว์ อาณาจักรพืช อาณาจักรโปรติสตา เห็ดราและยีสต์ และโมเนอราจำพวกแบคทีเรีย…

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน และมันก็น่าสนใจมากสำหรับเธอ

นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ ภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ ฯลฯ ตราบใดที่เธอไม่เคยได้สัมผัสกับมันมาก่อนในชีวิตก่อนหน้านี้ เธอล้วนสนใจมันมาก

แน่นอนว่าเรื่องอาหารการกินก็ด้วย

ไอศกรีม เค้ก สเต๊ก กุ้งมังกร ซุปหม่าล่า เฟรนช์ฟรายส์และโค้ก คอเป็ดรสเผ็ด ชานมและกาแฟ…มีของที่เธอไม่ชอบกินน้อยมาก

ตั้งแต่เธออายุได้สามขวบ อาจารย์ทั้งสองของเธอก็มักจะพาเธอออกจากหมู่บ้านเถาหยวนซานเพื่อออกไปเรียนรู้ดูโลกกว้าง

หลังจากเธออายุได้สิบขวบ พวกเขาก็พาเธอเข้าไปท่องเที่ยวในส่วนลึกของป่าดึกดำบรรพ์

หลังจากอายุสิบห้า เธอก็สามารถเดินเข้าไปในป่าอันตรายเพียงลำพังได้

และหลังจากที่เธออายุได้สิบหกปี เธอได้สร้างกระท่อมไม้หลังหนึ่งขึ้นในส่วนลึกของป่าดึกดำบรรพ์ และมักจะอาศัยอยู่ที่นั่นตามลำพังเป็นเวลาหลายวัน

ทุกครั้งที่ลงจากเขา ความก้าวหน้าทั้งในด้านการแพทย์และศิลปะการต่อสู้ของเธอก็จะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนบางครั้งถึงขนาดที่เธอพาอาจารย์ทั้งสองคนทะลวงคอขวดด้วยก็มี

ลูกศิษย์อยู่เหนือกว่าอาจารย์ไปแล้ว

ตั้งแต่นั้นมารอยยิ้มบนใบหน้าของอาจารย์ทั้งสองคนก็ไม่เคยจางหายไป อาจกล่าวได้ว่าพวกเขายิ้มแม้กระทั่งอยู่ในความฝัน

ระยะเวลาสิบหกปีล่วงเลยผ่านไปทั้งอย่างนี้ อาจารย์ที่อายุย่างเข้าเลขแปดไปนานแล้วทั้งสองคนของเธอ ไม่เพียงแต่รูปร่างหน้าตาของพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก กระทั่งจิตวิญญาณของพวกเขาก็ยังกระฉับกระเฉงมากขึ้น ดูอ่อนวัยลงกว่าแต่ก่อนเสียด้วยซ้ำ

ทุกครั้งที่ศิษย์ลูกศิษย์หลาน ลูกและหลานๆ ของทั้งคู่มาเยี่ยมพวกเขาที่หมู่บ้านเถาหยวนซาน หากไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง บอกเลยว่าพวกเขาคงไม่กล้าแม้แต่จะทัก พวกเขาแทบจำบรรพบุรุษของตัวเองไม่ได้

นี่ใช่คุณปู่บรรพบุรุษที่ไหน เป็นตาลุงชัดๆ!

ลูกศิษย์ของอาจารย์ใหญ่ ลูกชายของอาจารย์เล็ก เมื่อมายืนอยู่ใกล้ๆ กับพวกเขา แทบจะแยกความเป็นพ่อเป็นลูกไม่ออก ดูเหมือนเป็นพี่น้องกันมากกว่า!

ภรรยาของอาจารย์เล็กเมื่อยืนอยู่ข้างๆ เขาเองก็ดูเหมือนเป็นพี่สาวกับน้องชาย แถมความแตกต่างของวัยยังเห็นชัดมากอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้อาจารย์แม่เล็กจึงปฏิเสธหัวชนฝาที่จะกลับบ้านไปพร้อมกับลูกๆ และหลานๆ ของเธอ ยืนกรานจะอยู่ต่อให้มู่เถาเยาช่วยดูแลรักษารอยเหี่ยวย่นให้เธอให้ได้

แน่นอนว่ามู่เถาเยาศิษย์อาจารย์ทั้งสามคนย่อมยินดีให้เธออยู่ต่อ หมู่บ้านเถาหยวนซานก็ต้อนรับทุกคนอย่างอบอุ่นเช่นกัน

อาจารย์ใหญ่หยวนเหยี่ย ตลอดทั้งชีวิตของเขาหมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องยา จึงไม่เคยแต่งงาน เขาเป็นโสด ไม่มีภรรยาและลูก

อาจารย์และลูกศิษย์ทั้งสามคน รวมอาจารย์แม่เล็กเข้าไปอีกหนึ่งเป็นสี่คน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเป็นเวลาสองปีเต็ม จนในที่สุดวันเกิดอายุครบสิบแปดปีของมู่เถาเยาก็มาถึง

วันแห่งการก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่เป็นวันที่สำคัญยิ่ง ดังนั้นเธอจึงลงมาจากภูเขาตั้งแต่เช้าตามที่ผู้อาวุโสทั้งสามต้องการ

ในเวลานี้อาจารย์ทั้งสามและเหล่าผู้อาวุโสในหมู่บ้าน รวมถึงศิษย์พี่ชายหญิงของเธอล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆ แห่งนี้

ทันทีที่มู่เถาเยาเดินเข้ามาในห้อง ทุกคนก็รีบวิ่งขึ้นไปข้างหน้า

ใบหน้าของหยวนเหยี่ยเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง “เยาเยา วันนี้เอ็งนับว่าได้เป็นผู้ใหญ่แล้ว สุขสันต์วันเกิดนะ!”

“เยาเยา สุขสันต์วันเกิด!” ทุกคนตะโกนเสียงดัง

ซย่าโหวโซ่วพูด “ของขวัญวันเกิดทั้งหมดจากทุกคนวางอยู่ในห้องของหนูแล้ว หลังกินข้าวเสร็จแล้วค่อยเข้าไปแกะดู”

มู่เถาเยากล่าวขอบคุณทุกคน

วันเกิดครบรอบอายุสิบแปดปีนี้ของเธอ ช่างแตกต่างจากชีวิตก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

ในชาติที่แล้ว มีเพียงในช่วงที่เสด็จแม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นที่เธอได้ใช้ชีวิตที่ดี หลังจากนั้นเส้นทางที่เธอเดินผ่านล้วนเต็มไปด้วยการลอบสังหาร การเข่นฆ่า และคราบเลือด

ความสุขของชาวบ้านทั่วไปนั้นเรียบง่ายมาก ทว่ามันกลับเป็นสิ่งที่เกินเอื้อมถึงสำหรับคนในราชวงศ์

ไม่ว่าใครต่างก็ปรารถนาที่จะขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งนั้น และเธอก็ไม่ต่างกัน

ไม่ใช่ต้องการ แต่ต้องทำ

เธอต้องการล้างแค้นให้เสด็จแม่ของเธอ ต้องการปกป้องน้องชายเพียงหนึ่งเดียวให้เติบใหญ่และปลอดภัย เธอไม่อาจไม่สู้ เพราะการไม่สู้สำหรับเธอมีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นนั่นคือความตาย!

เมื่อนึกถึงชาติที่แล้ว มู่เถาเยาก็รู้สึกฟุ้งซ่านเล็กน้อย ไม่รู้ว่าน้องชายของเธอเวลานี้จะเป็นอย่างไรบ้าง

เผชิญหน้ากับสงคราม กลอุบายและแผนการสมรู้ร่วมคิดทุกประเภท ต่อให้ทักษะวรยุทธ์ของเธอจะยอดเยี่ยมสักเพียงใด ก็ไม่อาจต้านทานภัยร้ายที่ดาหน้าเข้ามารอบด้านได้ทั้งหมด แถมเธอยังมีน้องชายเป็นจุดอ่อนอีก

หลังจากที่เธอเถลิงราชสมบัติขึ้นครองบัลลังก์ ตลอดยี่สิบปีที่เธอสละเลือดเนื้อ สละหัวใจเพื่อปกป้องราชวงศ์และเหล่าประชาชนที่รัก ร่างกายของเธอก็ทรุดโทรมอย่างหนัก กอปรกับต้องแบกรับหน้าที่สั่งสอนศาสตร์แห่งการเป็นจักรพรรดิให้แก่น้องชาย ร่างกายที่ไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอจึงยิ่งแย่ไปใหญ่ และในที่สุดเธอก็ไม่อาจฝืนทนกับความเหนื่อยล้าที่จู่โจมได้และจากโลกนั้นไป

สิ่งหนึ่งที่เธอรู้สึกพึงพอใจมากก่อนจะจากมาก็คือ เพราะทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมของตัวเอง เธอรู้ว่าตัวเองคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นานแล้วจึงรีบส่งต่อบัลลังก์ให้แก่น้องชายตั้งแต่เนิ่นๆ ได้เห็นเขาแต่งงานกับสตรีที่ตนเองรัก ยกนางขึ้นเป็นฮองเฮาคู่พระทัย ได้เฝ้าดูองค์รัชทายาทบุตรชายตัวน้อยของน้องชายถือกำเนิดด้วยตาของเธอเอง…

เธอขึ้นเป็นจักรพรรดินีเมื่ออายุสิบห้าปี สละราชสมบัติเมื่ออายุสามสิบห้าปี และเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บเมื่ออายุสามสิบหกปี เธอไม่ได้แต่งงาน ไม่มีพระสวามีหรือบุตร ดังนั้นเธอจึงไม่มีห่วงใดๆ อีก

“เยาเยา?”

“หืม อาจารย์แม่เล็ก?”

“เหม่ออะไรอยู่น่ะ อาหารยกขึ้นโต๊ะพร้อมแล้วนะ พวกเราไปกินเลี้ยงฉลองกันเถอะ รู้หรือเปล่าว่าทั้งหมู่บ้านวันนี้มาเพื่อเลี้ยงฉลองวันเกิดให้หนูโดยเฉพาะเลยนะ”

มู่เถาเยามองใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มที่อยู่ตรงหน้าเธอ ริมฝีปากเล็กค่อยๆ ยิ้มกว้าง “รู้ค่ะ”