ตอนที่ 6 เตรียมพร้อมออกจากเขา

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

ตอนที่ 6 เตรียมพร้อมออกจากเขา

ในวันถัดมาหลังจากงานวันเกิดของเธอ หลังฝึกวรยุทธ์และจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ มู่เถาเยาก็มานั่งกินอาหารเช้าร่วมกับอาจารย์ทั้งสองของเธอและอาจารย์แม่เล็ก

ที่โต๊ะอาหารเช้า หยวนเหยี่ยเอ่ยปากออกมาเป็นคนแรก “เยาเยา ปีนี้เอ็งก็อายุสิบแปดปีแล้ว ถึงเวลาออกไปเรียนรู้โลกกว้างเสียที พวกเราแก่แล้ว ดังนั้นจึงเหมาะที่จะหลบซ่อนจากความวุ่นวายและอยู่ที่นี่ต่อ แต่ชีวิตของเอ็งเพิ่งจะเริ่มต้น ยังมีเวลาอีกมากมายและอนาคตที่สดใส ไม่ควรมาเสียเวลาอยู่ในป่าเขาแบบนี้”

ซย่าโหวโซ่วพยักหน้า “ฉันปรึกษาเรื่องนี้กับอาจารย์ใหญ่ของหนูแล้ว และฉันต้องการส่งหนูไปเรียนมหาวิทยาลัยข้างนอก หนูไม่เคยเข้าโรงเรียนมาก่อน จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้สัมผัสกับความเร่าร้อนของวัยหนุ่มสาว”

เหตุผลหลักๆ ก็คืออาจารย์ทั้งสองคนรู้สึกว่าหากลูกศิษย์ตัวน้อยยังคงติดตามพวกเขาเช่นนี้ต่อไป วิสัยทัศน์และความกระตือรือร้นของเธอจะถูกความเฉื่อยชาของตาแก่อย่างพวกเขาส่งผลกระทบอย่างแน่นอน ดูอย่างตอนนี้ที่ลูกศิษย์ของพวกเขาเฉยเมยเย็นชาขนาดนี้ ก็หนีไม่พ้นเรียนรู้มาจากชายชราอย่างพวกเขา!

ไม่อย่างนั้นเด็กสาวอย่างเธอก็สมควรจะมีชีวิตชีวาและสดใสตามวัย เหมือนกับยัยเด็กมู่หว่านจากบ้านผู้ใหญ่บ้านนั่น กระโดดโลดเต้นไปรอบๆ พูดจ้อกแจ้กไม่หยุดจนน่าปวดหัว

แบบนั้นสิถึงเรียกว่าวัยหนุ่มสาว!

มู่เถาเยาระบายยิ้มอ่อนๆ จนแทบไม่สามารถสังเกตได้ “หนูคิดว่าอยู่แบบนี้ก็ไม่เลวนี่คะ มีอาจารย์ทั้งสองคนอยู่ด้วย มีอาจารย์แม่และชาวบ้านที่รักเอ็นดูหนูอีก เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”

เธอไม่ต้องการความเร่าร้อนของวัยหนุ่มสาวอะไรนั่นหรอก

เกษียณอายุไม่ดีเหรอ? ร่างกายฟิตปึ๋งแข็งแรงขนาดนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเดินซ้ำรอยชาติที่แล้วที่อายุสั้น!

ในชาติภพนี้ เธอรู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่นั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ไม่ต้องวางกลอุบายคอยระแวงแผนการของอีกฝ่าย แถมยังมีแต่สิ่งอัศจรรย์ที่ไม่รู้จักเต็มไปหมดรอคอยให้เธอไปสำรวจ

“เยาเยา ถ้าหนูต้องการเป็นหมอ หนูต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมก่อนนะถึงจะสามารถรักษาคนได้”

“จำเป็นต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพอะไรนี่ด้วยเหรอคะ”

“จำเป็นสิ ตอนนี้ไม่ว่าหนูจะอยู่ในอุตสาหกรรมไหน หนูก็ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง”

มู่เถาเยาพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ ว่า “งั้นหนูไม่ออกไปข้างนอกแล้ว”

อย่างไรเสียเธอก็ได้เห็นกับตาแล้วว่ายุคสมัยนี้เป็นอย่างไร จึงไม่รู้สึกอยากรู้อยากเห็นเหมือนตอนที่เป็นเด็กอีก

ตั้งแต่เธออายุได้สิบขวบ อาจารย์ใหญ่ก็มักจะพาเธอตระเวนไปที่โรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์ต่างๆ

ไม่เพียงเท่านั้น ในทุกๆ ปียังหาเวลาพาเธอไปทัศนาจรต่างดินแดน อ้อ อิงตามคำศัพท์ยุคปัจจุบันก็ต้องเรียกว่า ‘ท่องเที่ยว’ สินะ เป็นการไป ‘ท่องเที่ยวต่างประเทศ’

ผู้อาวุโสทั้งสามคนตกตะลึง

ซย่าโหวโซ่วโพล่งขึ้นทันทีว่า “เยาเยา หนูจะปล่อยให้ความสามารถของตัวเองไร้ประโยชน์ไปทั้งแบบนี้น่ะเหรอ”

“มีความสามารถแล้วจำเป็นต้องใช้ด้วยเหรอคะ ที่หนูเรียนก็เพราะว่าชอบ เรียนเพื่อสร้างความสุขให้ตัวเองไม่พอเหรอคะ”

ผู้อาวุโสทั้งสามคน “…” ฟังดูสมเหตุสมผลมาก

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ หยวนเหยี่ยก็คิดหาเหตุผลที่จะเกลี้ยกล่อมให้เธอออกไปข้างนอกได้ เขาพูดอย่างตื่นเต้นว่า “เยาเยา อาจารย์ใหญ่มีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง หลานชายคนเล็กของเธอร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็ก เกือบจะเรียกได้ว่าหอบหายใจทุกๆ สามก้าวและไอหนักทุกๆ ห้าก้าว แต่ไม่ว่าจะใช้เครื่องมือแพทย์ทันสมัยแค่ไหนก็ไม่สามารถหาตรวจหาต้นตอของโรคได้”

มู่เถาเยาเริ่มสนใจ “อาจารย์ใหญ่เคยตรวจให้เขามาก่อนด้วยเหรอคะ”

“เคยสิ เขาไม่ได้ป่วยจริงๆ แต่ร่างกายอ่อนแอมาก พยายามปรับและฟื้นฟูแล้วก็ไม่ดีขึ้น อาจารย์ศึกษาการแพทย์มาทั้งชีวิต อยู่ต่อหน้าเคสนี้ยังต้องกุมขมับเพราะทำอะไรไม่ได้”

“ส่งเขามาให้หนูศึกษาหน่อย” หนูขาวยิ่งเยอะยิ่งดี

“…คือว่าร่างกายเขาอ่อนแอมาก เดินทางไกลไม่ได้ และสถานะของเขาเองก็พิเศษ คนในครอบครัวเขาคงไม่วางใจให้เขาออกมาข้างนอก”

มู่เถาเยารู้สึกยุ่งยากใจเล็กน้อย

เมื่อเห็นว่าเธอเริ่มใจเต้น หยวนเหยี่ยก็รีบระงับความยินดีของตัวเอง ตีเหล็กตอนร้อนและพูดต่อไปว่า “เยาเยา แม้ว่าทักษะทางการแพทย์และทักษะยุทธของเอ็งจะอยู่เหนือกว่าพวกอาจารย์ไปแล้ว แต่ก็ยังมีวิชาอีกมากมาย เช่น ชีววิทยาและเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ที่เอ็งชอบ วัฒนธรรมที่กว้างขวางและลึกซึ้งของประเทศเหยียนหวงนั้นคุ้มค่าที่จะเอ็งออกไปสัมผัสนะ”

ซย่าโหวโซ่วพยักหน้าเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว “อาจารย์ใหญ่ของหนูพูดถูก แม้แต่ประเภทของศิลปะการต่อสู้ แต่ละประเทศก็มีจุดแข็งของตัวเอง และยังมีอาวุธที่ทรงพลังมาก”

หยวนเหยี่ย “…” อาวุธพวกนั้นอยากดูก็ดูได้ อยากใช้ก็ใช้ได้เลยรึไง!

อาจารย์แม่เล็ก “…”

เอาเถอะ นอกจากเรื่องศิลปะการต่อสู้แล้ว ตาเฒ่าบ้านเธอเรียกได้คำเดียวว่าสมองทึบ!

ดังนั้น เธอจึงทำได้เพียงช่วยเสริมคำอธิบายของเขา “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือข้างนอกมีอาหารอร่อยทุกชนิด! เยาเยา ยังมีอีกหลายอย่างนักที่หนูยังไม่เคยได้ลิ้มลอง”

“ตกลงค่ะ”

มู่เถาเยาหวั่นไหวเข้าให้แล้ว มีคนป่วยและมีอาหารดีๆ เยี่ยมไปเลย

ทั้งสามคนดีใจสุดขีด

หยวนเหยี่ยรีบถามออกไปทันที “เอ็งอยากเข้าเรียนคณะอะไร”

ซย่าโหวโซ่ว “การแพทย์คลินิกมั้ย”

อาจารย์แม่เล็ก “แล้ววิทยาศาสตร์ชีวภาพล่ะ”

พวกเขาทั้งสามคนรู้สึกประหม่ามาก เหมือนกับพ่อแม่ที่เฝ้าดูลูกที่กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยกรอกชื่อคณะของตัวเอง

มู่เถาเยาค่อยๆ โพล่งคำสามคำออกมา “นิติเวชศาสตร์” ถือโอกาสศึกษากฎหมายไปด้วยเลย

ทั้งสามคนตอบอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ตกลง”

ไม่ว่าเธอต้องการเรียนคณะอะไร พวกเขาก็จะตอบตกลง สิ่งที่สำคัญคือขอเพียงเธอออกไปข้างนอก ไม่ว่าจะสาขาวิชาอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น

หยวนเหยี่ย “แล้วเอ็งอยากไปที่เมืองหลวงหรือว่าเจียงตูล่ะ หรือว่าจะไปที่เมืองเย่ว์ตู ไปที่เย่ว์ตูเป็นไง ที่นั่นเป็นศูนย์รวมและใจกลางของสาขาวิชาแพทย์ นักเรียนแพทย์ทุกคนล้วนมองที่นั่นเป็นหอเกียรติยศกันทั้งนั้น อีกอย่างผู้ป่วยคนที่พวกเราพูดถึงกันก่อนหน้านี้ก็กำลังพักฟื้นอยู่ที่เย่ว์ตูด้วย”

ซย่าโหวโซ่วพยักหน้า “สภาพอากาศในเมืองเย่ว์ตูนั้นให้ความรู้สึกที่สบายที่สุดต่อร่างกายของมนุษย์ ดังนั้นมันจึงเป็นเมืองที่เหมาะสมยิ่งแก่การตั้งรกรากในประเทศเหยียนหวง พวกคนร่ำรวยมักจะชอบไปพักร้อนหรือไปสร้างบ้านพักอาศัยกันอยู่ที่นั่น แม้แต่พื้นที่บริเวณรอบๆ ก็มีราคาแพงมาก หากคิดจะซื้อบ้านสักหลังที่นั่น ต่อให้ตอนนี้ในมือมีเงินเป็นกอบเป็นกำก็ไม่สามารถหาซื้อได้”

อาจารย์แม่เล็กยิ้มพลางพูดว่า “ที่สำคัญเมืองเย่ว์ตูยังได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองแห่งอาหารอร่อย ทำเลที่ตั้งก็สมบูรณ์แบบ ตั้งอยู่ใจกลางของประเทศเหยียนหวง ไม่ว่าหนูต้องการไปเมืองไหนก็สะดวกสบายสุดๆ”

มู่เถาเยาร้องอืมออกมาคำหนึ่ง ท่าทีพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด

ทั้งสามคนลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก และความกังวลของพวกเขาก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง

“ถ้าเช่นนั้นอาจารย์จะติดต่ออาจารย์อาเล็กของเอ็งเดี๋ยวนี้ และพรุ่งนี้ก็ออกเดินทางได้เลย” ป้องกันราตรียิ่งยาวนานความฝันก็ยิ่งเยอะ [1]

ซย่าโหวโซ่วพูดอย่างร่าเริงว่า “จะว่าไปใกล้เปิดเรียนแล้วด้วยนี่นะ”

ลูกของบ้านอื่นมีแต่ไม่ยอมอยู่ติดบ้านเอาแต่ไปเที่ยวเล่นข้างนอกทั้งวันจนทำให้ผู้ปกครองรู้สึกปวดหัว แต่เด็กน้อยบ้านเขากลับต้องหาอะไรมาหลอกล่อก่อนถึงจะยอมออกไปข้างนอก

แม้ว่าพวกเขาจะต้องการให้เด็กน้อยที่พวกเขาเลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออกอยู่ข้างกาย แต่ในฐานะผู้ปกครอง ใครบ้างที่อยากจะเหนี่ยวรั้งอนาคตลูกของตัวเอง

“เยาเยา อาจารย์แม่ไปช่วยหนูเก็บของนะ”

หยวนเหยี่ยรีบเอ่ยเตือนขึ้น “เยาเยา เอ็งอย่าลืมเอาชุดตัวน้อยติดตัวไปด้วยล่ะ”

ชุดตัวน้อยที่ว่านี้หมายถึงชุดที่เธอสวมใส่เมื่อตอนที่หยวนเหยี่ยเก็บเธอได้ นอกจากเสื้อผ้าชุดนี้แล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกถึงตัวตนของเธอได้อีก

“ไม่จำเป็น”

เธอเข้าใจว่าอาจารย์ใหญ่หมายถึงอะไร แต่เธอไม่ได้คาดหวังถึงพ่อแม่

ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด จงใจนำมาโยนทิ้งหรืออะไรก็ช่าง เธอไม่อยากรู้

ตอนนี้เธอมีชีวิตที่ดีแล้วและไม่ได้มีความคิดที่อยากจะเปลี่ยนแปลงมัน

หยวนเหยี่ยเองก็ไม่ได้ดึงดัน

ครอบครัวเดิมของเจ้าลูกศิษย์ตัวน้อยไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นใครจะอุ้มเด็กทารกไปที่ป่าดึกดำบรรพ์ได้ล่ะ ต้องเป็นศัตรูหรือไม่ก็คนที่มีความแค้นกับครอบครัวเดิมของเธอลอบขโมยเธอออกมาแล้วนำเธอไปโยนทิ้ง!

ใครจะรู้ว่าตอนนี้ยังมีอันตรายอะไรเหลืออยู่หรือเปล่า!

เป็นความจริงที่ว่าทักษะวรยุทธ์ของลูกศิษย์ตัวน้อยแข็งแกร่งมาก แต่เธออาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ในภูเขามาตั้งแต่ยังเด็ก มีนิสัยที่บริสุทธิ์และอ่อนต่อโลก เขากลัวว่าเธอจะถูกคนนอกหลอกและวางแผนเล่นงานเอา

เนื่องจากลูกศิษย์ตัวน้อยไม่ต้องการตามหาครอบครัวของเธอ เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปจู้จี้จุกจิก

มู่เถาเยาผู้มีอุปนิสัย ‘บริสุทธิ์และอ่อนต่อโลก’ ไม่รู้ความคิดของอาจารย์ใหญ่ของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่อย่างนั้นเธอคงจะตอบเขากลับไปแล้วว่า มีเพียงเธอเท่านั้นที่มีสิทธิ์วางแผนเล่นงานผู้อื่น!

แน่นอนว่าไม่มีใครหรือสิ่งใดที่คู่ควรกับการวางแผนการของเธอ

มู่เถาเยาเดินเข้าไปในห้องนอนของเธอโดยช่วยประคองแขนอาจารย์แม่เล็กไปด้วย สิ่งที่เธอยัดใส่กระเป๋าเดินทางมีเสื้อผ้าสองชุด แล็ปทอป และหนังสือกฎหมายที่เธอยังอ่านไม่จบ

หลังเก็บของเสร็จกระเป๋าเดินทางยังว่างอยู่อีกครึ่งหนึ่ง

อาจารย์แม่เล็ก “…” รู้สึกเหมือนกับว่าไม่ใช่ออกไปเรียนสองสามเดือน แต่เหมือนไปเที่ยวเล่นสองสามวันแทน

“เยาเยา จะเอาของติดตัวไปแค่นี้จริงเหรอ”

“อาจารย์แม่เล็กคะ เท่านี้ก็พอให้ซักเปลี่ยนแล้ว” มู่เถาเยากะพริบดวงตากลมโต

อาจารย์แม่เล็กรู้สึกปวดใจยิ่งนัก

เด็กผู้หญิงบ้านอื่นคนไหนบ้างที่ในบ้านไม่มีชุดเสื้อผ้าเต็มตู้และเครื่องสำอางประทินผิว

โธ่ เด็กน้อยผู้น่าสงสารของเธอ…

“เยาเยา ตามอาจารย์แม่มาสักประเดี๋ยว”

มู่เถาเยาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอประคองแขนอาจารย์แม่เล็กและเดินไปที่ห้องถัดไป

อาจารย์แม่เล็กหยิบบัตรใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าและวางมันบนฝ่ามือของมู่เถาเยา

“เยาเยาเอ๋ย อยู่ข้างนอกไม่เหมือนกับอยู่ที่บ้าน ใดๆ ล้วนแต่ต้องใช้เงิน แต่เรามีเงิน ดังนั้นจะกินอะไรก็ได้ ซื้ออะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องประหยัด”

มู่เถาเยาชำเลืองมองไปที่บัตรธนาคารในมือของเธอและยิ้มเล็กน้อย “อาจารย์แม่คะ คุณลืมไปแล้วเหรอว่าเงินของหนูน่ะยังมากกว่าในบัตรของอาจารย์ทั้งสองคนรวมกันเสียอีก”

เธอรับงานแก้ปัญหานับไม่ถ้วนบนแพลตฟอร์มหนึ่งๆ และค่าคอมมิชชั่นเพียงครั้งเดียวก็มากเสียจนหลายคนอาจไม่เคยได้รับมันตลอดทั้งชีวิต นอกจากนี้เธอยังเปิดร้านค้าออนไลน์เพื่อขายยาลดน้ำหนัก ยาปลูกผม ยาเร่งผิวขาว ฯลฯ

ในส่วนของเงินปันผลหมู่บ้านเธอก็ได้รับมาเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากไม้จันทน์หอมและไม้กฤษณาสามารถโตเต็มวัยและผลิตกลิ่นหอมได้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการแทรกแซงของยาสมุนไพรที่เธอปรุงขึ้น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว น้ำมันหอมระเหยจากไม้จันทน์และไม้กฤษณาก็เป็นอีกหนึ่งในหลายๆ ผลงานที่เธอพัฒนาขึ้น

เรียกว่าเงินทองไหลมาเทมาเข้ากระเป๋าทุกวันยังเป็นการถ่อมตัวไปเลย

ส่วนอาจารย์ทั้งสองคนของเธอ คนหนึ่งหลงใหลในวิชาแพทย์ และอีกคนก็เป็นพวกที่คลั่งไคล้ในการฝึกวรยุทธ์ พวกเขาไม่กระตือรือร้นในการหาเงิน มุ่งเน้นแต่จะเรียนในสิ่งที่พวกเขารัก

เธอแตกต่างออกไป

ด้วยประสบการณ์ส่วนตัวจากกลียุค เธอรู้ว่าเงินมีความสำคัญมากไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ตาม

[1] ราตรียิ่งยาวนานความฝันยิ่งเยอะ หมายถึง ถ้าเรื่องราวยังยื้ดเยื้อออกไปอาจมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น