ตอนที่ 4 การต่อสู้ครั้งแรกของผู้กล้ารุ่นที่ 2

ผู้กล้าคนก่อนอยากจะเกษียณ

ผมชื่อ “อามากิ ไคโตะ” เป็นนักเรียน ม.ปลายปี 2 ของโรงเรียนทาคะมากาฮาร่า

ผมกล้าประกาศตัวเองเลยว่า

ผมเป็นแค่เด็กนักเรียนชายธรรมาดา 

แต่มีบางอย่างผิดพลาดจนทำให้ผมต้องมากลายเป็นผู้กล้า

เอาตามตรงเลยนะ 

ผมกลัวสุดๆเลยตอนนี้ 

มันอาจจะฟังดูบ้าที่ผมพูดอย่างงี้หลังจากที่รับตำแหน่งผู้กล้า 

 

แต่ก็นะ 

 

ผมยังสงสัยเลยทำไมจู่ๆผมถึงกลายมาเป็นผู้กล้าได้

ไม่สิ เพราะ ผมมีพลังมากมายกว่าคนในโลกนี้ 

ถ้าไม่ใช้ให้เกิดประโยชน์ก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรแล้วล่ะ

ผมรู้ หลังจากที่พวกเราได้รับการวัดระดับพลังเวทย์มนตร์แล้ว 

เรามีพลังเวทย์มากกว่าเอาจอมเวทย์วังหลวงมามัดรวมกันเสียอีก 

แต่พวกเขากับไม่อิจฉาพวกเราเลย 

กับยินดีกับพวกเราด้วยซ้ำ 

ผมได้ยินมาว่าถ้าพวกเราฝึกการใช้เวทย์มนต์ล่ะก็ในโลกนี้ก็ไม่มีใครสู้พวกเราได้แล้ว

นั้นและคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงสู้ 

เพราะผมมีพลัง

 

[ ท่านผู้กล้าคะ? ]

 

ในระหว่างที่ผมกำลังจมอยู่กับความคิดอยู่เงียบๆ

ก็มีเสียงเรียกมาจากข้างหลังผม

 

[ อืม. . ริเซ่ซัง ใช่มั้ยครับ ]

[ โปรดเรียกดิฉันว่า ริเซ่ เฉยๆ ด้วยค่ะ . . . ท่านกำลังชมพระจันทร์หรือคะ พระจันทร์วันนี้ช่างสวยงามจริงๆ ]

 

ริเซ่ซัง เธอเป็นอัศวินหญิงของอาณาจักรลัคซีเรียที่อัญเชิญพวกเรามา ท่ามกลางแสงจันทร์ 

ผมสีทองของเธอช่างเปร่งประกายเมื่อต้องแสงจันทร์

 

พระจันทร์สีน้ำเงิน. . . 

 

อย่างที่ ริเซ่ซังพูด 

ข้างหน้าผมมีพระจันทร์สีน้ำเงินกำลังส่องสว่างทามกลางราตรีที่มืดมิด 

ภาพแบบนี้หาชมไม่ได้ที่โลกของเราแน่ๆ 

มันเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนว่าที่ที่เราอยู่นั้นเป็นต่างโลกจริงๆ

 

[ นอนไม่หลับหรือคะ ]

[ อ่ะ. .  ทำไมคุณถึงรู้ ]

 

จากคำพูดของเธอ 

ผมซึ่งกำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดทำให้รู้สึกแปลกใจ

มันก็จริงอย่างที่เธอพูดนั้นแหละ

อาคาเนะ ซากุระ อากิระ และ ยาชิโระ 

ตอนนี้คงหลับกันหมดแล้ว 

มีแค่เราที่นอนไม่หลับ 

เลยต้องมาเดินเล่นในปราสาท

มันอาจจะเป็นเพราะหลังจากที่ได้รับการวัดระดับพลังเวทย์ 

ทำให้ผมเริ่มรับรู้กระแสพลังเวทย์ในตัว 

จนรู้สึกไม่สบายตัวนิดหน่อย 

ไม่สิ มันคงเป็นเพราะ. . . .

 

[ คุณทำหน้าตาเหมือนกับเด็กน้อยที่เฝ้าคอยวันเกิดของตัวเองเลยนะคะ ฮิฮิ ]

[ เอ๊ะ ]

 

อัศวินสาวผู้อยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ได้ยิ้มออกมา

 

[ เหมือนชั้นจะเดาถูกนะคะ ]

 

รอยยิ้มนั้นทำให้ผมรู้สึกหน้าแดงไปเลย

 

[ ก็นะครับ มีคนเคยบอก”เพราะนายมีพลัง เพราะงั้นเลยต้องออกไปสู้” คำพูดนี้มันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด แต่ในท้ายที่สุด ผมกลับรู้สึกตื่นเต้นมากกว่า คุณรู้มั้ยคำว่า “ผมเป็นผู้กล้า” มันเท่ขนาดใหน ผมเองก็อยากลองเป็นดูสักครั้ง ]

 

ถูกต้องแล้ว ผมตื่นเต้นมาก หลังจากโดนเรียกตัวมาเป็นผู้กล้าแบบงงๆ วันนี้พอได้เรียนการดึงดูดพลังธรรมชาติที่เรียกว่า”มานา” 

ผมได้แต่คิดถึงเวลาที่จะได้ลองใช้มันเร็วๆจริงๆ

มาเป็นผู้กล้าหรอ. . 

ช่วยโลกนะหรอ . . . . 

มันฟังดูยิ่งใหญ่

สิ่งที่คนธรรมดาไม่มีทางทำได้

ตอนนี้มันมากองอยุ่ตรงหน้าผมแล้ว

 

[ ผมคงเหมือนเด็กที่คิดฝันอยากจะเป็นผู้กล้า ผมคงดูแย่มากใช่มั้ยครับ ]

 

ผมสงสัยว่า เธอจะผิดหวังในตัวผมรึปล่าวนะ ในขณะที่ผมมองไปทางหญิงสาวด้วยความกังวล เธอกับหัวเราะเพียงเล็กๆ

 

[ คุณไม่ดูแย่หรอกค่ะ . . . เมื่อตอนเด็กๆ ใครๆก็เคยฝันถึงผู้กล้าบ้าง, อัศวินบ้าง , เพราะพวกเขาช่างดูสง่าและยิ่งใหญ่ “ฉันจะเป็นอัศวิน,ฉันจะเป็นผู้กล้า” ใครๆก็เคยโห่ร้องแบบนั้นออกมากันทั้งนั้น ]

 

ขณะที่มองไปยังดวงจันทร์ เธอก็เริ่มพูดต่อ

 

[ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาเป็นผู้กล้าหรืออัศวินเพราะแค่เคยเพียงโห่ร้องตอนเด็กๆ เมื่อ 3 ปีก่อน ดิชั้นได้พบกับท่านนักบุญ ผู้เคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงใหล่กับท่านผู้กล้า ถึงอย่างงั้นดิชั้นก็จำอะไรเกี่ยวกับท่านผู้กล้าไม่ได้มากนัก แต่ดิชั้นจำท่านนักบุญได้อย่างดีเลยค่ะ  ดิชั้นอยากทำอะไรที่เป็นประโยชน์ และคอยช่วยเหลือผู้คนแบบท่านนักบุญค่ะ ดังนั้นดิชั้นจึงตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นอัศวินและคอยปกป้องความอบอุ่นของผู้คน ]

 

เธอค่อยๆหันหน้ามาทางผม

 

[ ในตอนที่ดิชั้นยังเป็นอัศวินฝึกหัดหรือแม้กระทั้งในตอนนี้ ดิชั้นยังไม่เคยลืมความรู้สึกในตอนนั้นเลย ท่านผู้กล้าคะ ได้โปรดอย่าลืมความรู้สึกในตอนนี้เลยนะคะ โปรดรักษามันใว้ แล้วก้าวข้ามมันเพื่อมาเป็นผู้กล้าจริงๆด้วยเถิดค่ะ ]

 

เธอยิ้มออกมาหลังพูดจบ

ทันใดนั้น

ที่ด้านหลังของเธอ

มีบางอย่างโผล่มาอย่างรวดเร็ว 

 

[ นั้นใคร !! ]

 

เสียงของเธอจากอ่อนโยน 

จู่ๆก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดังอย่างไม่น่าเชื่อ

เหมือนเป็นการตอบสนองเสียงนั้น 

ก็มีไฟระเบิดออกมา. . 

 

[ หึหึหึ ช่างเป็นการต้อนรับที่น่ารังเกียจจริงๆ ทั้งที่ข้ามาที่นี่คนเดียวแท้ๆ]

 

มีอะไรบางอย่างออกมาจากเปลวไฟนั้น 

หญิงสาวผมยาวสีแดงเข้ม 

ผู้มีเส้นผมที่ดูราวกับแซ่ไฟ

มันคงจะดีอยู่หรอกนะถ้าหากมีแค่นี้ . . . 

แต่เพราะสีผิวที่ดูซีดของเธอกับดูสว่างขึ้นเมื่อต้องแสงจันทร์สีน้ำเงิน

 

[ พวกปีศาจ !! ]

 

ริเซ่ดึงดาบสองมือของเธอจากเอวทันทีหลังจากกล่าวคำพูดนั้นออกมา 

เพราะคำพูดของเธอ

ผมถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ

นั้นมันเผ่าปีศาจ

ผมถูกปกคลุมด้วยความรู้สึกไม่ดีขึ้นมาเมื่อมองไปที่สาวผมสีแดงเข้มตรงนั้น 

เหตุผลเหล่านั้นผมเข้าใจดี

เธอคือศัตรูของมนุษย์ชาติ 

พวกที่หวังจะกลืนกินโลก

 

[ ถูกต้อง ข้าคือ 1 ใน 6 จอมพลของกองทัพปีศาจที่รู้จักในนาม”เจ้าหญิงสงครามขวานเพลิง” ]

[ ระวังตัวให้ดีค่ะ ท่านผู้กล้า !! ]

 

ริเซ่จู่โจมทันที่ก่อนที่ปีศาจสาวจะพูดจบ 

ดาบของเธอเปร่งแสงออกมาจากการรวบรวมพลัง 

และฟาดฟันไปยังปีศาจสาว

 

[ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ฟันข้าในระหว่างที่ข้ากำลังพูดเนี้ยนะ หมดหวังขนาดนั้นเชียว ? ]

 

สิ่งที่ปรากฎออกมาท่ามกลางเปลวเพลิง

มันคือไฟของเธอก็เปลี่ยนเป็นง้าว 

และเธอเพียงหยุดการโจมตีนั้นด้วยมือข้างเดียว

 

[ เป็นไปไม่ได้ ดาบพลังเวทย์ของชั้น ]

 

ริเซ่ถึงกับเบิกตากว้างหลังจากท่าไม้ตายของเธออยู่หยุดอย่างง่ายดาย

 

[ กระจอก กระจอก กระจอกเกินไปแล้ว “เจ้านั้น” ยังหน้าโจมตีได้น่ากลัวกว่านี้มากนัก ทั้งๆที่ท่าเดียวกันแท้ๆ  ]

( เคล้ง )

 

เธอถอนดาบของเธอกลับมา 

เพื่อสร้างระยะห่าง

 

[ ข้าไม่ต้องการสู้กันแบบตายไปข้างตอนนี้ เพราะงั้นอยู่เงียบๆซะ ]

 

ดวงตาสีทองจ้องมาทางผมและริเซ่ และนั้นทำให้พวกเราขยับไม่ได้

 

[ อึก นี่มันโซ่ล่องหน แก. . .แกคือ”อัคนีร่าผู้ลงทัณฑ์”สินะ ]

 

ริเซ่พยายามท้าทายออกไปทั้งๆที่ร่างกายยังขยับไม่ได้

มันไม่ควรทำอย่างงั้นเลย

 

[ ชิ พวกแกชั่งหยาบคายจริงๆ มันเป็นชื่อที่พวกมนุษย์ชอบเรียกกัน หยุดเรียกแบบนั้นสักทีได้มั้ย พวกแกคิดว่าพวกแกอยู่ระดับเดียวกับข้างั้นรึ ]

 

บึม . . . 

มันเป็นเสียงของไฟถูกจุดขึ้น . . 

มันเป็นหัวของริเซ่ที่กำลังถูกไฟเผา

 

[ เอ๊ะ ]

[ มีเพียงคนเดียวที่ข้ายอมรับให้มันเรียกข้าแบบนั้นได้ บ้าเอ้ย , , นึกว่าจะได้สู้กับหมอนั้นอีกครั้งแท้ๆ อารมณ์เสียจริงๆ ]

 

ปีศาจสาวคนนั้นบ่นออกมาแบบเคืองๆ 

แล้วเธอก็จ้องมาที่หน้าของไคโตะ

นี่มันอะไรกัน . . . 

นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันวะครับ. . .

เสียงบางอย่างกลิ้งอยู่ข้างผม . . . 

พร้อมกับร่างไร้วิญญาณไร้หัวที่มีเลือดสดๆพุ่งมาถูกตัวผม. . . 

 

บ้า

บ้าเอ้ย

บ้าเอ้ยยยยยยยยยยย

บอกว่าจะปกป้องคนอื่นแท้ๆ. . 

บอกให้รักษาความรู้สึกนั้นไว้แท้ๆ. .  .

 

[ เห้ย แกตรงนั้น รู้จัก “ผู้กล้า” ใช่มั้ย ถ้าแกยังไม่อยากตายบอกมา มันอยู่ไหน ข้าจะไปหามันเอง ]

 

ผู้กล้า?

 

[ ไม่ได้ยินหรอวะ ไอ้มนุษย์ ]

 

ผู้กล้านี่ใคร ?

ผู้กล้าที่จัดการพวกปีศาจ. . .

ผู้กล้าที่ฆ่าจอมมารมันใครกัน. . . 

 

————————————–

 

[ เห้ย มองไปไหนของแก . . อ้อ แกเองก็อยากตายเหมือนกันสินะ ชิ ต้องมาสู้กับพวกแมลงวันก่อนเจอกับเจ้านั้น ช่างเสียปล่าวจริงๆ ]

 

ข้างหน้าข้ามีศพของอัศวินหญิง                                                                      

กับมนุษย์ที่กำลังสั่นและมองมาที่ข้าด้วยสายตาที่น่ากลัว

แต่ข้าก็ไม่ได้กลัวอะไรหรอกนะ 

มันเทียบกับจิตสังหารของเจ้านั้นไม่ติดฝุ่นเลย

เหมือนมันจะโกรธแหะ

พวกมนุษย์มันก็เหมือนกับขยะ 

เหมือนสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ

เจ้าแมลงวันคงจะโมโหมากสินะ 

ทำหน้าตาโหดซะขนาดนี้

ดีเหมือนกัน 

ฆ่ามันทิ้งเลยละกันจะได้รีบไปหา “เจ้านั้น” สักที

ขณะข้ากำลังคิดอยู่งั้น มุมมองข้าก็ถูกพลิกกลับ

 

[ อ๊ะ ]

 

เหมือนมุมมองข้าจะกลายเป็นเห็นท้องฟ้า 

แสงจันทร์สาดส่องมาที่ตัวข้า

เมื่อข้ามองไปข้างๆ ข้าเห็น ”ท่อนล่างของข้า” 

เอ๊ะ ดาบพลังเวทย์เรอะ เหมือนเจ้านั้นเลยไม่ใช่รึไง

มนุษย์คนนั้นกำลังแกว่งดาบที่เรืองแสงออกมาอยู่

 

[ โอ้ววว เอาเรื่องเหมือนกันนี่หว่า ]

 

ความหงุดหงิดของข้าถูกเป่าไปโดยสิ้นเชิง 

มันถูกเติมเต็มด้วยความตื่นเต้นจนร่างข้าสั่น. . 

เจ้าแมลงวัน 

มันสามารถทำแบบนี้ได้ด้วย

มนุษย์คนนั้นเก่งกว่าที่คาดไว้เยอะ 

อัคนีร่าเริ่มสนใจในตัวเขาบ้างแล้ว

 

[ ผู้กล้าที่แกพูดถึง คือผู้กล้าคนที่ก่อนน่ะหรอ? ]

[ หือ? ]

 

แม่ทัพปีศาจ 1 ใน 6 ผู้นำทัพปีศาจ 

ผู้ใต้บังคับบัญชาของจอมมาร 

กำลังเผชิญหน้ากับมนุษย์คนหนึ่งอยู่

 

[ ชั้นคือ”ผู้กล้า”คนปัจจุบัน อามากิ ไคโตะ!! จำใส่หัวเอาไว้ ชั้นคนนี้แหละจะกวาดล้างพวกแกให้หมดเอง!!! ]

 

ความเกลียดชังได้ถูกสลักลงในแววตาของเขาแล้ว

 

——————————

 

[ เหหหหห . .  แมลงวันอย่างแกเนี้ยนะ เป็นผู้กล้า ]

 

ท่อนบนของเธอกำลังหัวเราะราวกับเป็นเรื่องตลก

 

[ ขำอะไรของแก]

 

เพราะถูกครอบงำด้วยความโกรธ 

ทำให้ไคโตะไม่ทันสังเกตุเห็น 

มันไม่มีเลือดสักหยดจากร่างที่ถูกตัดออกจากกัน

 

[ ใช้ได้นี่.. สำหรับแก ]

 

รู้สึกตัวอีกที 

เสียงนั้นก็ดังมาจากข้างหลัง

 

[ อะไ-. .  .]

 

ทันในนั้น อัคนีร่าก็มีไฟท่วมร่างท่อนบน 

และได้หายไปเมื่อไฟดับลง

 

[ พวกเราเผ่าปีศาจมีชิวิตเป็นอมตะ ถ้ายังยั้งมืออยู่ แกจะตายเอานะ ]

 

ผมรู้สึกปวดแสบร้อนที่คอเหมือนกำลังถูกเผา ไม่สิ มันอยู่เผาอยู่จริงๆ

 

[ คุ อั๊กก- ]

[ ขวานไฟข้าเป็นยังไงบ้าง ขนาดมันยังไม่ถูกตัวแกเลยนะ ร้อนใช่มั้ยล้า ]

 

ใบมีดเพลิงค่อยเคลื่อนตรงมาที่คอของเขา

 

(ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ต้องถูกฆ่าแน่)

 

เปลวไฟที่แผดเผาผิวเขาทำให้เขาเห็นภาพหลอน 

ถ้าขวานไฟถูกตัวเขาเพียงน้อยนิด 

เขาจะถูกไฟคลอกจนตายแน่ๆ

 

[ มันต้องไม่ไช่แบบนี้ . . . ผมยังไม่อยากตาย ผมเป็นแค่เด็กนักเรียน . . . ผมไม่ใช่ผู้กล้า สักหน่อย . . ]

[ ฮ่าๆๆๆ แกมันไม่ใกล้เคียงกับเจ้านั้นเลยสักนิด ถ้าข้าทำได้แค่นี้จริงๆ เจ้านั้นคงข้าฆ่าได้สบาย ]

 

หลังจากพูดอย่างงั้น อัคนีร่าก็ดึงขวานกลับไป

 

[ แฮก ๆ ]

 

ความรู้สึกที่คอโดนแผดเผาหายไปพร้อมกับใบมีดนั้น

 

[ ท่านผู้กล้า !! ]

[ ไคโตะ!!! ]

[ ไม่เป็นไรนะ ไคโตะ !!! ]

[ ไคโตะซัง !!! ]

 

หลังจากความเจ็บปวดหายไป 

ผมก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย

เจ้าหญิงแห่งลัคซีเรีย”ไอริส แคลโร เอ ลัคซีเรีย”

เพื่อนสมัยเด็ก”อาคาเนะ” 

ที่ปรึกษาเคนโด้”ซากุยะ” 

และเพื่อนรักผม”อากิระ”

 

. . ..  ผมยังไม่ตาย ?

 

หลังจากได้ยินเสียงของทุกคน 

ความเจ็บปวดได้กลับมาอีกครั้ง

ใช่แล้วมันเจ็บ 

ความเจ็บมัน . . .

ผมยังมีชีวิตอยู่นี่เอง

 

—————————–

 

[ เห้อ ชั่งกระจอกเสียจริง ข้าอุส่ามาที่นี่ ก็นึกว่าจะได้เจอเจ้านั้นแท้ๆดันเป็นคนละคนซะได้ ]

 

อัคนีร่าพาดขวานของเธอบนบ่าและมองลงมาผู้กล้ารุ่น2 ที่นอนกองอยู่ที่พื้น

 

[ จะมาแทนเขางั้นหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีใครแทนเจ้านั้นได้ . . . ยูยะ ]

 

เธอเก็บขวานไฟพร้อมกับหัวเราะเล็กๆ

ยาระ ยาระ ยาระ ยาระ (เสียงโซ่พันรอบตัว)

 

[ โอ้ว ]

 

เหมือนกับว่ากำลังรอให้เธอเก็บอาวุธอยู่ 

ทันใดนั้นก็มีโซ่มาพันรอบตัวเธอทันที

 

[ หืออ นี่มัน ลิ่มของซีเรียส,กิปเนียล นอกจากข้าแล้ว พวกราชวงค์ก็มีคนใช้เวทย์ชั้นสูงได้ด้วยรึนี่ ]

[ ใช่ค่ะ จะรัดคุณให้ตายไปเลยก็ย่อมทำได้ .. . เพราะงั้นตอบคำถามมา อับดับแรก บอกชื่อคุณมา แล้วบอกมาด้วยว่า ปีศาจอย่างคุณมาทำอะไรที่นี่กันคะ ]

 

คนที่ยื่นมือขวาออกมาขณะที่ผมสีทองปลิวไสว”เจ้าหญิงแห่งลัคซีเรีย”และจ้องไปทางอัคนีร่าด้วยสายตาที่แข็งกร้าว

อัคนีร่าตอบคำถามของเจ้าหญิงด้วยท่าทีสบายๆในทันที

 

[ ข้าชื่อเฟรม หรือรู้จักในชื่อ”เจ้าหญิงสงครามขวานเพลิง” ไม่ต้องห่วง ข้าไม่คิดจะเริ่มสงครามหรอก ข้าแค่อยากจะมาแลกหมัดกับผู้กล้ามันก็แค่เท่านั้น ]

 

ความร้อนรนเริ่มปรากฎบนใบหน้าของเธอหลังจากได้ยินคำตอบของอัคนีร่า

 

[ คิดว่าข้าไม่รู้สึกถึงการอัญเชิญผู้กล้างั้นรึ ช่างเถอะข้าไม่สนใจหรอก เพราะเจ้านี่มันต่างจากผู้กล้าที่ข้าจะสู้ด้วย คนที่ข้าจะสู้ด้วย คือ “ยูยะ ชิโระ” มันก็แค่นั้น ]

 

ระหว่างที่เธอกำลังจะพูดจบ ลิ่มแห่งซีเรียสก็ได้รัดแน่นขึ้นไปถึงคอ

 

[ ผู้นำของกองทัพจอมมาร “6ดาบขุนพล” ที่นี่และแกจะต้อง— ]

 

เจ้าหญิงกำลังพยายามจะสังหารอัคนีร่า แต่ว่า . .

 

[ ปัญญาอ่อนจริง. . . ที่ข้ามาถึงจุดสูงสุดได้ เพราะข้าแข็งแกร็งและไม่มีวันตายไงล่ะ จำใส่หัวเอาไว้ด้วย  ]

 

ลิ่มแห่งซีเรียสถูกเผาหายไปในทันที

 

[ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ฝากไปบอกผู้กล้ารุ่น 2 ด้วยว่า จงแข็งแกร็งขึ้นกว่านี้ซะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า แล้วข้าจะตั้งตารอวันนั้นเอาไว้เลย ]

 

ในขณะที่พูด อัคนีร่าก็หายไปในเปลวไฟโดยที่ไม่มีใครหยุดเธอได้เลย