ผมชื่อ “อามากิ ไคโตะ” เป็นนักเรียน ม.ปลายปี 2 ของโรงเรียนทาคะมากาฮาร่า
ผมกล้าประกาศตัวเองเลยว่า
ผมเป็นแค่เด็กนักเรียนชายธรรมาดา
แต่มีบางอย่างผิดพลาดจนทำให้ผมต้องมากลายเป็นผู้กล้า
เอาตามตรงเลยนะ
ผมกลัวสุดๆเลยตอนนี้
มันอาจจะฟังดูบ้าที่ผมพูดอย่างงี้หลังจากที่รับตำแหน่งผู้กล้า
แต่ก็นะ
ผมยังสงสัยเลยทำไมจู่ๆผมถึงกลายมาเป็นผู้กล้าได้
ไม่สิ เพราะ ผมมีพลังมากมายกว่าคนในโลกนี้
ถ้าไม่ใช้ให้เกิดประโยชน์ก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรแล้วล่ะ
ผมรู้ หลังจากที่พวกเราได้รับการวัดระดับพลังเวทย์มนตร์แล้ว
เรามีพลังเวทย์มากกว่าเอาจอมเวทย์วังหลวงมามัดรวมกันเสียอีก
แต่พวกเขากับไม่อิจฉาพวกเราเลย
กับยินดีกับพวกเราด้วยซ้ำ
ผมได้ยินมาว่าถ้าพวกเราฝึกการใช้เวทย์มนต์ล่ะก็ในโลกนี้ก็ไม่มีใครสู้พวกเราได้แล้ว
นั้นและคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงสู้
เพราะผมมีพลัง
[ ท่านผู้กล้าคะ? ]
ในระหว่างที่ผมกำลังจมอยู่กับความคิดอยู่เงียบๆ
ก็มีเสียงเรียกมาจากข้างหลังผม
[ อืม. . ริเซ่ซัง ใช่มั้ยครับ ]
[ โปรดเรียกดิฉันว่า ริเซ่ เฉยๆ ด้วยค่ะ . . . ท่านกำลังชมพระจันทร์หรือคะ พระจันทร์วันนี้ช่างสวยงามจริงๆ ]
ริเซ่ซัง เธอเป็นอัศวินหญิงของอาณาจักรลัคซีเรียที่อัญเชิญพวกเรามา ท่ามกลางแสงจันทร์
ผมสีทองของเธอช่างเปร่งประกายเมื่อต้องแสงจันทร์
พระจันทร์สีน้ำเงิน. . .
อย่างที่ ริเซ่ซังพูด
ข้างหน้าผมมีพระจันทร์สีน้ำเงินกำลังส่องสว่างทามกลางราตรีที่มืดมิด
ภาพแบบนี้หาชมไม่ได้ที่โลกของเราแน่ๆ
มันเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนว่าที่ที่เราอยู่นั้นเป็นต่างโลกจริงๆ
[ นอนไม่หลับหรือคะ ]
[ อ่ะ. . ทำไมคุณถึงรู้ ]
จากคำพูดของเธอ
ผมซึ่งกำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดทำให้รู้สึกแปลกใจ
มันก็จริงอย่างที่เธอพูดนั้นแหละ
อาคาเนะ ซากุระ อากิระ และ ยาชิโระ
ตอนนี้คงหลับกันหมดแล้ว
มีแค่เราที่นอนไม่หลับ
เลยต้องมาเดินเล่นในปราสาท
มันอาจจะเป็นเพราะหลังจากที่ได้รับการวัดระดับพลังเวทย์
ทำให้ผมเริ่มรับรู้กระแสพลังเวทย์ในตัว
จนรู้สึกไม่สบายตัวนิดหน่อย
ไม่สิ มันคงเป็นเพราะ. . . .
[ คุณทำหน้าตาเหมือนกับเด็กน้อยที่เฝ้าคอยวันเกิดของตัวเองเลยนะคะ ฮิฮิ ]
[ เอ๊ะ ]
อัศวินสาวผู้อยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ได้ยิ้มออกมา
[ เหมือนชั้นจะเดาถูกนะคะ ]
รอยยิ้มนั้นทำให้ผมรู้สึกหน้าแดงไปเลย
[ ก็นะครับ มีคนเคยบอก”เพราะนายมีพลัง เพราะงั้นเลยต้องออกไปสู้” คำพูดนี้มันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด แต่ในท้ายที่สุด ผมกลับรู้สึกตื่นเต้นมากกว่า คุณรู้มั้ยคำว่า “ผมเป็นผู้กล้า” มันเท่ขนาดใหน ผมเองก็อยากลองเป็นดูสักครั้ง ]
ถูกต้องแล้ว ผมตื่นเต้นมาก หลังจากโดนเรียกตัวมาเป็นผู้กล้าแบบงงๆ วันนี้พอได้เรียนการดึงดูดพลังธรรมชาติที่เรียกว่า”มานา”
ผมได้แต่คิดถึงเวลาที่จะได้ลองใช้มันเร็วๆจริงๆ
มาเป็นผู้กล้าหรอ. .
ช่วยโลกนะหรอ . . . .
มันฟังดูยิ่งใหญ่
สิ่งที่คนธรรมดาไม่มีทางทำได้
ตอนนี้มันมากองอยุ่ตรงหน้าผมแล้ว
[ ผมคงเหมือนเด็กที่คิดฝันอยากจะเป็นผู้กล้า ผมคงดูแย่มากใช่มั้ยครับ ]
ผมสงสัยว่า เธอจะผิดหวังในตัวผมรึปล่าวนะ ในขณะที่ผมมองไปทางหญิงสาวด้วยความกังวล เธอกับหัวเราะเพียงเล็กๆ
[ คุณไม่ดูแย่หรอกค่ะ . . . เมื่อตอนเด็กๆ ใครๆก็เคยฝันถึงผู้กล้าบ้าง, อัศวินบ้าง , เพราะพวกเขาช่างดูสง่าและยิ่งใหญ่ “ฉันจะเป็นอัศวิน,ฉันจะเป็นผู้กล้า” ใครๆก็เคยโห่ร้องแบบนั้นออกมากันทั้งนั้น ]
ขณะที่มองไปยังดวงจันทร์ เธอก็เริ่มพูดต่อ
[ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาเป็นผู้กล้าหรืออัศวินเพราะแค่เคยเพียงโห่ร้องตอนเด็กๆ เมื่อ 3 ปีก่อน ดิชั้นได้พบกับท่านนักบุญ ผู้เคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงใหล่กับท่านผู้กล้า ถึงอย่างงั้นดิชั้นก็จำอะไรเกี่ยวกับท่านผู้กล้าไม่ได้มากนัก แต่ดิชั้นจำท่านนักบุญได้อย่างดีเลยค่ะ ดิชั้นอยากทำอะไรที่เป็นประโยชน์ และคอยช่วยเหลือผู้คนแบบท่านนักบุญค่ะ ดังนั้นดิชั้นจึงตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นอัศวินและคอยปกป้องความอบอุ่นของผู้คน ]
เธอค่อยๆหันหน้ามาทางผม
[ ในตอนที่ดิชั้นยังเป็นอัศวินฝึกหัดหรือแม้กระทั้งในตอนนี้ ดิชั้นยังไม่เคยลืมความรู้สึกในตอนนั้นเลย ท่านผู้กล้าคะ ได้โปรดอย่าลืมความรู้สึกในตอนนี้เลยนะคะ โปรดรักษามันใว้ แล้วก้าวข้ามมันเพื่อมาเป็นผู้กล้าจริงๆด้วยเถิดค่ะ ]
เธอยิ้มออกมาหลังพูดจบ
ทันใดนั้น
ที่ด้านหลังของเธอ
มีบางอย่างโผล่มาอย่างรวดเร็ว
[ นั้นใคร !! ]
เสียงของเธอจากอ่อนโยน
จู่ๆก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดังอย่างไม่น่าเชื่อ
เหมือนเป็นการตอบสนองเสียงนั้น
ก็มีไฟระเบิดออกมา. .
[ หึหึหึ ช่างเป็นการต้อนรับที่น่ารังเกียจจริงๆ ทั้งที่ข้ามาที่นี่คนเดียวแท้ๆ]
มีอะไรบางอย่างออกมาจากเปลวไฟนั้น
หญิงสาวผมยาวสีแดงเข้ม
ผู้มีเส้นผมที่ดูราวกับแซ่ไฟ
มันคงจะดีอยู่หรอกนะถ้าหากมีแค่นี้ . . .
แต่เพราะสีผิวที่ดูซีดของเธอกับดูสว่างขึ้นเมื่อต้องแสงจันทร์สีน้ำเงิน
[ พวกปีศาจ !! ]
ริเซ่ดึงดาบสองมือของเธอจากเอวทันทีหลังจากกล่าวคำพูดนั้นออกมา
เพราะคำพูดของเธอ
ผมถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ
นั้นมันเผ่าปีศาจ
ผมถูกปกคลุมด้วยความรู้สึกไม่ดีขึ้นมาเมื่อมองไปที่สาวผมสีแดงเข้มตรงนั้น
เหตุผลเหล่านั้นผมเข้าใจดี
เธอคือศัตรูของมนุษย์ชาติ
พวกที่หวังจะกลืนกินโลก
[ ถูกต้อง ข้าคือ 1 ใน 6 จอมพลของกองทัพปีศาจที่รู้จักในนาม”เจ้าหญิงสงครามขวานเพลิง” ]
[ ระวังตัวให้ดีค่ะ ท่านผู้กล้า !! ]
ริเซ่จู่โจมทันที่ก่อนที่ปีศาจสาวจะพูดจบ
ดาบของเธอเปร่งแสงออกมาจากการรวบรวมพลัง
และฟาดฟันไปยังปีศาจสาว
[ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ฟันข้าในระหว่างที่ข้ากำลังพูดเนี้ยนะ หมดหวังขนาดนั้นเชียว ? ]
สิ่งที่ปรากฎออกมาท่ามกลางเปลวเพลิง
มันคือไฟของเธอก็เปลี่ยนเป็นง้าว
และเธอเพียงหยุดการโจมตีนั้นด้วยมือข้างเดียว
[ เป็นไปไม่ได้ ดาบพลังเวทย์ของชั้น ]
ริเซ่ถึงกับเบิกตากว้างหลังจากท่าไม้ตายของเธออยู่หยุดอย่างง่ายดาย
[ กระจอก กระจอก กระจอกเกินไปแล้ว “เจ้านั้น” ยังหน้าโจมตีได้น่ากลัวกว่านี้มากนัก ทั้งๆที่ท่าเดียวกันแท้ๆ ]
( เคล้ง )
เธอถอนดาบของเธอกลับมา
เพื่อสร้างระยะห่าง
[ ข้าไม่ต้องการสู้กันแบบตายไปข้างตอนนี้ เพราะงั้นอยู่เงียบๆซะ ]
ดวงตาสีทองจ้องมาทางผมและริเซ่ และนั้นทำให้พวกเราขยับไม่ได้
[ อึก นี่มันโซ่ล่องหน แก. . .แกคือ”อัคนีร่าผู้ลงทัณฑ์”สินะ ]
ริเซ่พยายามท้าทายออกไปทั้งๆที่ร่างกายยังขยับไม่ได้
มันไม่ควรทำอย่างงั้นเลย
[ ชิ พวกแกชั่งหยาบคายจริงๆ มันเป็นชื่อที่พวกมนุษย์ชอบเรียกกัน หยุดเรียกแบบนั้นสักทีได้มั้ย พวกแกคิดว่าพวกแกอยู่ระดับเดียวกับข้างั้นรึ ]
บึม . . .
มันเป็นเสียงของไฟถูกจุดขึ้น . .
มันเป็นหัวของริเซ่ที่กำลังถูกไฟเผา
[ เอ๊ะ ]
[ มีเพียงคนเดียวที่ข้ายอมรับให้มันเรียกข้าแบบนั้นได้ บ้าเอ้ย , , นึกว่าจะได้สู้กับหมอนั้นอีกครั้งแท้ๆ อารมณ์เสียจริงๆ ]
ปีศาจสาวคนนั้นบ่นออกมาแบบเคืองๆ
แล้วเธอก็จ้องมาที่หน้าของไคโตะ
นี่มันอะไรกัน . . .
นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันวะครับ. . .
เสียงบางอย่างกลิ้งอยู่ข้างผม . . .
พร้อมกับร่างไร้วิญญาณไร้หัวที่มีเลือดสดๆพุ่งมาถูกตัวผม. . .
บ้า
บ้าเอ้ย
บ้าเอ้ยยยยยยยยยยย
บอกว่าจะปกป้องคนอื่นแท้ๆ. .
บอกให้รักษาความรู้สึกนั้นไว้แท้ๆ. . .
[ เห้ย แกตรงนั้น รู้จัก “ผู้กล้า” ใช่มั้ย ถ้าแกยังไม่อยากตายบอกมา มันอยู่ไหน ข้าจะไปหามันเอง ]
ผู้กล้า?
[ ไม่ได้ยินหรอวะ ไอ้มนุษย์ ]
ผู้กล้านี่ใคร ?
ผู้กล้าที่จัดการพวกปีศาจ. . .
ผู้กล้าที่ฆ่าจอมมารมันใครกัน. . .
————————————–
[ เห้ย มองไปไหนของแก . . อ้อ แกเองก็อยากตายเหมือนกันสินะ ชิ ต้องมาสู้กับพวกแมลงวันก่อนเจอกับเจ้านั้น ช่างเสียปล่าวจริงๆ ]
ข้างหน้าข้ามีศพของอัศวินหญิง
กับมนุษย์ที่กำลังสั่นและมองมาที่ข้าด้วยสายตาที่น่ากลัว
แต่ข้าก็ไม่ได้กลัวอะไรหรอกนะ
มันเทียบกับจิตสังหารของเจ้านั้นไม่ติดฝุ่นเลย
เหมือนมันจะโกรธแหะ
พวกมนุษย์มันก็เหมือนกับขยะ
เหมือนสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ
เจ้าแมลงวันคงจะโมโหมากสินะ
ทำหน้าตาโหดซะขนาดนี้
ดีเหมือนกัน
ฆ่ามันทิ้งเลยละกันจะได้รีบไปหา “เจ้านั้น” สักที
ขณะข้ากำลังคิดอยู่งั้น มุมมองข้าก็ถูกพลิกกลับ
[ อ๊ะ ]
เหมือนมุมมองข้าจะกลายเป็นเห็นท้องฟ้า
แสงจันทร์สาดส่องมาที่ตัวข้า
เมื่อข้ามองไปข้างๆ ข้าเห็น ”ท่อนล่างของข้า”
เอ๊ะ ดาบพลังเวทย์เรอะ เหมือนเจ้านั้นเลยไม่ใช่รึไง
มนุษย์คนนั้นกำลังแกว่งดาบที่เรืองแสงออกมาอยู่
[ โอ้ววว เอาเรื่องเหมือนกันนี่หว่า ]
ความหงุดหงิดของข้าถูกเป่าไปโดยสิ้นเชิง
มันถูกเติมเต็มด้วยความตื่นเต้นจนร่างข้าสั่น. .
เจ้าแมลงวัน
มันสามารถทำแบบนี้ได้ด้วย
มนุษย์คนนั้นเก่งกว่าที่คาดไว้เยอะ
อัคนีร่าเริ่มสนใจในตัวเขาบ้างแล้ว
[ ผู้กล้าที่แกพูดถึง คือผู้กล้าคนที่ก่อนน่ะหรอ? ]
[ หือ? ]
แม่ทัพปีศาจ 1 ใน 6 ผู้นำทัพปีศาจ
ผู้ใต้บังคับบัญชาของจอมมาร
กำลังเผชิญหน้ากับมนุษย์คนหนึ่งอยู่
[ ชั้นคือ”ผู้กล้า”คนปัจจุบัน อามากิ ไคโตะ!! จำใส่หัวเอาไว้ ชั้นคนนี้แหละจะกวาดล้างพวกแกให้หมดเอง!!! ]
ความเกลียดชังได้ถูกสลักลงในแววตาของเขาแล้ว
——————————
[ เหหหหห . . แมลงวันอย่างแกเนี้ยนะ เป็นผู้กล้า ]
ท่อนบนของเธอกำลังหัวเราะราวกับเป็นเรื่องตลก
[ ขำอะไรของแก]
เพราะถูกครอบงำด้วยความโกรธ
ทำให้ไคโตะไม่ทันสังเกตุเห็น
มันไม่มีเลือดสักหยดจากร่างที่ถูกตัดออกจากกัน
[ ใช้ได้นี่.. สำหรับแก ]
รู้สึกตัวอีกที
เสียงนั้นก็ดังมาจากข้างหลัง
[ อะไ-. . .]
ทันในนั้น อัคนีร่าก็มีไฟท่วมร่างท่อนบน
และได้หายไปเมื่อไฟดับลง
[ พวกเราเผ่าปีศาจมีชิวิตเป็นอมตะ ถ้ายังยั้งมืออยู่ แกจะตายเอานะ ]
ผมรู้สึกปวดแสบร้อนที่คอเหมือนกำลังถูกเผา ไม่สิ มันอยู่เผาอยู่จริงๆ
[ คุ อั๊กก- ]
[ ขวานไฟข้าเป็นยังไงบ้าง ขนาดมันยังไม่ถูกตัวแกเลยนะ ร้อนใช่มั้ยล้า ]
ใบมีดเพลิงค่อยเคลื่อนตรงมาที่คอของเขา
(ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ต้องถูกฆ่าแน่)
เปลวไฟที่แผดเผาผิวเขาทำให้เขาเห็นภาพหลอน
ถ้าขวานไฟถูกตัวเขาเพียงน้อยนิด
เขาจะถูกไฟคลอกจนตายแน่ๆ
[ มันต้องไม่ไช่แบบนี้ . . . ผมยังไม่อยากตาย ผมเป็นแค่เด็กนักเรียน . . . ผมไม่ใช่ผู้กล้า สักหน่อย . . ]
[ ฮ่าๆๆๆ แกมันไม่ใกล้เคียงกับเจ้านั้นเลยสักนิด ถ้าข้าทำได้แค่นี้จริงๆ เจ้านั้นคงข้าฆ่าได้สบาย ]
หลังจากพูดอย่างงั้น อัคนีร่าก็ดึงขวานกลับไป
[ แฮก ๆ ]
ความรู้สึกที่คอโดนแผดเผาหายไปพร้อมกับใบมีดนั้น
[ ท่านผู้กล้า !! ]
[ ไคโตะ!!! ]
[ ไม่เป็นไรนะ ไคโตะ !!! ]
[ ไคโตะซัง !!! ]
หลังจากความเจ็บปวดหายไป
ผมก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
เจ้าหญิงแห่งลัคซีเรีย”ไอริส แคลโร เอ ลัคซีเรีย”
เพื่อนสมัยเด็ก”อาคาเนะ”
ที่ปรึกษาเคนโด้”ซากุยะ”
และเพื่อนรักผม”อากิระ”
. . .. ผมยังไม่ตาย ?
หลังจากได้ยินเสียงของทุกคน
ความเจ็บปวดได้กลับมาอีกครั้ง
ใช่แล้วมันเจ็บ
ความเจ็บมัน . . .
ผมยังมีชีวิตอยู่นี่เอง
—————————–
[ เห้อ ชั่งกระจอกเสียจริง ข้าอุส่ามาที่นี่ ก็นึกว่าจะได้เจอเจ้านั้นแท้ๆดันเป็นคนละคนซะได้ ]
อัคนีร่าพาดขวานของเธอบนบ่าและมองลงมาผู้กล้ารุ่น2 ที่นอนกองอยู่ที่พื้น
[ จะมาแทนเขางั้นหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีใครแทนเจ้านั้นได้ . . . ยูยะ ]
เธอเก็บขวานไฟพร้อมกับหัวเราะเล็กๆ
ยาระ ยาระ ยาระ ยาระ (เสียงโซ่พันรอบตัว)
[ โอ้ว ]
เหมือนกับว่ากำลังรอให้เธอเก็บอาวุธอยู่
ทันใดนั้นก็มีโซ่มาพันรอบตัวเธอทันที
[ หืออ นี่มัน ลิ่มของซีเรียส,กิปเนียล นอกจากข้าแล้ว พวกราชวงค์ก็มีคนใช้เวทย์ชั้นสูงได้ด้วยรึนี่ ]
[ ใช่ค่ะ จะรัดคุณให้ตายไปเลยก็ย่อมทำได้ .. . เพราะงั้นตอบคำถามมา อับดับแรก บอกชื่อคุณมา แล้วบอกมาด้วยว่า ปีศาจอย่างคุณมาทำอะไรที่นี่กันคะ ]
คนที่ยื่นมือขวาออกมาขณะที่ผมสีทองปลิวไสว”เจ้าหญิงแห่งลัคซีเรีย”และจ้องไปทางอัคนีร่าด้วยสายตาที่แข็งกร้าว
อัคนีร่าตอบคำถามของเจ้าหญิงด้วยท่าทีสบายๆในทันที
[ ข้าชื่อเฟรม หรือรู้จักในชื่อ”เจ้าหญิงสงครามขวานเพลิง” ไม่ต้องห่วง ข้าไม่คิดจะเริ่มสงครามหรอก ข้าแค่อยากจะมาแลกหมัดกับผู้กล้ามันก็แค่เท่านั้น ]
ความร้อนรนเริ่มปรากฎบนใบหน้าของเธอหลังจากได้ยินคำตอบของอัคนีร่า
[ คิดว่าข้าไม่รู้สึกถึงการอัญเชิญผู้กล้างั้นรึ ช่างเถอะข้าไม่สนใจหรอก เพราะเจ้านี่มันต่างจากผู้กล้าที่ข้าจะสู้ด้วย คนที่ข้าจะสู้ด้วย คือ “ยูยะ ชิโระ” มันก็แค่นั้น ]
ระหว่างที่เธอกำลังจะพูดจบ ลิ่มแห่งซีเรียสก็ได้รัดแน่นขึ้นไปถึงคอ
[ ผู้นำของกองทัพจอมมาร “6ดาบขุนพล” ที่นี่และแกจะต้อง— ]
เจ้าหญิงกำลังพยายามจะสังหารอัคนีร่า แต่ว่า . .
[ ปัญญาอ่อนจริง. . . ที่ข้ามาถึงจุดสูงสุดได้ เพราะข้าแข็งแกร็งและไม่มีวันตายไงล่ะ จำใส่หัวเอาไว้ด้วย ]
ลิ่มแห่งซีเรียสถูกเผาหายไปในทันที
[ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ฝากไปบอกผู้กล้ารุ่น 2 ด้วยว่า จงแข็งแกร็งขึ้นกว่านี้ซะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า แล้วข้าจะตั้งตารอวันนั้นเอาไว้เลย ]
ในขณะที่พูด อัคนีร่าก็หายไปในเปลวไฟโดยที่ไม่มีใครหยุดเธอได้เลย