สติของผมในตอนนี้มันช่างเลือนลางเหลือเกิน.. ร่างกายของผมมันไม่ตอบสนองเลย ไม่สามารถขยับไปไหนได้ ที่ทำได้ในตอนนี้ก็คงจะมีแต่การที่ต้องทนเจ็บอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆล่ะนะ

 

 

แต่ว่า.. เมื่อผมรู้สึกตัวได้ ตรงหน้าที่ผมเห็นอยู่คือหญิงสาวผมสีทองที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่ในบ้านตระกูลเจเนซิส แล้วพวกนี้มัน.. ใครกันล่ะเนี่ย? 

 

 

“ รีบรักษาสิวะลูอิส!! ”เมเดียร์

 

 

“ ไม่ได้อ่า… เวทศักดิ์สิทธิ์ใช้กับเขาไม่ได้ผลอ่าา! ฮืออ ”ลูอิส

 

 

เวทศักดิ์สิทธิ์หรอ… ไอ้ที่เค้าใช้ฮีลกันนั่นน่ะนะ.. ก็นะ มันจะใช้ได้ยังไง ในเมื่อไอ้หน้าต่างสีดำที่อยู่หน้าผมมันแสดงสถานะอยู่ว่ารักษาไม่ได้จนกว่ามันจะประมวลผลร่างกายของผมเสร็จน่ะ

 

 

[ ขณะที่กำลังประมวลผลร่างกายของผู้สืบทอด จะไม่สามารถรักษาได้ด้วยเวทศักดิ์สิทธิ์ ]

 

 

[ ความคืบหน้าอยู่ที่ 24% … 50% ]

 

 

[ 84% ]

 

 

[ 100% …ตรวจสอบเสร็จสิ้น ร่างกายต้องการพลังเวทอย่างมาก ]

 

 

[ ร่างกายของท่านต้องการพลังเวทอย่างมากในการรองรับสกิลของกอร์ ]

 

 

การรับรอง.. อะไรนะ? สติของผมในตอนนี้ไม่ได้มีมากพอที่จะประมวลผลอะไรก็ตามที่อยู่ตรงหน้าได้หรอกนะ

 

 

 

แล้วผมต้องทำยังไงกันล่ะ? ถึงจะได้พลังเวทมา? 

 

 

[ มานาจำนวนมหาศาลกำลังไหลเข้าสู่ร่างกาย ]

 

 

ได้ยังไงกัน? ใครกันที่เป็นคนมอบพลังเวทขนาดนี้ให้กับผม? ผมใช้ดวงตาที่เหนื่อยล้าเหลือบมองไปยังทางที่ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น

 

 

“ ฉันไม่อยากที่จะต้องทนเห็นตัวเองตายไปทั้งแบบนี้นะ เพราะงั้นอย่าพึ่งตายซะล่ะ ”เมเดียร์

 

 

ดูเหมือนว่ามานาบริสุทธิ์ที่พยายามจะใช้รักษาผมพวกนั้นจะมาจากเมเดียร์ เธองัดมานาศักดิ์สิทธิ์ที่พึ่งเคยได้ใช้เป็นครั้งแรกออกมาใช้กับคนอย่างผม ผมรู้สึกดีจริงๆที่มีตัวผมอีกคนเป็นคนที่เป็นห่วงคนอื่นแบบนี้

 

 

แล้วขณะที่เธอกำลังใส่เวทเข้ามาเรื่อยๆ เธอก็เข้ามากระซิบข้างหูของผม

 

 

“ นี่บี๋.. รู้ไหมว่าการที่นายเข้าใจภาษาของเราได้เนี่ย มันเป็นเพราะหลังจากที่นายข้ามมายังโลกนี้ สมองนายได้รับการกระทบกระเทือนจากการเดินทางข้ามมิติมานั่นเลยทำให้การรับรู้ทางภาษาของนายเพี้ยน เป็นภาษาของเราไง”เมเดียร์

 

 

“แต่ไอ้คำที่นายไม่เข้าใจในตอนที่นั่งรถม้าด้วยกันนั่นน่ะ เป็นภาษาโบราณ ถึงการรับรู้ทางภาษาจะเพี้ยนไปยังไงนายก็คงไม่รู้หรอกว่าภาษาลานีร์โบราณมันแปลว่าอะไร แล้วฉันก็จะไม่บอกด้วย  ”เมเดียร์

 

 

ให้ตายสิ.. ยัยนี่นี่นะจะมาบอกอะไรตอนนี้ล่ะเนี่ย ว่าก็ว่าไปอย่าง ผมก็พึ่งมารู้สึกตัวเอาตอนนี้นี่แหละ ที่ว่าตลอดมาผมใช้แต่ภาษาต่างโลก ตอนแรกผมก็ยังฟังพวกเธอรู้เรื่องเป็นภาษาไทย เลยคิดว่าที่นี่เขาใช้ภาษาไทยกันซะอีก

 

 

แต่ที่ไหนได้ สมองผมมันเพี้ยนไปนี่เอง

 

 

[ กำลังเปลี่ยนมานาที่ไหลเข้ามาเป็นสกิลของกอร์ … ]

 

 

[ คำอธิบาย : นามแท้จะถ่ายโอนเฉพาะสกิลติดตัว กับสกิลระดับ S ขึ้นไปของเจ้าของดั้งเดิมของสกิลเท่านั้น ]

 

 

[ กำลังถ่ายโอนสกิล … ]

 

 

[ 10% … ]

 

 

[ 36% … ]

 

 

[ 68% … ]

 

 

[ 95% … ]

 

 

[ 96% ]

 

 

[ 97% ]

 

 

[ 98% ]

 

 

[ 99% ]

 

 

[ 99.99% …]

 

 

[ … 100% การถ่ายโอนเสร็จสิ้น ต่อจากนี้ท่านจะมีนามว่า กอร์ ]

 

 

[ ลิสต์สกิล :

 

(พาสซีพ) – ฟื้นฟูฉับพลัน S+ [NEW!!]

 

คำอธิบายสกิล – ไม่ว่าจะเป็นบาดแผลชนิดใด ก็จะถูกรักษาในทันที ความเร็วในการรักษาขึ้นอยู่กับขีดจำกัดที่สามารถกักเก็บมานาไว้ในร่างเจ้าของสกิล

 

(พาสซีพ) – จุติ ????????????? (ล็อค) [NEW!!] 

 

คำอธิบายสกิล – พลังทุกอย่างจะไร้ขีดจำกัดเมื่ออยู่ในสภาวะจุติ

 

เงื่อนไขปลดล็อค – ตาย

 

(แอ็คทีพ) ผลาญชีพ S (ล็อค) [NEW!!]

 

คำอธิบายสกิล – ผลาญพลังชีวิตของเจ้าของ แลกกับการเพิ่มกำลัง ความเร็ว และความอึด ให้เกินขีดจำกัดสูงสุด

 

เงื่อนไขปลดล็อค – บาดเจ็บเจียนตาย โดยที่จิตใจไม่ย่อท้อ

 

(แอ็คทีพ) ยุทธศาสตร์จำลอง SS / ต้องห้าม (ล็อค) [NEW!!]

 

คำอธิบายสกิล SS – สกิลที่เมื่อใช้งานเจ้าของจะสามารถจำลอง กลยุทธ์ที่ใช้ในการเอาชนะศัตรูได้อย่างแม่นยำ และยังสามารถแบ่งทัศนวิสัยของผู้ที่อยู่ภายใต้ระยะแสดงผลของสกิลให้ผู้อื่นได้ตามความต้องการของตน ไม่เพียงแค่นั้น สกิลนี้ยังมองเห็นทุกสกิลของคนที่ต้องการจะส่องสกิลอีกด้วย

 

คำอธิบายสกิล ต้องห้าม – ศาสตร์ลับลำนำเผด็จการสามารถล็อคสกิลของศัตรได้ 2 สกิลจนกว่าจะมีคนใดคนหนึ่งตาย หรือเจ้าของสกิลยกเลิกเอง โดยไม่สนเงื่อนไขใดๆหรือแม้แต่ไม่ว่าสกิลนั้นจะอยู่สูงกว่าแรงค์ EX ก็ตาม

 

เงื่อนไขปลดล็อคสกิลระดับ ต้องห้าม – ทำความเข้าใจบุคคลใดก็ได้ ให้เข้าใจในตัวคนคนนั้นอย่างลึกซึ้ง ]

 

 

ทันทีที่การถ่ายโอนสกิลเสร็จสิ้น สกิลแรกที่ได้รับมาเลยอย่างฟื้นฟูฉับพลันก็ได้ทำงานในทันที เมเดียร์ที่ได้เห็นว่าร่างกายของผมเริ่มรักษาตัวเองอย่างรวดเร็ว เธอจึงหยุดใช้เวทศักดิ์สิทธิ์นั่นก่อนจะเข้ามาดูอาการผมอย่างใกล้ชิด

 

 

ผ่านไปไม่นาน แม้ว่าตัวของผมจะรักษาตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว สติของผมก็ยังไม่ได้กลับมาเต็มร้อย เมเดียร์จึงช่วยผม เธอพยุงผมขึ้นมาท่ามกลางสายตาของพวกลูกๆของดยุคทั้งหลาย.. เอ่อ ดยุคมีแค่ 6 คน นอกจากเมเดียร์กับลูอิสแล้วก็ยังเป็นผู้ชายอีกสามคนและผู้หญิงอีกหนึ่งนั่นแหละ

 

 

แต่น่าเสียดายหน่อยที่ดยุคเฟลกส์ไม่ได้มาในวันนี้น่ะ

 

 

ผู้ชายทั้งสามคนนั้นที่ไม่เคยเห็นเมเดียร์ข้องแวะกับผู้ชายคนไหนเลย มาพยุงผมที่เป็นผู้ชายเช่นกัน นั่นทำให้พวกเขาค่อนข้างแปลกใจพอสมควร พวกเขาแสดงความตกใจออกมาอย่างพอเหมาะ ก่อนจะไว้อาลัยผม 1 วินาที

 

 

“แปลกแฮะ ยัยวิปริตนั่นเนี่ยนะจะช่วยผู้ชาย? ”บิล

 

 

“ก็ดีแล้วนี่ ที่คนน่ากลัวแบบนั้นจะมีหัวใจแบบเขามั่ง ”อีวาน

 

 

“ เธอคิดว่าไงล่ะลูอิส? ”ลู

 

 

สามคนนั้นยืนมองเมเดียร์ที่กำลังจะเข้าไปหาพวกผู้ใหญ่ ก่อนที่แต่ละคนจะพาลูอิสไปที่ห้องรับรองของบ้านเพื่อคุยกันก่อน  ทั้งสี่คนเคยมาเล่นที่นี่เมื่อยังเด็กเลยทำให้พวกเขารู้ว่าตัวเองควรจะไปทางไหน โดยที่ไม่ต้องมีเมดมานำทางเลยล่ะ

 

 

 

 

..

 

 

.

 

 

บี-

 

 

บี๋-

 

 

“ !!? ”

 

 

รู้สึกตัวอีกที ผมก็ได้มานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ในสถานที่ที่มีทุ่งดอกไม้ที่มีสีสันของดอกไม้หลากหลายและสวยงาม ผมเห็นผีเสื้อหลากสีหลายตัวบินมากินเกสรดอกไม้ด้วยล่ะ ..ที่นี่มันสงบสุขจริงๆแฮะ

 

 

แล้วนี่มัน.. ที่ไหนกันล่ะเนี่ย?

 

 

“ที่นี่คือลาสต์โฮลเดอร์ ที่ที่มีอาวุธของนายอยู่ ”กอร์

 

 

พอผมได้หันไปยังต้นเสียง ปรากฏว่าเป็นคนที่ผมเห็นอยู่ในภาพอดีต คราวนี้ที่เขามาให้ผมเห็นนั้นไม่ได้อยู่ในสถานที่ที่มีสงครามอยู่อีกต่อไปแล้ว กับกลายเป็นทุ่งดอกไม้ที่เย็นสบายและสดใสสวยงามแบบนี้

 

 

“และมันยังเป็นที่ตายของข้าอีกด้วย ”กอร์

 

 

เขาพูดด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งความทุกข์ ดูเหมือนว่าในตอนนี้เขาจะไม่มีห่วงอะไรอีกแล้วกับโลก

 

 

“ที่เหลือก็.. เป็นหน้าที่ของเจ้า จะทำอะไรกับมรดกของข้าก็เชิญ ”กอร์

 

 

แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าหากว่าเขาคือกอร์จริงๆ งั้นทำไมสกิลสุดยอดการฟื้นฟูที่เขามีทั้งหลายถึงไม่ทำงานตอนที่เขาตายล่ะ? ผมที่สงสัยในเรื่องการตายของเขาจึงได้ถาม

 

 

“เดี๋ยวนะ? แล้วพวกสกิลฟื้นฟูขั้นสุดยอดที่คุณมีล่ะ มันไม่ทำงานตอนตายหรอ? ”

 

 

เขาส่ายหน้า แล้วมองไปยังท้องฟ้าที่ไกลจนสุดลูกหูลูกตา ผมไม่เข้าใจว่าเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่ แต่ที่รู้ๆก็คือ.. ไอ้หมอนี่แม่ง ขี้แอ็คแน่ๆเลย 

 

 

“ ข้าตั้งใจตายด้วยมือตัวเอง ข้าใช้ศาสตร์ลับลำนำเผด็จการในการล็อคสกิลคืนชีพกับฟื้นฟูของข้า เพื่อที่ข้าจะได้หลุดพ้นจากบาปที่ทำอยู่สักที ”กอร์

 

 

“ บาปหรอ? ”

 

 

“ ใช่ ข้าฆ่าทั้งคน ทั้งเทพ ทั้งปีศาจ ข้าล้างบางกองทัพในมหาสงครามไปมากมาย จนเรียกได้ว่าทั้งตัวข้าจะโชกไปด้วยเลือดตลอดเวลา ”กอร์

 

 

“ แล้วคนรักของคุณล่ะ? ต้องมีสักคนสิที่ไม่อยากให้คุณตาย ”

 

 

“ ของแบบนั้นน่ะข้าไม่มีมันหรอก ตลอดทั้งชีวิตของข้ามีคนผ่านเข้ามามากมายก็จริง แต่ไม่มีสักคนที่รักข้า ”กอร์

 

 

“ ข้าจบมหาสงครามด้วยน้ำมือของข้าเอง และได้เลือกที่จะตายลงที่นี่ ”กอร์

 

 

“ เจ้าลองมองดูตรงนั้นสิ ”กอร์

 

 

กอร์ชี้ไปข้างหน้า ผมมองตามทางที่เขาชี้ไป และได้เห็นขวานขนาดใหญ่พอสมควร อย่างน้อยมันก็ใหญ่กว่าตัวผม ผมทึ่งในสิ่งที่ตาเห็นเพราะตอนแรกตรงที่นั้น มันไม่มีสิ่งใดอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับมีขวานอยู่เล่มหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ

 

 

“ นั่นคืออาวุธประจำตัวของข้า ศาตราโลหิตเหล็กเทวะ ถ้าเจ้าได้รับมันมา มันจะสามารถแปลงเป็นสิ่งใดก็ได้ ขอเพียงแค่เจ้าจินตนาการถึงมัน เอาล่ะ.. ”กอร์

 

 

“ มันคงจะถึงเวลาแล้ว หลังจากที่เจ้าได้รับสืบทอดนามของข้าไป ”กอร์

 

 

ผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ ทั้งตัวของกอร์และสถานที่แห่งนี้ก็เริ่มเปล่งแสงสีทองออกมาเป็นละอองแสงสีทอง

 

 

“ เจ้าจะต้องมาเอามันไป เพราะมันเป็นสัญลักษณ์ของข้า ส่วนเส้นทางมายังลาสต์โฮลเดอร์.. เจ้าจะรู้ได้โดยตัวของเจ้าเอง … ”กอร์

 

 

“ ใช้ชีวิตหลังจากนี้ให้ดีล่ะ อย่าเอาแต่อยู่ในสงครามเช่นข้า… ลาก่อน บี๋ ”กอร์

 

 

แสงโดยรอบชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนมันกลบสายตาของผมไปจนหมด… รอยยิ้มสุดท้ายก่อนที่เขาจะจากไป คือรอยยิ้มที่สื่อว่าไม่ว่าจะทำยังไง อดีตก็ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ เลยต้องยอมรับปัจจุบันและอนาคต มันก็คือรอยยิ้มของคนที่ไม่ยอมแพ้นั่นแหละ

 

 

จริงๆผมก็อยากจะขอบคุณเขานะ ที่เป็นคนมอบสกิลทั้งหลายนั่นให้กับผม ให้ผมมีโอกาสได้ใช้ชีวิตในต่างโลกนี้ให้สนุกเหมือนกับคนอื่นๆ และจะได้ไม่เป็นคนแปลกแยก 

 

 

ในเมื่อเขายิ้มให้ผมแล้ว ผมก็ต้องยิ้มให้เขาบ้างสิ ถึงจะถูก

 

 

ช่วงเวลาแห่งความอบอุ่นอยู่ได้เพียงไม่นาน ก่อนที่ผมจะตื่นขึ้น..

 

 

..

 

 

.

 

 

“ … ”

 

 

ทันทีที่ผมลืมตาขึ้นมา อยากแรกที่ผมเห็นเลยก็คือเพดานของห้องเมเดียร์ที่คุ้นตา และร่างของเมเดียร์ที่นั่งเฝ้าผมอยู่ข้างเตียงแล้วกำลังหลับอยู่บนขาของผม

 

 

นี่ผม.. ยังไม่ตายสินะเนี่ย นี่คือสิ่งที่ผมนึกขึ้นได้เป็นอย่างแรกหลังจากผ่านเหตุการณ์เกือบตายมา

 

 

ผมสำรวจร่างกายของตัวเอง ผมเลยได้เห็นสิ่งที่เปลี่ยนไปมากมายเลยบนร่างของผม อย่างแรกคือมวลกล้ามเนื้อที่มากกว่าเดิม ร่างกายผมสมส่วนมีกล้ามเรียงตัวกันอย่างงดงาม ผมเปิดลิสต์ของสกิลที่ได้รับมาตรวจสอบดู

 

 

“ นี่คงจะเป็นหน้าต่างคำอธิบายอย่างที่ยัยนั่นว่าสินะ ”

 

 

แต่ละสกิลที่ผมได้รับมามันไม่มีอันไหนที่ไม่ธรมมดาเลย ทุกสกิลเกินแรงก์ S หมด อีกทั้งยังมีสกิลระดับต้องห้ามที่สามารถล็อคสกิลของใครก็ตามได้เกือบถาวรแหน่ะ โคตรโกงเลยว่างั้นไหม?

 

 

แต่สกิลดีๆส่วนใหญ่ก็ล็อคหมดเลยล่ะนะ และที่ทำให้ผมรอดจากสถานการณ์เฉียดตายได้ก็คงเป็น ฟื้นฟูฉับพลัน S นี่แหละ บอกเลยว่าตอนนี้ผมรักมันโคตรเลยล่ะ!

 

 

นี่สินะ หนทางสู่ความแข็งแกร่งของผม

 

 

ระหว่างที่ผมกำลังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขณะที่กำลังมองหน้าต่างสกิลอยู่นั้น เมเดียร์ก็ตื่นขึ้นมาพอดี

 

 

“ บี๋!! ”เมเดียร์

 

 

“ สายัณสวัสดิ์ เมเดียร์ ”

 

 

เมเดียร์ทำหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้ ก่อนจะรีบพุ่งเข้ามากอดผมทันที ผมที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็โดนเธอทับร่างไปเต็มๆ นั่นทำเอาผมมึนหน่อยๆเลยล่ะ

 

 

แต่ก็เข้าใจได้ล่ะนะ.. ผมก็เกือบตายนี่นา คงจะไม่มีใครอยากเห็นตัวเองตอนตายหรอกมั้ง?

 

 

ผมเลยลูบหัวเมเดียร์ไปอย่างลืมตัว จนในท้ายที่สุดก็โดนเมเดียร์กัดเข้าที่มือข้างนั้นจนได้

 

 

“ ว๊ากกกก!!!? ”

 

 

“ ทำบ้าอะไรยะ ไอ้บ้า!! ”เมเดียร์

 

 

ไม่คิดเลยแฮะ ว่าเธอจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะนั่นมันบอกให้ผมได้รู้ว่าตัวเธอนั้นยังสบายดี ผมมองที่เมเดียร์สักพักก่อนจะถอนหายใจ แล้ว… นอนต่อ

 

 

“ นอนดีฝ่า~ ”

 

 

“ เห้ย!! อย่าพึ่งนอนนนน!!! ”

 

 

ผมไม่ฟังอะไรทั้งนั้นแหละตอนนี้ ผมยิ้มอย่างมีความสุขขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ 

 

 

ก็นะ นี่คงจะหนึ่งในกิจวัตรประจำวันไปแล้วล่ะ

 

 

 

 

 

ตัดจบตอน