ความจริงแล้วชวีเสี่ยวปอต้องการจะถามเหลาหม่ามากว่า เมื่อคืนเขาติดดูละครน้ำเน่าจนอดหลับอดนอนมาหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นทำไมในหัวถึงได้มีความคิดอย่างกับพล็อตละครแนว ‘กลับมาคืนดีกันอีกครั้งเถอะ’ แบบนี้

        ชวีเสี่ยวปอทำหน้าตาบูดบึ้งพลางโอดครวญ “ไม่เอาน่า เหลาหม่า”

        “ไม่เอาอะไรล่ะ เร็วเข้า” ในเวลาแบบนี้เหลาหม่าถึงจะสามารถหยิบยกเอาศักดิ์ศรีความเป็นครูออกมาพูดได้บ้าง แม้ว่ามันแทบจะไม่เหลือแล้วก็เถอะ “ชวีเสี่ยวปอ…”

        ชวีเสี่ยวปอยังคงมีท่าทีอิดออด คิดไม่ถึงว่าเซี่ยเจิงที่นิ่งเงียบมาตลอดจะเป็นฝ่ายยื่นมือออกมาก่อน

         “ขอโทษ”

        ครั้นได้ยินสองคำนี้ชวีเสี่ยวปอพลันรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที แม้กระทั่งอาการปวดปัสสาวะที่เกิดขึ้นเพราะถูกเหลาหม่าทำให้ตกใจเมื่อครู่ก็หดหายไปแล้ว

        เซี่ยเจิงยื่นมือออกมาอย่างจริงจัง จะว่ายังไงดีล่ะ ตั้งแต่สีหน้าท่าทางไปจนถึงการเคลื่อนไหวร่างกายก็ตีความออกมาได้เพียงแค่คำว่า ‘จริงใจ’ เท่านั้น เหมือนว่าเขาจะรับฟังถ้อยคำไร้สาระเหล่านั้นของเหลาหม่าจริงๆ ทั้งยังนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์จริงๆ อีกด้วย ท่าทางของเขาดูสำนึกผิดจากใจจริงราวกับได้ฟังคำสั่งสอนในพระไตรปิฎกต่อหน้าพระพุทธเจ้า

        เสแสร้ง

        ชวีเสี่ยวปออดไม่ได้ที่จะพึมพำอยู่ในใจ

        ถ้าไอ้หมอนี่กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีแบบนี้ วันนั้นคงไม่ต่อยเขาจนเกือบตายหรอก ไม่สิ อีกฝ่ายไม่ได้เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนสักหน่อย

        ชวีเสี่ยวปอยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น เซี่ยเจิงจึงเอ่ยซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง “ฉันขอโทษ ฉันไม่ควรทะเลาะกับนาย”

        “ชวีเสี่ยวปอ! เธอจะให้ฉันขอร้องเธอหรือไง?” เหลาหม่าพอใจกับท่าทางการแสดงออกของเซี่ยเจิงมาก เขาหันกลับมาจ้องชวีเสี่ยวปอพลางเอ่ยว่า “ลูกผู้ชายอกสามศอก กล้าทำแล้วไม่กล้ารับงั้นเหรอ?”

        “อย่ามาทำเป็นเยินยอผมไปหน่อยเลยน่า” ชวีเสี่ยวปอแสร้งยิ้ม ถึงอย่างนั้นก็ยังคงยื่นมือออกไป

        “ฉันก็ขอโทษเหมือนกัน”

        หลังจากเอ่ยจบชวีเสี่ยวปอก็แอบบีบมือเซี่ยเจิงแน่น ครั้นแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะต้องรู้สึกเจ็บขึ้นมาบ้างอย่างแน่นอน ชวีเสี่ยวปอก็ยกยิ้มขึ้นจนเห็นเขี้ยว ไม่มีอะไรชัดเจนไปกว่านี้แล้วละ

        เสแสร้งนักใช่ไหม! เอาอีกสิ!

        ทว่าเซี่ยเจิงไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วสักนิดราวกับไม่อยากจะสนใจเขา นั่นทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกหมดสนุกขึ้นมาทันที

        เขาเริ่มจะทนไม่ไหวจนอยากจะฉีกหน้ากากจอมปลอมของไอ้หมอนั่นต่อหน้าเหลาหม่าเสียจริง จากนั้นก็มาต่อยกันอีกสักรอบถึงจะสาแก่ใจ

        “แบบนี้แหละถูกต้องแล้ว” เหลาหม่ารู้สึกพอใจไม่น้อย หลังจากนั้นไม่นานนักเรียนคนสุดท้ายที่ขึ้นไปอ่านเรียงความสำนึกผิดก็ลงมาจากเวที นักเรียนคนอื่นๆ จึงแยกย้ายกันไปตามห้องเรียนของตัวเอง “เอาล่ะ ใครมีหน้าที่อะไรก็ไปทำซะนะ”

        ทว่าเมื่อเงาร่างของเหลาหม่าเดินหายเข้าไปในอาคารเรียนได้ไม่ทันไร เซี่ยเจิงก็คว้าข้อมือของชวีเสี่ยวปอขึ้นมาทันที รวดเร็วเสียจนชวีเสี่ยวปอไม่ทันได้ตั้งตัว ถึงขนาดทำให้เขาอยากจะตะโกนออกมาว่า “เหลาหม่า ดูไอ้หมอนี่สิ!” ขึ้นมาทันใด

        “เสแสร้งต่อไปไม่ไหวแล้วเหรอ ไอ้เด็กเรียน?” ชวีเสี่ยวปอจ้องเข้าไปในดวงตาของเซี่ยเจิง อีกฝ่ายแตกต่างกับเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัดราวกับว่าเป็นคนละคน ชวีเสี่ยวปอรู้สึกมีความสุขมากที่สามารถฉีกหน้ากากของไอ้เด็กเรียนนี้ได้ น้ำเสียงของเขาจึงเต็มไปด้วยการยั่วโมโห

        “ฉันบอกว่าฉันจะรอไงล่ะ” เซี่ยเจิงกดเสียงต่ำ ไม่มีแม้แต่ความโมโหเจือปนอยู่ในนั้นพลางเอ่ยเสียงเบา “นายนั่นแหละ รอไม่ไหวแล้วเหรอ?”

        “…”

        ทำไมชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าคำพูดนี้ของเซี่ยเจิงฟังดูแปลกๆ นะ

        “ปอเอ๋อร์! ปอเอ๋อร์!”

        แต่เสียงเรียกของซือจวิ้นพลันดึงดูดสายตาของพวกเขาทั้งคู่ให้หันกลับไปมอง เซี่ยเจิงจึงปล่อยมือและรีบเดินจากไปทันที

        “เมื่อกี้พวกนายสองคนไม่ได้จะต่อยกันใช่ปะ?” ซือจวิ้นวิ่งเหยาะๆ เข้ามาทันเห็นฉากเมื่อครู่พอดี

        “เกือบแล้วละ”

        “เกิดอะไรขึ้นอีกแล้วล่ะ?”

        เกิดอะไรขึ้นอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ?

        ก่อนที่เซี่ยเจิงจะปล่อยมือชวีเสี่ยวปอ อีกฝ่ายกระซิบบางอย่างข้างหูของเขา

        “นายนี่มันเด็กน้อยจริงๆ”

        เด็กน้อยบ้านแกน่ะสิ

        ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าตัวเองตอกกลับช้าไปหน่อย ดังนั้นตอนนี้จึงรู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างกดทับอยู่บริเวณหน้าอกจนทำให้รู้สึกปวดร้าวขึ้นมา การถูกเหยียดหยามในเรื่องแบบนี้เป็นถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมาก โดยเฉพาะเมื่อถ้อยคำเหล่านั้นออกมาจากปากของเซี่ยเจิง เมื่อครู่ตอนที่อยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าราวกับว่าตัวเองเป็นเด็กน้อยสามขวบที่เป็นฝ่ายหาเรื่องอีกฝ่ายก่อน และอีกฝ่ายก็คงจะคิดว่าเขาทำอะไรตัวเองไม่ได้ถึงได้พ่นคำว่า ‘เด็กน้อย’ ออกมา

        ชวีเสี่ยวปอตระหนักได้ว่าเซี่ยเจิงไม่ใช่คนที่น่ารำคาญอีกต่อไปแล้ว แต่อีกฝ่ายเป็นคนที่สามารถจี้จุดเกลียดชังของชวีเสี่ยวปอได้อย่างแม่นยำทุกครั้ง แถมยังพยายามทิ่มแทงมันอย่างโหดร้ายอีกด้วย นี่มันเหมือนกับตัวละครในนิยายกำลังภายในที่ต่างฝ่ายต่างงัดกระบวนท่าออกมาประลองฝีมือกันอยู่เป็นประจำ แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็บอกว่า “ข้าจับจุดอ่อนเจ้าได้แล้ว” เป็นใครก็ทนไม่ได้

        ช่างลึกล้ำเสียจริง

        แต่ตอนนี้ชวีเสี่ยวปอต้องระงับความโกรธเอาไว้ก่อน อย่างไรเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการอธิบายให้เซี่ยเจิงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดเสียก่อน หลังจากฟังความคิดของชวีเสี่ยวปอ ซือจวิ้นพลันแสดงท่าทีว่า ‘ฉันเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว’ พลางถอนหายใจ “ปอเอ๋อร์ นายนี่มันหลงเขาจนโงหัวไม่ขึ้นเลยนะ”

        “โคตรจะหลงเลยละ” ชวีเสี่ยวปอเอ่ยตอบพลางมองไปรอบๆ เมื่อครู่ยังเห็นเซี่ยเจิงกับกลุ่มเพื่อนของเธออยู่นี่นา ตอนนี้หายไปไหนแล้วนะ

        “แหมๆ ๆ ฉันไม่ขอยุ่งกับพวกคลั่งรักดีกว่า” ซือจวิ้นยักไหล่ “เธออาจจะกลับไปที่ห้องเรียนแล้วละมั้ง ให้ฉันพานายไปหาเธอดีไหม?”

        “เอาไว้ก่อนเถอะ ไปกินข้าวกันก่อนไหม?” ตอนนี้ยังไม่เจอเซี่ยเจิงก็ไม่เป็นไร เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้รีบร้อนเท่าไร เนื่องจากว่าวันนี้ต้องมาเข้าแถวหน้าเสาธงเร็วกว่าปกติชวีเสี่ยวปอจึงยังไม่ได้ทานอาหารเช้า เมื่อครู่ตอนที่ขึ้นไปอ่านเรียงความสำนึกผิดเขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้ไมโครโฟนจนเกินไปเพราะกลัวจะเป็นไลฟ์สดเสียงท้องร้องโครกครากของตัวเองเข้า

        “จะกินเครปกับน้ำเต้าหู้หรือเกี๊ยวน้ำดีล่ะ?”

        “เครปแล้วกัน” ชวีเสี่ยวปอเม้มปาก “เดินเร็วๆ หน่อยสิ ยิ่งพูดก็ยิ่งหิวแล้วเนี่ย”

        “ก็นะ” ซือจวิ้นยืนห่างจากแผงขายเครปไปสามเมตร เขาถอนหายใจยาว “ฉันว่าตัวเองก็น่าจะมาตั้งแผงขายอาหารเช้ากับเขาสักแผงจริงๆ นะเนี่ย”

        “คิดจะทำอะไรน่ะ?” ชวีเสี่ยวปอเหลือบมองเขา

        “ก็ตรงนี้คนเยอะมากเลยนี่นา” ซือจวิ้นยกแขนขึ้นทำท่าทางเตรียมจะวิ่งออกไป พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตะโกนว่า “เถ้าแก่ ผมเอาเครปใส่ไข่กับแฮมไม่เผ็ด สองอันครับ!” จากนั้นก็วิ่งฝ่าเข้าไปยังกำแพงมนุษย์ที่ยืนล้อมรอบแผงขายเครปอยู่

        “ฉันไม่เอาเผ็ดนะ!” ชวีเสี่ยวปอกำชับอีกครั้ง เขาไม่ได้รีบร้อนเหมือนกับซือจวิ้นจากนั้นก็เดินไปซื้อน้ำเต้าหู้สองแก้ว

        “น้ำเต้าหู้…บัดซบ”

        “เป็นนักเรียนไม่ควรจะพูดจาหยาบคาบนะ” เถ้าแก่ไม่เข้าใจว่าอะไรคือน้ำเต้าหู้บัดซบ แต่เขาก็ยังคงมีท่าทางเป็นมิตรกับนักเรียนทุกคน รวมทั้งแสร้งยิ้มอย่างสุภาพ “รับอะไรดีล่ะ พ่อหนุ่ม?”

        “ไม่เอาแล้วครับ” ชวีเสี่ยวปอโบกมือ ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะมาชื่นชมในการแสดงของเถ้าแก่

        แน่นอนว่าคำคำนี้เป็นเพียงคำพูดติดปากของชวีเสี่ยวปอซึ่งรุนแรงกว่าคำว่า “ว้าว” ขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น ใช้ในการแสดงความรู้สึกไม่พอใจในสถานการณ์ต่างๆ

        ยกตัวอย่างเช่น พอกลับบ้านแล้วเห็นรถของชวีอี้เจี๋ยจอดอยู่ หรือตอนที่ใกล้เวลาเลิกเรียนแล้วอาจารย์วิชาคณิตศาสตร์เข้ามาบอกว่าเลื่อนเวลาเลิกเรียนของทุกคนออกไปอีกสิบห้านาทีนะ หรือไม่ก็ตอนที่ถูกคนเหยียบรองเท้าผ้าใบที่เพิ่งจะซื้อมาใหม่

        อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือการได้เห็นเซี่ยเจิงกำลังถือแพนเค้กและวิ่งเหยาะๆ ไปทางเซี่ยเจิงที่ยืนรอเธออยู่ตรงปากซอยที่ไม่ไกลกันนัก

        เขาเห็นเซี่ยเจิงยิ้มและโบกมือให้เธอด้วย

        ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าตัวเองไม่เคยเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่าบัดซบเท่านี้มาก่อน

        พื้นที่ส่วนนี้อยู่ในเขตเมืองเก่า ความจริงมันควรจะถูกรื้อถอนไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว บ้านชั้นเดียวที่ตั้งเรียงรายอยู่ในละแวกใกล้เคียงกับโรงเรียนเหล่านี้อาศัยคำว่า ‘บ้านใกล้เขตโรงเรียน’ ที่มีชื่อเสียงมาเสนอขายในราคาสูงลิ่วจนน่าตกใจ ดังนั้นพื้นที่แห่งนี้จึงไม่ได้รับการบูรณะมานานแล้ว ซึ่งประโยชน์ของการมีตรอกเล็กซอยน้อยในพื้นที่แห่งนี้ก็คือทำให้นักเรียนมีที่ซ่องสุมกันเพิ่มมากขึ้น

        ที่นี่ไม่มีแม้กระทั่งไฟถนนสักดวง จะมีก็แต่พวกนักเรียนที่โดดเรียน ทะเลาะวิวาท แอบมาสูบบุหรี่หรือคู่รักที่แอบมาพลอดรักกัน เป็นต้น ถึงแม้จะถูกอาจารย์ที่คอยออกตรวจตราจับได้ที่นี่ก็จะสามารถหลุดรอดไปได้โดยไม่ถูกเห็นหน้าชัดๆ

        แล้วพวกเขาสองคนกำลังทำอะไรกันอยู่?

        หากจะให้ชวีเสี่ยวปอหาเหตุผลมาอธิบายว่าทำไมตัวเองถึงต้องแอบตามมาล่ะก็ เขาคงจะแต่งเรื่องขึ้นมาว่า “เป็นเพราะอ่านหนังสือ ‘ฉันสงสัยว่าทำไม’ ในสมัยยังเป็นเด็ก จนทำให้ตัวเองยังคงมีความอยากรู้อยากรู้เห็นและกระหายความรู้อย่างแรงกล้าล่ะมั้ง”

        ชวีเสี่ยวปอค่อยๆ เดินเลียบไปตามกำแพงอย่างว่องไว แม้จะไม่เคยทำเรื่องอย่างเช่นการแอบฟังแบบนี้ แต่เขาก็ดูชำนาญมาก

        “ขอบใจนะ” เซี่ยเจิงรับอาหารเช้าจากเด็กสาวมาถือไว้ “แต่ว่าที่เรียกฉันมาที่นี่ก็เพื่อเอาของพวกนี้ให้น่ะเหรอ?”

        “ก็ไม่เชิงหรอก ฉันแค่รู้สึกแย่กับเรื่องระหว่างนายกับชวีเสี่ยวปอเมื่อคราวก่อนน่ะ” เซี่ยเจิงเอามือปัดปอยผมที่ระอยู่ตรงหน้าผากออกพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่าทางราวกับกำลังประหม่าอยู่

        “เธอดูเป็นห่วงความรู้สึกของเขาจังเลยนะ” เซี่ยเจิงยิ้มหยัน

        “เปล่านะ!” เซี่ยเจิงปฏิเสธทันทีจนเซี่ยเจิงผงะไปชั่วขณะ พลางทำให้สงสัยว่าเมื่อครู่ตัวเองพูดอะไรที่ไม่ควรพูดไปหรือเปล่าถึงทำให้เธอหงุดหงิด

        “อ๋อ” เซี่ยเจิงพยักหน้าและนิ่งเงียบไป

        “ฉันไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิดนะ ไม่ได้เป็นห่วงความรู้สึกของชวีเสี่ยวปอด้วย…ก็แค่” เซี่ยเจิงพูดจาตะกุกตะกัก “ฉันแค่ไม่อยากให้นายเข้าใจผิด”

        “ไม่อยากให้ฉันเข้าใจผิดอย่างนั้นเหรอ?” เซี่ยเจิงถามกลับพลางเปลี่ยนไปถืออาหารเช้าไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง

        “นายคิดว่าชวีเสี่ยวปอเป็นคนยังไง?” จู่ๆ เซี่ยเจิงก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน ชวีเสี่ยวปอที่หลบอยู่ตรงมุมกำแพงได้ยินชื่อของตัวเองยินชื่อของตัวเองพลันรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันที ความรู้สึกแบบนี้นั้นยากจะอธิบาย แอบฟังคนอื่นคุยกันจากนั้นก็ได้ยินชื่อของตัวเองอยู่ในบทสนทนา แบบนี้จะไม่ให้อยู่ฟังต่อให้จบก็ไม่ได้น่ะสิ

        “ชวีเสี่ยวปอ? ความรู้สึกฉันน่ะเหรอ?” เซี่ยเจิงโคลงศีรษะ จริงๆ เขาอยากจะถามว่าพูดคำหยาบได้หรือเปล่า แต่พอมาคิดดูแล้วก็ช่างมันเถอะ

        “พวกผู้หญิงทุกคนในห้องเราต่างก็คิดว่าเขาหล่อกันทั้งนั้น” เซี่ยเจิงเงยหน้าขึ้นมา “ไม่ว่าจะส่วนสูงหรือรูปร่างก็ดี”

        อย่างนั้นเหรอ…ก็พอใช้ได้ล่ะนะ…เซี่ยเจิงนึกถึงใบหน้าของชวีเสี่ยวปออย่างละเอียด นอกจากผมทรงสกินเฮดและฟันเขี้ยวนั่นแล้ว เขาก็นึกอะไรอย่างอื่นไม่ออกอีก

         นี่มันอะไรกัน

        คำๆ นี้ยังคงวนเวียนอยู่ในใจของชวีเสี่ยวปอ

        ตอนแรกยังพูดเป็นนัยๆ แต่จู่ๆ ก็เอ่ยชมกันขึ้นมาอย่างกะทันหัน ซ้ำยังออกมาจากปากของเซี่ยเจิงอีก ความสุขมันจะเกิดขึ้นเร็วเกินไปหรือเปล่านะ

        “งั้นเหรอ? ก็สูงมากจริงๆ นั่นแหละ” เซี่ยเจิงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี เขาจึงทำได้เพียงเอ่ยตามคำพูดของอีกฝ่ายด้วยความอึดอัดใจ

        “แต่ฉันไม่ชอบหรอกนะ”

        เซี่ยเจิงหยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “เพราะคนที่ฉันชอบก็คือนาย”

        ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าร่างกายของเขาชาไปครึ่งท่อน เมื่อครู่เขายังลุ่มหลงและรู้สึกอิ่มเอมใจอยู่กับคำชมของอีกฝ่ายอยู่เลย แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ทันไรเขาก็รู้สึกว่ามีหมัดหนักๆ โผล่มาจากที่ไหนไม่รู้แล้วมาต่อยเขาเข้าเต็มเหนี่ยว

        “รู้สึกยังไงที่เห็นคนที่ชอบไปสารภาพรักกับคนอื่นเหรอ?” ตอนนี้ชวีเสี่ยวปออยากจะตอบกลับไปทันทีเลยว่า

        อยากตาย

        วินาทีถัดมาจากนั้นก็มีสายโทรศัพท์จากซือจวิ้นโทรเข้ามาพอดี ทำให้ชวีเสี่ยวปอปล่อยวางจากอารมณ์ที่อยากจะตายได้อย่างง่ายดาย

        โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาทั้งสองคู่ที่ตกตะลึงหลังจากเห็นว่าชวีเสี่ยวปอก็อยู่ในตรอกนี้ด้วย

 

        “นายรู้ไหมว่าตอนนั้นฉันอยากทำอะไรมากที่สุด?” ชวีเสี่ยวปอโอบแขนรอบคอของซือจวิ้น

        “อะไรเหรอ?” ซือจวิ้นตัวสั่น

        “ก่อนที่ฉันจะกัดลิ้นฆ่าตัวตาย ฉันต้องเอามันให้ตายซะก่อน”

        นี่มันเพราะอะไรกันแน่

        ความคิดของชวีเสี่ยวปอยังคงวนเวียนอยู่กับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เซี่ยเจิงมองเขาด้วยความตกใจปนงงงวย แต่ที่สำคัญที่สุดคือสายตาของเธอที่มองมาด้วยความเห็นใจและขอโทษ ส่วนเซี่ยเจิงที่อยู่ด้านข้างก็มองมาทางเขาด้วยท่าทางสนุกสนาน นั่นทำให้เขารู้สึกโกรธเคืองขึ้นมา

        ชวีเสี่ยวปอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีประโยคนี้โผล่ขึ้นมาในหัวของเขา “พวกเธอสองคนคุยกันต่อเถอะ ฉันแค่เดินผ่านมาน่ะ” ตอนนั้นพอได้ฟังก็ทำให้ตัวเองเหมือนจะเข้าใจทุกอย่างในทันที ตอนนี้พอมาคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าไม่ต่างอะไรกับการที่คิดจะปิดบัง แต่กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้

        บางทีสองคนนั้นอาจคิดว่าเขาเป็นแค่คนโง่คนหนึ่งก็ได้

        น่าอายชะมัด

        แน่นอนว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ชวีเสี่ยวปอไม่อาจยอมรับได้

        เหตุผลที่แท้จริงที่เซี่ยเจิงปฏิเสธเขา เป็นเพราะเธอชอบเซี่ยเจิง

        “ฉันไม่ดีตรงไหนเหรอ?” จู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็เอ่ยกับซือจวิ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย

        “หืม? ก็ดีนี่” ซือจวิ้นที่กำลังจะนั่งลงข้างๆ เขา พลันรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาจึงขยับก้นออกไปเงียบๆ “ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ”

        “งั้นก็แปลว่าเซี่ยเจิงชอบเซี่ยเจิง แล้วก็ไม่ได้ชอบฉันเหรอ?” ชวีเสี่ยวปอแสดงสีหน้าว่า “ใครก็ได้ช่วยอธิบายให้ฉันฟังที”

        ซือจวิ้นจับประเด็นสำคัญในประโยคกำกวมนี้ได้อย่างรวดเร็ว เขาสูดลมหายใจพลางโอบไหล่ของชวีเสี่ยวไว้ “เรื่องแบบนี้บังคับกันไม่ได้หรอก ลางเนื้อชอบลางยา[1] นายเข้าใจใช่ปะ”

        “ฉันไม่เข้าใจ” ชวีเสี่ยวปอเอามือนวดขมับ ทำไมถึงเป็นเซี่ยเจิง? ทำไมถึงต้องเป็นเขา? ชวีเสี่ยวปอยังคงสงสัย ถ้าเซี่ยเจิงไม่ชอบเซี่ยเจิง เขาคงจะรู้สึกดีกว่านี้ แต่โลกนี้ไม่มีคำว่า “ถ้า” เมื่อคิดถึงข้อเท็จนี้ หัวใจของชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกเศร้าหมอง ความหยิ่งในศักดิ์ศรีค่อยๆ หายไปทีละชั้น

        เขาด้อยกว่าเซี่ยเจิงตรงไหน?

        “ช่างมันเถอะปอเอ๋อร์ เลิกคิดอะไรไร้สาระได้แล้ว” ซือจวิ้นขัดจังหวะความคิดของเขา “เมื่อกี้ที่เหลาหม่าพูด นายคิดว่าไง?”

        “เหลาหม่าพูดว่าอะไรเหรอ?” ชวีเสี่ยวปอพลันตกใจ เขาเพียงเหลือบมองเล็กน้อยว่าถึงเวลาเข้าเรียนแล้วและก็รู้ว่าเหลาหม่าเดินเข้ามาในห้องเรียนแล้ว แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาอีกเลย

        “จะเลือกสายวิทย์หรือสายศิลป์ไงเล่า! พอเปิดเทอมอีกรอบเราก็จะแบ่งห้องเป็นสายศิลป์กับสายวิทย์แล้ว” ซือจวิ้นทำสีหน้าเอือมระอา “นายไม่ได้คิดเอาไว้เลยเหรอ?”

        “ฉันน่าจะเลือกสายศิลป์มั้ง” ชวีเสี่ยวปอเอียงศีรษะ ท่าทางคิดหนัก “ฉันค่อยไม่เก่งฟิสิกส์น่ะ” แต่หลังจากเอ่ยจบชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกขบขัน เขาไม่เพียงไม่ค่อยเก่งฟิสิกส์ แต่วิชาอื่นๆ ก็ไม่เอาไหนด้วย “แล้วนายล่ะ?”

        “ฉันก็ด้วย” ซือจวิ้นพยักหน้า “ยังไงมันก็คงไม่ได้ต่างกันมากขนาดนั้นอยู่แล้ว” ซือจวิ้นเป็นสมาชิกในทีมบาสเก็ตบอลของโรงเรียน หากสอบเข้ามหาวิทยาลัยเขาก็ต้องเป็นนักกีฬาอยู่แล้ว “แบบนี้ก็ดี บางทีเราอาจจะได้อยู่ห้องเดียวกัน”

        ในช่วงเวลานี้การเลือกว่าจะเรียนสายวิทย์หรือสายศิลป์ทำให้เรื่องอื่นๆ ถูกพับเก็บเอาไว้ก่อน อย่างไรก็เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ชวีเสี่ยวปอเองก็ตัดสินใจได้แล้ว เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แต่ดูเหมือนว่าเวินลี่แม่ของเขาจะทำให้กลายเรื่องใหญ่เข้าจนได้ เธอบังคับให้ชวีอี้เจี๋ยกลับมาบ้านและปรึกษากับอีกฝ่ายอยู่หลายวัน สุดท้ายชวีอี้เจี๋ยที่ฟังแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ ก็ทิ้งคำพูดหนึ่งเอาไว้ให้เธอ “จะเลือกอะไรก็ไม่สำคัญหรอก ไม่ช้าก็เร็วเสี่ยวปอก็จะต้องถูกส่งไปเรียนต่างประเทศอยู่ดี” เวินลี่ถึงค่อยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

        ชวีเสี่ยวปอรู้ว่าลูกๆ ของชวีอี้เจี๋ยทุกคนต้องไปศึกษาต่อต่างประเทศโดยไม่มีข้อยกเว้น ดังนั้นเวินลี่จึงต้องบังคับให้ชวีอี้เจี๋ยปฏิบัติต่อลูกชายของเธอในแบบเดียวกันด้วยความเท่าเทียมแน่ๆ

        แต่เมื่อเทียบกับเรื่องราวเหล่านี้ สิ่งที่ชวีเสี่ยวปอให้ความสนใจคือปิดเทอมฤดูร้อนกำลังจะมาถึงแล้ว

 

………………………..

 

เชิงอรรถ

 

[1] ลางเนื้อชอบลางยา หมายถึง คนเราต่างก็มีความชอบและสนใจอะไรที่ไม่เหมือนกัน